Skip to main content
sharethis

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม มูลนิธิรักษ์ไทย  ร่วมกับ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข  และองค์กรภาคี ภายใต้โครงการส่งเสริมการป้องกันเอดส์แรงงานข้ามชาติประเทศไทย หรือโครงการฟ้ามิตร จัด การประชุมระดับชาติ: ความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สุขภาพ เรื่อง "นโยบายแรงงานข้ามชาติและความเป็นอยู่ที่ดี" ณ ห้องจูปีเตอร์ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ถ.วิภาวดี-รังสิต หลักสี่ กรุงเทพฯ โดยมีผู้เข้าร่วมจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา องค์กรระหว่างประเทศ องค์กรพัฒนาเอกชน และแรงงานข้ามชาติกว่า 400 คน


 


รายงานสถานการณ์แรงงาน ปัญหาที่ต้องแสวงหาความร่วมมือ


นางวรรณา บุทเสน ผู้จัดการโครงการอาวุโส มูลนิธิรักษ์ไทย กล่าวรายงานว่า แรงงานข้ามชาติในประเทศไทยเข้ามาทดแทนแรงงานในธุรกิจอุตสาหกรรมซึ่งคนไทยไม่ทำ อาทิ การประมงทะเล ภาคเกษตรกรรรม อุตสาหกรรมก่อสร้าง และโรงงาน โดยข้อมูลจากกระทรวงแรงงานระบุว่า ในปี 2547 นายจ้างมีความต้องการแรงงานข้ามชาติกว่า 1.5 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 ล้านคนในปี 2548 และเป็น 2.3 ล้านคนในปี 2549 นอกจากนี้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยคาดการณ์ว่าความต้องการแรงงานไร้ฝีมือจะเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ระหว่างปี 2550-2555


 


นางวรรณา กล่าวต่อมาว่า จำนวนของแรงงานข้ามชาติและผู้ติดตามที่อยู่ในประเทศไทยในปัจจุบันจากการประมาณมีมากกว่า 2 ล้านคน ส่วนใหญ่มาจากประเทศพม่า กัมพูชา และลาว ทั้งนี้แรงงานข้ามชาติจำนวนหนึ่งเข้าสู้กระบวนการจดทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทยและได้รับใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยชั่วคราว แต่ที่ผ่านมา แนวโน้มของแรงงานข้ามชาติที่เข้าสู่การจดทะเบียนนี้ลดลงเรื่อยๆ จากกว่า 849,000 คน ในปี 2547 เหลือเพียง 535,732 คน ในปี 2550 ทำให้ต้องมีการนำเข้าแรงงานข้ามชาติเพิ่มขึ้น ในขณะที่ยังมีแรงงานจำนวนมากกว่าครึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทยโดยไม่ได้มีการจดทะเบียนให้ถูกต้อง


 


ปัญหาในมิติสุขภาพ การย้ายถิ่นของแรงงาน การถูกจำกัดสิทธิ และการเข้าไม่ถึงการดูแลสุขภาพของแรงงานข้ามชาติ ส่งผลต่อการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ ซึ่งกระทบกับภาวะความเป็นอยู่และเศรษฐกิจของประเทศไทย ดังนั้นรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงแรงงาน จึงพยายามแก้ไขปัญหา รวมทั้งการทำงานคู่ขนานขององค์กรพัฒนาเอกชน มูลนิธิรักษ์ไทย  และอีก 7 องค์กรภาคีเอกชน ในนานโครงการส่งเสริมการป้องกันเอดส์แรงงานข้ามชาติ (โครงการฟ้ามิตร) ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนโลกด้านเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย


 


จากการดำเนินงาน สามารถให้บริการความรู้และการดูแลรักษาสุขภาพ ครอบคลุมประชากรข้ามชาติกว่า 380,000 คน รวมถึงคนไทยและคนข้ามชาติที่ทำงานในสถานบันเทิงกว่า 17,000 คน กระจายถุงยางอนามัยไปมากกว่า 5 ล้านชิ้น ภายใน 4 ปี พร้อมกันนั้นได้พัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อให้แรงงานข้ามชาติสามารถเข้าถึงยาต้านไวรัสเอดส์ นอกจากนี้ยังมีการแนะนำช่วยเหลือในด้านสิทธิตามกฎหมายต่างๆ ตลอดจนการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในสังคม แต่อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ช่องว่างในการจัดระบบแรงงาน การจ้างงาน และการบริการต่างๆ สำหรับแรงงานข้ามชาติก็ยังคงมีอยู่


 


 "นโยบายการจัดการแรงงานข้ามชาติ ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาในภาวะเศรษฐกิจและความมั่นคง จนกระทั้งขาดความสมดุลในการจัดการที่สอดคล้องกันในด้านสุขภาพ วัฒนธรรม และสังคม ทำให้แรงงานข้ามชาติถูกเลือกปฏิบัติเนื่องจากทัศนคติ และแนวนโยบายที่เกิดขึ้น" นางวรรณากล่าว


 


นางวรรณากล่าวถึงการประชุมระดับชาติในครั้งนี้ว่า เป็นเวทีเพื่อนำเสนอและแลกเปลี่ยนแนวคิดต่อนโยบายในการบริหารแรงงานข้ามชาติของรัฐบาล ทั้งที่จดทะเบียนและไม่จดทะเบียน ให้มีความสอดคล้องกันในมิติเศรษฐกิจ สุขภาพ วัฒนธรรม สังคม และความมั่นคง เพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตของแรงงานข้ามชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ตลอดจนแสวงหาความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ ในการทำงานเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติต่อไป


 


รองปลัดกระทรวงแรงงานโชว์ พ.ร.บ.แรงงานต่างด้าวฉบับใหม่


ด้านนายพรชัย อยู่ประยงค์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ประธานในการเปิดการประชุม กล่าวถึงนโยบายการจัดการแรงงานข้ามชาติของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่ได้แถลงต่อรับสภาเมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า นโยบายที่จะดำเนินการภายในระยะเวลา 4 ปี ด้านความมั่นคงจะให้มีการเร่งรัดพัฒนาระบบการจัดการ เพื่อแก้ปัญหาผู้หลบหนี้เข้าเมือง แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย และบุคคลที่ยังไม่มีสถานะชัดเจน โดยเน้นการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับขบวนการลักลอบเข้าเมืองที่มีอิทธิพลสนับสนุน ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคลที่ไม่มีสถานภาพชัดเจน ภายใต้ความสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงของชาติกับการดูแลสิทธิขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้เพื่อให้นโยบายนำไปสู้การปฏิบัติจะต้องเร่งดำเนินการให้มีระบบการจัดจ้างแรงงานข้ามชาติให้เป็นไปตามกฎหมาย และให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว


 


นอกจากนี้นายพรชัยยังได้กล่าวถึง พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551 ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจ้างแรงงานต่างด้าวที่มีสถานะเข้าเมืองโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย 4 ประการ คือ 1.กำหนดมาตรการเกี่ยวกับการชำระค่าธรรมเนียมการจ้าง (Levy) เพื่อเป็นการจำกัดจำนวนแรงงานต่างด้าวที่ไม่ใช่ช่างฝีมือ โดยนายจ้างต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการจ้างแรงงานต่างด้าวเป็นรายคน ในอัตรา 200-600 บาทขึ้นอยู่กับพื้นที่ ซึ่งจะมีผลเป็นการจ้างงานต้องดูความจำเป็นในการใช้แรงงานเป็นหลัก


 


2.เพิ่มมาตรการรองรับการพัฒนาในพื้นที่เศรษฐกิจชายแดน โดกฎหมายเอื้อให้แรงงานต่างด้าวในรูปแบบมาทำงานแบบไปกลับ หรือเข้ามาทำงานตามฤดูกาล มาทำงานได้สะดวกมากขึ้น โดยการใช้เอกสารแทนหนังสือเดินทาง 3.กำหนดโทษให้เหมาะสมเพื่อการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีระบบจับและมีคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับกับนายจ้างที่ใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย อีกทั้งมีรางวัลนำจับให้ผู้แจ้งเบาะแสและเจ้าหน้าที่ผู้จับกุม นอกจากนี้ในส่วนองการกำหนดห้ามคนต่างด้าวทำงานใน 39 อาชีพ จะปรับเปลี่ยนเป็นกำหนดอาชีพที่แรงงานต่างด้าวสามารถทำได้ ซึ่งจะยืดหยุ่นมากกว่าโดยการออกกฎกระทรวงระบุอาชีพที่ต้องการใช้แรงงานต่างด้าว


 


4.ตั้งกองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร โดยเรียกเก็บจากแรงงานและเจ้าของสถานประกอบการเพื่อเป็นการสำรองเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับประเทศของแรงงาน แต่หากแรงงานคนใดสามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางได้โดยออกค่าใช้จ่ายเองก็มีสิทธิของเงินที่หักเข้ากองทุนคืนได้ ทั้งนี้รายละเอียดในขั้นตอนปฏิบัติต่างๆ กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


 


ถกเวทีสมดุลเศรษฐกิจ สังคม (สุขภาพ) และความมั่นคง ควรอยู่ระดับไหน


จากนั้นมีการจัดเวทีอภิปราย เรื่อง "นโยบายแรงงานข้ามชาติ: ความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดี" โดย รศ.ดร.นพ.สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ รองผูอํานวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ


 


รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยการพัฒนาแรงงาน (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวยึดแนวคิด 3 หลัก คือ ผสมผสานแนวคิดจากความมั่นคงของชาติ มาเป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจเพื่อความอยู่ดีกินดี และท้ายที่สุดที่ตามมาคือความมั่นคงตามสิทธิของมนุษย์ในด้านสังคมและสุขอนามัย ทั่งนี้การแก้ปัญหาต้องผสานทั้งสามส่วนอย่างครบถ้วน โดยมีสิ่งที่คาดหวัง คือ ป้องกันไม่ให้นายจ้างเอาเปรียบ (ความมั่นคงของแรงงานต่างด้าว) และไม่ยอมปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อประหยัดแรงงาน อีกทั้งป้องกันผลกระทบที่จะเกิดกับความมั่นคงของแรงงานไทยรวมถึงความมั่นคงด้านสาธารณสุขของคนไทย


 


เพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับแรงงานต่างด้าว ลดความหวาดกลัว การต้องอยู่อย่างหลบซ่อน ซึ่งอาจนำสู่อาชญากรรมและปัญหาสังคม เพื่อประเทศจะมีแรงงานที่ถูกกฎหมายเพียงพอต่อสภาวะของตลาดแรงงาน และมีรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียม หรือภาษีจากแรงงานต่างด้าวเพื่อนำมาใช้พัฒนาแรงงานไทยและจัดสวัสดิการให้แก่แรงงานต่างด้าว นอกจากนี้ยังป้องกันการอ้างจากองค์กรการค้าโลกเกี่ยวกับการจ้างแรงงานทาส หรือไม่เคารพต่อสิทธิมนุษยชนของแรงงาน โดยยึดหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจเพื่อจัดการแรงงานต่างด้าวที่ว่า ใครเป็นผู้ใช้แรงงานต่างด้าวผู้นั้นเป็นผู้รับผิดชอบ


 


รศ.ดร.ยงยุทธกล่าวต่อมาถึงแนวทางปฏิบัติในการจ้างแรงงานต่างด้าว ว่า ต้องดูแลแรงงานต่างด้าวในสถานภาพเดียวกับแรงงานไทย อาทิ การคุ้มครองแรงงาน การประกันสังคม ไม่มีการเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะในกลุ่มของแรงงานที่มีการจ้างงานอย่างถูกกฎหมาย ในส่วนของการบังคับใช้กฎหมายเองต้องมีความโปร่งใส ไร้อคติ กำหนดกติกาสำหรับแรงงานต่างด้าวให้สอดคล้องกับสภาพของกิจการและสภาพแรงงาน มีการสร้างความร่วมมือกับประเทศต้นทาง เพื่อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของการจ้างงาน กำหนดมาตรฐานฝีมือแรงงาน


 


การจ้างแรงงานต่างด้าวต้องคำนึงถึงแนวทางของความเป็นพลเมืองซึ่งเป็นผลที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว หากมีความกลมกลืนและการผสมผสานจนในที่สุดอาจมีการให้สัญชาติ นอกจากนี้ การที่เรานำแรงงานมาใช้ในเชิงธุรกิจจะพิจารณาแยกจากความมั่นคงของชาติ และมองข้ามหลักสิทธิ์มนุษยชนไปไม่ได้ ทั้งนี้ในการพัฒนาคนงานต่างด้าวต้องมีแนวทางที่ชัดเจนการได้รับสิทธิทางการศึกษา การฝึกอบรม สำหรับตัวคนงาน ผู้ติดตาม หรือสมาชิกในครอบครัว 


 


ด้านนายสุทิน ชาวปากน้ำ รองประธานภาคกลาง สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย กล่าวยกตัวอย่างปัญหาในธุรกิจประมงว่า ในแรงงานประมงจำเป็นมากที่ต้องมีแรงงานต่างด้าวเพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่แรงงานในภาคธุรกิจนี้มีแรงงานต่างด้าวกว่าร้อยละ 90 ของแรงงานทั้งหมด และมั่นใจว่าแต่ละโรงงานต้องมีการจ้างงานแรงงานผิดกฎหมาย เพื่อให้กิจการขับเคลื่อนไปได้ และในสถานะของผู้ประกอบการเองก็อยากมีแรงงานที่ถูกกฎหมาย อยากให้รัฐเปิดให้มีการทำบัตรใหม่ เพราะที่ผ่านมามีเจ้าของกิจการบางรายโดนแจ้งจับในกรณีเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวนับสิบข้อหาจนเครียดถึงขั้นฆ่าตัวตาย อีกทั้งการขึ้นทะเบียนจะเป็นการจัดการด้านความมั่นคง ควบคุมแรงงานได้ เพราะรู้ที่อาศัย สามารถติดตามตัวได้


 


ส่วนนายแพทย์วิศิษฎ์ ตั้งนภากร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ  กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าปัญหาสุขภาพเป็นปัญหาปลายน้ำ ซึ่งเกิดจากความไม่นิ่งของนโยบายรัฐในการจัดการแรงงานต่างด้าว และมีหลายภาคส่วนที่เข้ามารับผิดชอบ อาทิ สถานีอนามัย โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลอำเภอ และโรงพยาบาลจังหวัด ซึ่งอยู่ในส่วนภูมิภาค และสำหรับกรุงเทพฯ เองก็มี หน่วยบริการสาธารณสุข มีสภากาชาด และโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งถือว่ามีความหลากหลายมากที่สุดในระบบประกันสุขภาพ


 


นายแพทย์วิศิษฎ์ กล่าวต่อมาถึงปัญหาหลักประกันสุขภาพว่า เกิดจากการที่เรามีอัตราการประกันสุขภาพที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างคนไทยได้ประมาณสองพันเศษต่อคนซึ่งมากกว่าที่แรงงานต่างด้าวได้รับ แต่ก็น้อยกว่าข้าราชการ และคนที่ซื้อประกันของเอกชนที่ต้องจ่ายมากกว่า ดังนั้นจึงไม่สามารถดูแลให้เท่ากันได้ ด้วยต้นทุนทางสุขภาพที่ต่างกันเหมือนนิ้วมือคนเรา และสิ่งที่สาธารณสุขทำให้ได้คือการดูแลเท่าที่ควรจะเป็น โดยดำเนินการตามหลักสิทธิมนุษยชน


 


ในส่วนของการให้บริการระบบประกันสุขภาพแบ่งได้ดังนี้ 1.ผู้มีบัตรประกันสุขภาพทั่วหน้า หรือที่เรียกว่าบัตรทอง หรือบัตร 30 บาท รองรับคนส่วนใหญ่ของประเทศคือราว 40 ล้านคน 2.กลุ่มข้าราชการ 3.การประกันสังคม สำหรับผู้ใช้แรงงานโดยทั่วไป 4.คนต่างด้าวที่เดินทางเข้าประเทศอย่างถูกกฎมาย เช่น นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบธุรกิจ ที่ปรึกษาองค์กรซึ่งมีกำลังทรัพย์หรือมีคนดูแลในเรื่องสุขภาพอยู่ 5.แรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย และผู้ติดตาม รวมถึงกลุ่มชาติพันธ์ กลุ่มคนไร้รัฐ กลุ่มนี้น่าเป็นห่วงมาก และต้องแก้ไขการจัดการระบบประกันสุขภาพอย่างเร่งด่วน ไม่เช่นนั้นกระทรวงสาธารณสุขจะต้องรับภาระปลายน้ำเหมือนเดิม เพราะไม่มีเจ้าภาพรับไปจัดการ


 


นายแพทย์วิศิษฎ์ กล่าวว่าสาธารณสุขเองก็พยายามดูแลแรงงานต่างด้าวทั้งที่เข้าเมืองมาโดยถูกและผิดกฎหมาย รวมทั้งผู้ติดตาม แต่อย่างไรก็ตามก็ยังคงต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน


 


ด้านนายพร้อมบุญ พานิชภักดิ์ เลขาธิการมูลนิธิรักษ์ไทยกล่าวว่า ระหว่าง "ความมั่นคง" และ "เศรษฐกิจ" เป็นการยื้อกันทางนโยบายในการบริหารประเทศ ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพด้วย และการเป็นนโยบายปีต่อปีเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติทำให้มองเห็นความโน้มเอียงและผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างราว 2-3 ปีที่ผ่านมาในสมัยพลตำรวจโททักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีมีนโยบายแรงงานข้ามชาติที่เน้นเรื่องเศรษฐกิจ และเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินไปข้างหน้าทำให้มีการยอมรับว่ามีแรงงานต่างด้าว และพยายามให้มีการจดทะเบียนแรงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลใช้ความมั่นคงเป็นตัวนำ ทำให้เกิดผลกระทบมากมายกับแรงงานข้ามชาติ เช่นในกรณีของประกาศจังหวัดต่างๆ การกวดขันจับกุม


 


"แรงงานก็ไม่ได้ต้องการที่จะไม่จดทะเบียน หรือต้องการไม่มีหลักประกันสุขภาพ แต่ต้องดูว่าสถานการณ์เอื้อแต่ไหน"นายพร้อมบุญกล่าว พร้อมเสริมว่า การที่แรงงานต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยไม่ใช่การเลือกที่จะเชิญแรงงานเข้ามาหรือไม่ แต่เป็นเรื่องจำเป็นของประเทศไทย ดังนั้นจึงต้องทำให้การคุ้มครองสิทธิเกิดขึ้นกับทุกคน


 


ส่วนในเรื่องการถูกครอบงำทางวัฒนธรรมโดยแรงงานต่างด้าวนั้น นายพร้อมบุญกล่าวว่าเป็นไปไม่ได้ที่การจัดงานทางวัฒนธรรมของแรงงานข้ามชาติจะสามารถครอบความคิดได้ เมื่อเทียบกับวัฒนธรรมของญี่ปุ่น หรือเกาหลีที่เข้ามาในประเทศไทย ดังนั้นจึงควรยกย่องเชิดชู ไม่ใช่ทำลายวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลายไป


 


"แรงงานกว่า 2 ล้านคน ณ วันนี้ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ และด้วย พ.ร.บ. แรงงานฯ ใหม่ให้ทุกคนเข้ามาทำงานด้วยความเต็มใจ อยู่อย่างสามัคคี ไม่ใช่สร้างภัยต่อกันด้วยความหวาดระแวง" นายพร้อมบุญกล่าว


 


ในช่วงบ่ายเป็นเวทีคู่ขนานใน 3 เรื่องคือ "แรงงานข้ามชาติกับวัฒนธรรมชุมชน ทั้งนี้ในเวลาเดียวกันได้มีการจัดการประชุม เรื่อง "ระบบประกันสุขภาพแรงงานข้ามชาติที่ทั่วถึง" และ เรื่อง "การคุ้มครองสิทธิการจ้างงานในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ" จากนั้นในเวลา 16.45 น. นายแพทย์ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวปิดการประชุม

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net