Skip to main content
sharethis

การเมือง


 


"ทักษิณ" ขึ้นศาลปฏิเสธคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ


เว็บไซต์คมชัด - ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 12 มี.ค.51 นายทองหล่อ โฉมงาม ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เจ้าของสำนวน คดีดำหมายเลขที่ อม.1/2550 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา จำเลยที่ 1 -2 ในความผิดฐานทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก มูลค่า 772 ล้านบาท ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 100, 122 และ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 83, 86, 90, 96, 152 และ157 พร้อมองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คนออกนั่งบัลลังก์เพื่อสอบคำให้การ พ.ต.ท.ทักษิณ


ศาลอธิบายคำฟ้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยที่ 1 ฟังสรุปว่า เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2544 - 19 ก.พ. 2549 จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นตำแหน่งทางการเมือง เป็นเจ้าพนักงานของรัฐตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช.ฯมีหน้าที่กำกับดูแลควบคุมตรวจสอบกองทุนฟื้นฟูพัฒนาระบบสถาบันการเงินซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และเมื่อเดือน ธ.ค.2546 จำเลยที่ 1 ให้ความยินยอมคู่สมรสประมูลซื้อที่ดินและทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินของกองทุนฟื้นฟูฯ โฉนดเลขที่ 2298, 2299, 2300 และ 2301 ในราคา 772 ล้านบาท ที่ต่ำกว่าราคาขั้นต่ำ


โดยจำเลยที่ 1 เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นเจ้าพนักงานของรัฐที่มีหน้าที่ดูแลกิจการกองทุนฟื้นฟูฯ เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 กระทำผิดทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ม.4, 100, 122 และประมวลกฎหมายอาญา ม.33, 83, 86, 90, 96, 152 และ157


จากนั้นศาลสอบถาม พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยที่ 1 ว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้างซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีสีหน้าเรียบเฉย ยืนยันให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ตามรายละเอียดคำให้การของจำเลยที่ 1 และ 2 ที่ยื่นเป็นลายลักษณ์อักษร จำนวน 121 หน้าต่อศาลเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2551 ศาลจึงนัดตรวจสอบพยานหลักฐานต่อไปในวันที่ 29 - 30 เมษายน เวลา 10.00 น. พร้อมกับจะนัดสอบคำให้การคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 2 ในส่วนที่ได้ยื่นคำให้การพร้อมจำเลยที่ 1 ลงวันที่ 11 มี.ค.นี้ด้วย


โดยศาลมีคำสั่งให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลพร้อมสำเนาสำหรับองค์คณะ และคู่ความทุกฝ่ายก่อนวันนัดตรวจสอบพยานหลักฐานไม่น้อยกว่า 7 วัน หากพยานเอกสารหรือพยานวัตถุใดอยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอกให้คู่ความที่ประสงค์จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกพยานหลักฐานดังกล่าวมาจากผู้ที่ครอบครองโดยเร็ว และยื่นคำขอต่อศาลพร้อมยื่นบัญชีระบุพยานเพื่อให้ได้หลักฐานนั้นมาก่อนนัดตรวจสอบพยานหลักฐานและเพื่อความสะดวกในการตรวจพยานหลักฐาน คู่ความควรแถลงแนวทางการเสนอพยานหลักมาพร้อมกับการยื่นบัญชีระบุพยานด้วย


ส่วนที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องลงวันที่ 11 มีนาคม 2551 ขอให้ศาลพิจารณาคดีลับหลังจำเลยที่ 1 นั้น ศาลสำเนาคำร้องให้โจทก์แล้วไม่คัดค้าน พิเคราะห์แล้วจึงอนุญาตให้พิจารณาและไต่สวนพยานหลักฐานลับหลังจำเลยที่ 1 ได้ตามข้อกำหนดที่เกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ 2543 ข้อ 10 เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น


ภายหลัง นายพิชิฎ ชื่นบาน ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงประเด็นยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีลับหลังจำเลยว่า การยื่นคำร้องได้ให้เหตุผลว่า เพื่อความสะดวกและประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีของศาล เพราะบางเวลาพ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะติดขัดเรื่องธุรกิจและมาขอเลื่อนคดี ซึ่งอาจจะทำให้กระบวนพิจารณาคดีล่าช้าไป โดยศาลได้ให้ความกรุณาอนุญาต ส่วนคุณหญิงพจมานจะขอยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีลับหลังอีกหรือไม่นั้น ทีมทนายความต้องพิจารณากันอีกครั้งหนึ่ง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางมาถึงศาลตั้งแต่เวลา 09.03 น. โดยเดินทางมาพร้อมกับนายพานทองแท้ บุตรชาย ด้วยรถยนต์ โฮเด้น สีเทาดำ ทะเบียน ชย.9894 กทม. ซึ่งบรรดาญาติและผู้ใกล้ชิดเดินทางมาให้กำลังใจอย่างคับคั่ง อาทิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัวพ.ต.ท.ทักษิณ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ นายสรอรรถ กลิ่นประทุม นายวราเทพ รัตนากร อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย


นายธวัชชัย สัจจกุล สมาชิกพรรคพลังประชาชน และ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สำหรับการรักษาความปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 นำโดย พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผบก.น.1 ประมาณ 1 กองร้อย มาดูแลรักษาความปลอดภัยรอบศาลอย่างเข้มงวด


โดยนำแผงเหล็กมากั้นเพื่อไม่ให้กลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีประมาณ 200 คน ซึ่งเตรียมดอกกุหลาบมามอบให้กำลังใจ เข้ามาให้ก่อความวุ่นวายในบริเวณศาล โดยทั้งหมดยืนรออยู่ด้านนอกศาล บริเวณทางเท้าด้วยความสงบ แต่ยังมีผู้สนับสนุนบางส่วนเล็ดรอดสายตา รปภ. เข้ามาได้


ส่วนบรรยากาศภายในห้องพิจารณาคดี มีบรรดาญาติ สมาชิกกลุ่มการเมือง และผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ร่วมรับฟังการสอบคำให้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างคับคั่งเต็มห้องพิจารณาคดีซึ่งสามารถบรรจุคนได้ 200 คน จนทำให้ผู้สนับสนุนและสื่อมวลชนบางส่วน ต้องยืนรอรับฟังการถ่ายทอดเสียงและภาพการพิจารณาคดีผ่านจอโปร์เจกต์ขนาดใหญ่ที่ติดตั้งไว้หน้าห้องพิจารณาคดี


ระหว่างที่รอให้การต่อศาล พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก มีอาการกังวลเล็กน้อย แต่ภายหลังสอบคำให้การแล้วขณะที่เดินออกมาจากห้องพิจารณา พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยิ้มแห้งๆ ให้กับกองทัพผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างประเทศที่เฝ้ารอถ่ายภาพและสัมภาษณ์


กลุ่มผู้สื่อข่าวได้พยายามถามว่าจะกลับไทยอีก เมื่อไหร่ พ.ต.ท.ทักษิณ หันมามองแต่ไม่ยอมตอบคำถามใดๆ แล้วจึงเดินไปลงลิฟท์เพื่อเดินทางกลับ ซึ่งระหว่างทางเดินไปที่ลิฟท์ กลุ่มสนับสนุนประมาณ 5 คน มายืนดักรอ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยกลุ่มผู้สนับสนุนถึงกับร่ำไห้และพยายามจะเข้าไปกอด พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินมาจับมือเสียก่อนพร้อมกล่าวาสั้นๆ ว่า "ไม่เป็นไรครับๆ" ก่อนที่จะเดินจากไป


"อภิรักษ์" ไม่รอดคตส.ฟันทุจริตจัดซื้อรถดับเพลิง


เว็บไซต์คมชัดลึก - (12มี.ค.) นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ คตส. เปิดเผยภายหลังการประชุม คตส. นัดพิเศษ ว่า ที่ประชุมมีมติแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตจัดซื้อเรือและรถดับเพลิงของ กทม. จำนวน 6 คน ประกอบด้วย นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.พาณิชย์ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. คุณหญิงณฐนนท ทวีสิน อดีตปลัด กทม. นายราเชนทร์ พจนสุนทร อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และผู้บริหารบริษัท สไตเออร์ อีก 2 ราย หลังจากนี้จะแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาได้รับทราบ เพื่อมาแก้ข้อกล่าว และตั้งอนุกรรมการไต่สวนต่อไป


ด้านนายอภิรักษ์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับทราบเรื่องที่ตนถูกชี้มูลเพิ่มเติมแล้ว แต่ก็ทราบจากนักข่าว และข่าวที่นำเสนอเท่านั้น ตนจะขอตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการก่อน พรุ่งนี้ (13มี.ค.) จึงจะสามารถให้รายละเอียดได้มากกว่านี้ อย่างไรก็ตามยืนยันว่าดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามหลักกฎหมาย


"ส่วนที่ คตส.ชี้มูลในข้อหาเป็นผู้เปิดแอลซีนั้น ตนขอย้ำว่าดำเนินการไปเพราะรัฐบาลสมัยนั้นมีจดหมายเร่งรัดให้เปิด โดยอ้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันผมได้ทำหนังสือสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาช่วยพิจารณาด้วย" ผู้ว่าฯ กทม. กล่าว


มีรายงานว่า ในวันที่ 13 มี.ค.นี้ นายอภิรักษ์ ได้นัดนายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง กรรมการบริหารสำนักงานกฎหมาย คะนึงฤาชา แอนด์ พาร์ทเนอร์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลคดีนี้มาหารือที่ศาลาว่าการกทม. ด้วย เพื่อพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป


6 แคนดิเดตสภาสูงโชว์วิสัยทัศน์ เพื่อนร่วมรุ่น "สนธิ" ชิงรอง ปธ. "ทวีศักดิ์" หาเสียงถึงห้องน้ำ


เว็บไซต์มติชน - ความเคลื่อนไหวของ ส.ว.ซึ่งจะมีการประชุมวุฒิสภา เพื่อเลือกประธานและรองประธานวุฒิสภา ในวันที่ 14 มีนาคม ได้มีการประชุมนอกรอบครั้งแรก ที่ห้องประชุม 306 อาคารรัฐสภา 3 เมื่อวันที่ 12 มี.ค. บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มี ส.ว.ทั้งระบบสรรหาและระบบเลือกตั้งเข้าร่วมจำนวน 139 คน จากทั้งหมด 144 คน โดยนางสุวิมล ภูมิสิงหราช เลขาธิการวุฒิสภา กล่าวแนะนำวิธีการประชุม การใช้บัตรลงคะแนน และแจ้งว่า พ.ท.กมล ประจวบเหมาะ ส.ว.ซึ่งอาวุโสสูงสุดจะทำหน้าที่ประธานการประชุมชั่วคราว เพื่อเลือกประธานวุฒิสภา ซึ่งการเสนอชื่อผู้สมควรเป็นประธาน ต้องมีสมาชิกรับรอง 10 คน และหากได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งคือ 72 เสียง ก็ถือว่าเป็นประธาน หากไม่ได้ก็ต้องนำอันดับหนึ่งและสองในรอบแรก มาเลือกกันอีกครั้งในรอบสอง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสมาชิกส่วนใหญ่ต้องการให้ผู้เสนอตัวเป็นประธาน แสดงวิสัยทัศน์ เพื่อให้สมาชิกจะได้มีเวลาอีก 2 วัน ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อตัดสินใจเลือก ทำให้มีผู้เสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งประธานวุฒิสภา 6 คน พร้อมแสดงวิสัยทัศน์ไล่ตามลำดับตัวอักษร


เริ่มจาก 1.นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี 2.นายทวีศักดิ์ คิดบรรจง ส.ว.บุรีรัมย์ 3.นายประสพสุข บุญเดช ส.ว.สรรหา 4.นายประเสริฐ ชิตพงศ์ ส.ว.สงขลา 5.พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์ ส.ว.สุราษฎ์ธานี และ 6.พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา โดยทุกคนยืนยันว่า จะทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง จะสร้างเกียรติภูมิให้วุฒิสภา และพร้อมรับการตรวจสอบและพิจารณาตนเองลาออกหากปฏิบัติหน้าที่แล้วไม่ดี


ขณะที่ พล.ต.อ.โกวิท ภักดีภูมิ ส.ว.อ่างทอง ประกาศถอนตัว ให้เหตุผลว่า เพื่อให้สมาชิกตัดสินใจเลือกคนที่เป็นหัวกะทิจริงๆ


จากนั้น ที่ประชุมมีมติให้ผู้เสนอตัวเป็นรองประธาน 9 คน แสดงวิสัยทัศน์ด้วย เริ่มจาก 1.พล.ต.ต.ขจร สัยวัตร์ ส.ว.หนองคาย 2.นางตรึงใจ บูรณสมภพ ส.ว.สรรหา 3.นางทัศนา บุญทอง ส.ว.สรรหา ซึ่งมีข่าวว่า จะร่วมทีมนายประสพสุข 4.นางจิราวรรณ จงสุทธามณี วัฒนศิริธร ส.ว.เชียงราย 5.นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ 6.นายนิคม ไวยรัชพานิช ส.ว.ฉะเชิงเทรา ซึ่งมีข่าวว่าจะร่วมทีมกับนายทวีศักดิ์ 7.นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา 8.นายไพบูลย์ ซำศิริพงศ์ ส.ว.ปทุมธานี ประธานกลุ่มอดีต ส.ว.49 9.นายสมัคร เชาวภานันท์ ส.ว.สรรหา เพื่อนร่วมรุ่น วปรอ.4212 กับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.


ทั้งนี้ทุกคนระบุว่า จะทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ประสานงานทุกฝ่ายให้งานบรรลุเป้าหมาย และพร้อมให้ตรวจสอบ และจะทำงานตามที่ประธานมอบหมายอย่างเต็มที่


ต่อมา ที่ประชุมได้หารือว่า ประธานควรจะมีวาระหรือไม่ อาจ 2 ปี หรือ 3 ปี ซึ่งเป็นการตกลงภายใน แต่นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ชี้แจงว่า ในข้อบังคับไม่มีกำหนด ผู้เสนอตัวอาจประกาศเองว่าจะอยู่กี่ปีในการแสดงวิสัยทัศน์ ก่อนที่จะปิดประชุมเวลา 13.00 น.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศก่อนการประชุมเป็นไปอย่างคึกคัก กลุ่มผู้สนับสนุนนายประสพสุข และกลุ่มผู้สนับสนุนนายทวีศักดิ์ได้เข้าประกบเพื่อนสมาชิก เพื่อขอเสียงสนับสนุนแคนดิเดตของกลุ่มตน ส่วนระหว่างการประชุมในช่วงที่ผู้ชิงตำแหน่งรองประธานวุฒิสภาแสดงวิสัยทัศน์ สมาชิกหลายคนได้ผลัดเปลี่ยนกันไปเข้าห้องน้ำ นายทวีศักดิ์ได้เข้าไปพูดคุยด้วยตัวเอง เพื่อขอเสียงสนับสนุน ส่วนภายหลังการประชุม สองกลุ่มดังกล่าวก็มีการแนะนำตัวกับเพื่อนสมาชิกและขอเสียงสนับสนุนแคนดิเดตของตนเองอย่างหนัก โดยกลุ่มสนับสนุนนายทวีศักดิ์ได้เชิญเพื่อนสมาชิกจากสายเลือกตั้ง และสรรหา โดยสายสรรหาส่วนใหญ่เป็นอดีตข้าราชการ ไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารจีนแห่งหนึ่งย่านวิสุทธิกษัตริย์


พันธมิตรฯ ประกาศล้มรัฐตำรวจ รุกเคลื่อนไหวเปิดเวที 28 มี.ค.


ผู้จัดการรายวัน/เว็บไซต์คมชัดลึก - เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 12 มี.ค. หลังแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกอบด้วยนายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย (พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ติดภารกิจที่ประเทศเกาหลีใต้) และตัวแทนองค์กรภาคประชาชน ได้ประชุมหารือถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่บ้านพระอาทิตย์แล้ว ได้มีการออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 3 กำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ


จากนั้น นายสมเกียรติ กล่าวว่า การจัดรายการ "ยามเฝ้าแผ่นดิน ภาคพิเศษ" ในวันศุกร์ที่ 28 มี.ค. นี้เป็นการสัมมนาทางวิชาการ และเป็นการสนองตอบข้อเรียกร้องของพี่น้องประชาชนที่ให้พันธมิตรฯ เคลื่อนไหวเพื่อตอบโต้ระบอบทักษิณ แต่ยืนยันว่าเป็นการเคลื่อนไหวโดยสันติวิธี และภายใต้กรอบของกฎหมาย


นายสุริยะใส กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการจัดรายการดังกล่าวนั้นจะมีการเปิดตัวคณะกรรมการจากภาคประชาชนทั่วประเทศประมาณไม่น้อยกว่า 30-40 คณะ เพื่อเคลื่อนไหวตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างครอบคลุมต่อไป


นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นตัวแทนเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนได้เข้าร่วมประชุมด้วยเป็นครั้งแรก พร้อมกับตัวแทนสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย กล่าวเรียกร้องให้ภาคประชาชนทุกภาคส่วนเข้าร่วมการสัมมนาในวันศุกร์ที่ 28 มีนาคมนี้ ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อร่วมกำหนดยุทธศาสตร์ของประชาชนร่วมกัน


ด้านนายพิภพ กล่าวว่า เวลานี้เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นชัดเจนแล้วว่ายุทธศาสตร์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือ ไม่ต้องการให้ตัวเอง และครอบครัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และทำการฟื้นรัฐตำรวจกลับคืนมาเพื่อคุกคามประชาชนอีกครั้งและถือว่าประวัติศาสตร์ซ้ำรอย


นายสมศักดิ์ กล่าวชี้แจงถึงระบอบเผด็จการทุนนิยมสามานย์ว่า เป็นเผด็จการพันธุ์ใหม่ที่ใช้การเลือกตั้งมาฟอกตัว ใช้อำนาจเพื่อตัวเองและพวกพ้อง พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาชนตื่นตัวใช้สิทธิในการตรวจสอบการใช้อำนาจ นายสนธิ ย้ำว่า จุดยืนการต่อสู้ของพันธมิตรฯและภาคประชาชน เป็นการต่อสู้เพื่อต้องการให้มีการพิสูจน์ความถูก-ผิดตามกระบวนการยุติธรรม อย่างเป็นธรรมชาติโดยปราศจากการแทรกแซงทุกรูปแบบ


ทั้งนี้นายสนธิ ได้ยกตัวอย่างกรณีการโยกย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้วมีการรื้อฟื้นคดีซาอุฯ ว่าวัตถุประสงค์ที่แท้จริงคือเพื่อต้องการเช็กบิล พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม น้องชายของ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ที่แจ้งความจับ นายยงยุทธ ติยะไพรัชในคดีทุจริตการเลือกตั้งที่จังหวัดเชียงราย เพราะก่อนหน้าที่ พล.ต.ท.สมคิด เคยทำคดีซาอุฯ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลกลับละเลยเรื่องคดีการหายตัวไปของ นายสมชาย นีละไพจิตร ที่หายตัวไปในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ


นายสนธิ ยังตอบโต้การโจมตีเรื่องการใช้เงิน 400 ล้านบาทในการชุมนุมในอดีตว่า ถ้าตนเองต้องขายทรัพย์สินหรือต้องหยิบยืมเงินของใครมาต่อสู้เพื่อบ้านเมือง มันก็ไม่หนักกบาลใคร ตรงกันข้าม สิ่งที่ต้องตอบคำถาม คือ กลุ่ม นปก.ยิ่งเคลื่อนไหวก็ยิ่งมีเงินใช้ มีรถป้ายแดงขับ


ขณะที่ นายสมเกียรติ ได้ชี้แจงประเด็นข้อกล่าวหาเรื่องพรรคประชาธิปัตย์อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหว โดยย้ำว่า ตนเองเคลื่อนไหวในนามพันธมิตรฯ ก่อนมาสังกัดพรรค อีกทั้งพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคเปิดและเป็นสถาบันยอมรับในความเห็นที่แตกต่าง และย้ำว่าการเคลื่อนไหวทุกครั้งเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ


ในตอนท้าย นายสนธิ ยังได้ย้ำอีกว่า หลังจากที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีได้ใช้ช่อง 11 ในการพูดจาแต่เพียงฝ่ายเดียวทำให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านได้ทำหนังสือช่อง 11 เพื่อขอใช้สิทธิในลักษณะเดียวกันและให้เวลาเท่ากัน และกำลังอยู่ในช่วงรอคำตอบ แต่ถ้าได้รับการปฏิเสธทางเอเอสทีวีก็พร้อมจะให้นายอภิสิทธิ์ได้ออกอากาศในเวลาไล่เลี่ยกันทันที และหากนายสมัครจะมาออกอากาศที่ที่เอเอสทีวีก็ยินดี


ด้านนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเตรียมออกมาเคลื่อนไหวว่า "เขาเป็นกบหรือถึงมาก่อหวอ" ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า แสดงว่าไม่เป็นห่วงใช่ไหมครับ ปล่อยให้เขาก่อหวอไปเรื่อยใช่ไหมครับ นายสมัคร กล่าวว่า ไม่ห่วง จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ถามว่า พรุ่งนี้จะตัวแทนไปส่งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับลอนดอนหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ผมยังไม่ทราบ จะกลับเหรอ


 


รัฐบาลรอ 14 พ.ค.นี้ ก่อนตัดสินใจยื่นตีความ 3 รมต.


เว็บไซต์คมชัดลึก - 12 มี.ค. เวลา 11.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ คตส.อ้างใช้กฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 55 ให้ 3 รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องคดีหวยบนดินต้องยุติการทำหน้าที่ว่า ในประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 ระบุให้ คตส.ใช้อำนาจตามกฎหมาย ป.ป.ช. รวมถึงกฎหมาย ปปง.ด้วย ซึ่งการใช้อำนาจนี้ถือว่าเป็นการอำนาจเพียงบางส่วน เพราะกระบวนการขั้นตอนจริงๆ ถ้าไปที่ ป.ป.ช. ขั้นตอนการสอบสวนการพิจารณาจะแตกต่างจาก คตส. เพราะกรรมการ คตส.ก็เป็นคนละส่วนกับ ป.ป.ช. ขณะเดียวกันเรื่องร้องเรียนนั้นก็เป็นคนละเรื่องกัน เพียงแต่ให้สามารถใช้อำนาจตามกฎหมาย ป.ป.ช.ได้ ถ้าตีความก็คือให้สามารถดำเนินการตามกฎหมาย ป.ป.ช.ในส่วนหนึ่ง


ส่วนจะเป็นการใช้อำนาจทั้งหมดหรือไม่นั้น ประกาศ คปค.ก็ถือเสมือนเป็นกฎหมายฉบับหนึ่ง กฎหมาย ป.ป.ช.ก็เป็นกฎหมายฉบับหนึ่ง จริงๆ เมื่อที่มาเป็นคนละกฎหมาย จะถือว่าใช้อำนาจตามกำหมาย ป.ป.ช.ทั้ง 100% คงไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องโต้เถียงกันว่าใช้อำนาจได้มากน้อยแค่ไหน และจะสามารถดำเนินการตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 55 ได้หรือไม่ เพราะต้องยอมรับว่ากระบวนการสอบสวนของ คตส.นั้น ไม่เหมือนกับของ ป.ป.ช. เป็นคนละเรื่อง และมีความแตกต่างกัน


เมื่อถามว่าในขณะที่มีข้อโต้แย้งกันเช่นนี้ รัฐบาลในฐานะที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความชี้ขาดหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ปัญหาอยู่ที่ว่าการจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้นั้น ต้องเป็นข้อขัดแย้งขององค์กรตามรัฐธรรมนูญตั้งแต่ 2 องค์กรขึ้นไป ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่มีอำนาจหน้าที่ตีความกฎหมาย ตนคิดว่าประเด็นที่ว่า คตส.จะสามารถใช้อำนาจตามกฎหมาย ป.ป.ช.ได้ 100% หรือไม่นั้น ท้ายที่สุดศาลฎีกาน่าจะหยิบยกประเด็นนี้มาพิจารณาวินิจฉัยว่า คตส.จะสามารถใช้อำนาจตามกฎหมาย ป.ป.ช.ได้มากน้อยเพียงใด และอาจจะอยู่ในประเด็นเรื่องอำนาจการฟ้องคดีด้วย อย่างไรก็ตามประเด็นเรื่องการจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาหรือไม่นั้น รัฐบาลในขณะนี้คงไม่สามารถจะส่งไปได้ เพราะแม้ส่งไปศาลรัฐธรรมนูญก็คงไม่รับ เพราะไม่ถือเป็นความขัดแย้งขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ


ผู้สื่อข่าวถามว่าในส่วนของรัฐบาลจะไม่เดินหน้าเพื่อให้เกิดความกระจ่างในเรื่องนี้ใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ในขณะนี้ยังไม่ได้มีการตกลงกันถึงขั้นนั้นว่าจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาในเบื้องต้นก่อนหรือไม่ เพราะเราก็อยากรับฟังข้อกฎหมายทั้งหมดว่าเป็นอย่างไร นักกฎหมายมีความเห็นอย่างไร จนกว่าจะถึงวันที่ 14 พ.ค.ก็ต้องฟังความเห็นของศาลว่ามีความเห็นอย่างไร จะรับพิจารณาหรือไม่ เพราะศาลเองก็คงจะพิจารณาทั้งประเด็นการที่ คตส.ใช้อำนาจตามกฎหมาย ป.ป.ช.ได้หรือไม่ และ คตส.สามารถฟ้องเองโดยที่อัยการยังไม่ได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องได้หรือไม่ ซึ่งหากศาลรับพิจารณาเราก็อาจจะหาข้อยุติด้วยการส่งตีความก็ได้ แต่ขณะนี้จะให้เราส่งไปตีความโดยยังไม่มีเหตุเกิดขึ้นนั้นคงไม่ได้


"ดังนั้นรัฐบาลจะรอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดในวันที่ 14 พ.ค.นี้ ก่อน แล้วค่อยหาข้อยุติ ในช่วงนี้ตนเข้าใจว่ารัฐมนตรีทั้ง 3 คน รวมถึงนายกรัฐมนตรีก็คงมีการหารือเป็นการภายในกับนักกฎหมาย แล้วรอผลของศาลในวันที่ 14 พ.ค. ถ้าศาลรับพิจารณาจึงจะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร จะหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ซึ่งการตัดสินใจในส่วนนั้นก็อาจจะสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้ แต่ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะสอบถาม เราทำได้แค่ดูไปว่าข้อกฎหมายที่ถูกต้องควรจะเป็นอย่างไร เพราะข้อกฎหมายเป็นเรื่องที่มีการโต้เถียงกันได้ตลอด ฝ่ายตนอาจจะเห็นอย่างนี้ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็อาจจะเห็นอีกอย่างหนึ่ง อาจจะเป็นไปโดยสุจริตหรืออาจจะมีเหตุผลทางการเมืองรองรับก็แล้วแต่ แต่ท้ายที่สุดก็ต้องมีองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่มาวินิจฉัยชี้ขาด ซึ่งอาจจะเป็นศาลฎีกา หรือศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ เพียงแต่ขณะนี้ผมในฐานะที่ดูแลกฎหมายเห็นว่าไม่จำเป็นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส่วนฝ่ายที่เห็นว่าสมควรต้องหยุดก็แล้วแต่" นายชูศักดิ์ กล่าว


เมื่อถามว่าหากศาลรับพิจารณาคำฟ้อง และวินิจฉัยว่ามีความผิด คำสั่งต่างๆ ที่ 3 รัฐมนตรีดำเนินการในช่วงนี้จะถือเป็นโมฆะหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกัน ถ้าตีความว่าหยุดปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องตีความว่าหยุดปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องอะไร ซึ่งตนคิดว่าการหยุดปฏิบัติหน้าที่คือหยุดปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องนั้น ตามที่มีการกล่าวหาร้องเรียน ในหลักทั่วไปการกระทำใดๆ ที่เรากระทำโดยสุจริต การกระทำนั้นก็ถือว่าชอบ ซึ่งในความเห็นของตนการหยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น คือหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามที่มีการร้องเรียนเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงหยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งปัจจุบันที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่มีการร้องเรียนเลย ส่วนกรณีของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง ที่ดูแลสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องที่มีการร้องเรียนโดยตรง ถ้าจะป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต รัฐมนตรีก็ไม่ควรสั่งงานในเรื่องนั้นเสีย มอบให้คนอื่นดูแล ก็น่าจะทำได้


 



เศรษฐกิจ


 


ทุ่ม 7.7 แสนล้าน ลุยรถไฟฟ้า 7 สาย คลังออกบอนด์ 9 หมื่นล้านรองรับ


เว็บไซต์คมชัดลึก - นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี แถลงหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบขนส่งทางรางและระบบขนส่งมวลชนครั้งแรก เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ที่ผ่านมา ว่า คณะกรรมการมีมติเห็นชอบให้ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 7 เส้นทาง วงเงินลงทุนกว่า 7.7 แสนล้านบาท โดยแหล่งเงินจะมีทั้งเงินกู้ต่างประเทศ งบประมาณ และเงินกู้ในประเทศ จากการออกพันธบัตร ซึ่งทุกโครงการสามารถเริ่มเดินหน้าได้ทันที ซึ่งรัฐบาลจะลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และให้เอกชนบริหารการเดินรถ


ทั้งนี้ การก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้ง 7 เส้นทาง จะแล้วเสร็จใน 3 ปี ได้แก่ โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายเพื่อเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของบีทีเอส 3 เส้นทาง และยังจะก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางซื่อ-บางใหญ่ อีก 1 เส้นทาง รวมทั้งก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง 3 เส้นทาง


ที่ประชุมยังมอบให้กระทรวงมหาดไทยไปเจรจากับกรุงเทพมหานคร เพื่อซื้อกิจการ (เทกโอเวอร์) โครงการรถไฟฟ้าสายบีทีเอสของบริษัท ธนายง จำกัด (มหาชน) และโอนสัมปทานไปที่กระทรวงมหาดไทยมาเป็นของรัฐ โดยจะเจรจากับเจ้าหนี้ของบริษัทขอซื้อหุ้นบีทีเอส ที่เจ้าหนี้ถืออยู่ 89% แล้วให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เข้าไปบริหารจัดการ


ด้านนายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการ รฟม. กล่าวว่า การเข้าไปเจรจากับเจ้าหนี้บีทีเอสเพื่อขอซื้อหุ้น 89% มูลหนี้ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ไม่ใช่การเทกโอเวอร์บีทีเอส เพราะรัฐบาลจะไม่ยุ่งกับหุ้นจำนวน 11% ที่ บริษัทธนายงถืออยู่ เพียงแต่รัฐบาลต้องการเปลี่ยนผู้กำกับดูแลใหม่จาก กทม. เป็น รฟม.เท่านั้น


นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ระบุว่า เงินลงทุนจำนวน 7.7 แสนล้านบาทนั้น เป็นเงินที่รัฐรับภาระโครงสร้างพื้นฐาน จำนวน 553,057 ล้านบาท และเงินทุนจากเอกชนร่วมลงทุนระบบรถไฟฟ้าอีก 217,676 ล้านบาท ซึ่งการใช้เงินทุนจะแบ่งเป็น 2 ระยะ โดยระยะแรกจำนวน 2.597 แสนล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณจัดกรรมสิทธิ์และที่ดิน 2,700 ล้านบาท เงินกู้ในประเทศ 9 หมื่นล้านบาท และเงินกู้เจบิคอีก 8-9 หมื่นล้านบาท ส่วนเงินกู้ในประเทศนั้น กระทรวงการคลังจะระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว 30 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.1-5.2% ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท


ส่วนการลงทุนระยะที่ 2 จะมีจำนวน 5.37 แสนล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อใช้ในค่าจัดการกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 3 หมื่นล้านบาท และเงินกู้ในประเทศจำนวน 40% ของวงเงินลงทุนระยะที่ 2 และเงินกู้ต่างประเทศอีก 60% ของวงเงินลงทุนระยะที่ 2 อย่างไรก็ตาม เงินลงทุน 7.7 แสนล้านบาท ยังไม่รวมเงินที่จะซื้อหุ้นบีทีเอสอีก 5 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมแล้วคาดว่าใช้เงินลงทุนกว่า 8.2 แสนล้านบาท


หุ้นไทยเด้งรับ "เฟด" เร่งฟื้น ศก.


ผู้จัดการรายวัน - ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (12 มี.ค.) ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศทุ่มเงินกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องและกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงบรรเทาปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) รวมถึงเข้ามาเก็งกำไรข่าวธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เตรียมลดดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมช่วงสัปดาห์หน้า ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 400 จุด


ด้านปัจจัยทางการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะกระแสข่าวเรื่องผลการพิจารณาคดียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยที่ในท้ายที่สุดอาจจะไม่ส่งผลทำให้ต้องมีการยุบพรรค เนื่องจากเป็นความผิดเฉพาะบุคคล ส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 827.00 จุด เพิ่มขึ้น 7.17 จุด หรือ 0.87% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 833.12 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 825.53 จุด มูลค่าการซื้อขาย 20,782.48 ล้านบาท


ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,335.99 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 220.17 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,115.81 ล้านบาท


นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นต่างประเทศจากการที่เฟดประกาศอัดฉีดเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับธนาคารพาณิชย์จำนวน 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 400 จุด รวมถึงการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันจนทำให้มีแรงเข้ามาเก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน


สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจจะมีการปรับตัวลดลงจากแรงขายเก็งกำไรระยะสั้นของนักลงทุน จากก่อนหน้านี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงตอบรับขาวที่เฟดจะอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อสภาพคล่องในระบบ ประกอบกับหากการประกาศยอดปริมาณน้ำมันสำรอง (สต็อกน้ำมัน) หากมีสต็อกน้ำมันที่สูงขึ้นจะทำให้นักลงทุนมีการขายสัญญาซื้อขายน้ำมันออกมา ซึ่งจะทำให้มีแรงขายออกมาในหุ้นกลุ่มน้ำมัน โดยจะส่งผลให้ตลาดหุ้นต่างๆ รวมถึงตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐานขายทำกำไร


ส่วนประเด็นการพิจารณาคดียุบพรรคการเมือง 2 พรรคนั้น คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งได้มีการเลื่อนพิจารณาคดีออกไปวันที่ 18 มี.ค. 2551 จากเดิมที่จะพิจารณา 13 มี.ค.นี้ คงไม่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก


"หากไม่มีการการตัดสินให้ยุบพรรค จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะสั้นๆ เท่านั้น เพราะนักลงทุนตอบรับข่าวดังกล่าวไปแล้ว ประเมินแนวรับที่ระดับ 819-820 จุด แนวต้านที่ระดับ 830-831 จุด แต่ถ้าหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือ 831-833 จุด นักลงทุนควรมีการขายทำกำไรออกมา แต่หากเป็นนักลงทุนระยะถือลงทุนได้จากวันที่ 18 มีนาคม เฟดอาจจะมีการปรับตัวลดดอกเบี้ย 0.50%"


นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยการเมืองคงจะไม่ส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นมากนัก แม้จะมีการยุบพรรคการเมือง เพราะปัญหาทางการเมืองจะต้องมีการดำเนินต่อไปได้ ขณะเดียวกันหากมีการยุบทั้ง 2 พรรคจริง จะทำให้สมาชิกย้ายมารวมกับพรรคพลังประชาชน ซึ่งจะทำให้มีเสียงในสภามากขึ้น โดยมองแนวรับที่ระดับ 813 จุด แนวต้านที่ระดับ 835 จุด


"ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 7 จุด ถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นต่ำกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค เพราะก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่ำกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค" นายกวี กล่าว


กพช.ผ่านแผนอุดหนุนน้ำมันดีเซล 90 สต./ลิตร


เว็บไซต์โพสต์ทู - นายสหัส บัณฑิตกุล รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช.กล่าวว่า กพช. เห็นชอบแผนอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลรวม 90สตางค์/ลิตร โดยจะเป็นมาตรการระยะสั้นซึ่งจะช่วยชะลอการปรับขึ้นของราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศ สำหรับมาตรการอุดหนุนดังกล่าว ประกอบด้วย การลดการเก็บเงินสำหรับน้ำมันดีเซลเพื่อส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 50 สตางค์/ลิตร และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 10 สตางค์/ลิตร ขณะที่จะนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มาอุดหนุนราคาดีเซลอีก 30 สตางค์/ลิตร


นายสหัส กล่าวว่า ในส่วนการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานฯ 50 สตางค์/ลิตรนั้นจะต้องประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา ซึ่งหากพรุ่งนี้ลงประกาศได้ก็จะมีผลบังคับใช้ในวันถัดไป ซึ่งในส่วนนี้จะมีระยะเวลาอุดหนุนถึงสิ้นเดือนก.ค. ขณะที่ในส่วนการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับดีเซลและการอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รวม 40 สตางค์/ลิตรนั้น กระทรวงพลังงานสามารถทำได้ทันทีในวันนี้และสามารถปรับได้ตามความเหมาะสมในระยะต่อไปด้วย


ปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ บมจ.ปตท. (PTT) และ บมจ.บางจากปิโตรเลียม (BCP) ยังคงตรึงราคาไว้ที่ 29.94 บาท/ลิตร ขณะที่ผู้ค้าน้ำมันรายอื่น มีราคาขายดีเซลอยู่ที่ 30.44 บาท/ลิตร


 


 


คุณภาพชีวิต


 


อภ.เผยข่าวดี ไม่เกิน 6 เดือน ผลิตยาเอดส์-โรคหัวใจ ที่ทำซีแอลสำเร็จ


เว็บไซต์แนวหน้า - นพวิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข มอบนโยบายเดินหน้าซีแอลในยามะเร็ง 4 รายการนั้น ทาง อภ.พร้อมดำเนินการนำเข้ายาดังกล่าวเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งเข้าถึงที่มีคุณภาพ โดยก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปตรวจสอบคุณภาพโรงงานผลิตยามะเร็งในประเทศอินเดีย เพื่อเตรียมสั่งนำเข้าควบคู่กับขั้นตอนการต่อรองราคากับบริษัทยาเจ้าของสิทธิบัตร ซึ่งโรงานผลิตยาหลายแห่งผ่านมาตรฐานการผลิตของทางองค์การอนามัยโลก


ทั้งนี้ยาโดซีแทคเซล ที่ผ่านมาได้มีการประกวดราคาแล้ว โดยบริษัทดาเบลอ ประเทศอินเดียเสนอราคาต่ำสุด และอยู่ระหว่างการทำสัญญาจัดซื้อ และจะนำเข้ามาได้ภายใน 4-5 วัน หลังลงนามในสัญญาร่วมกันแล้ว ส่วนยาเออโลทินิบ และยาเลทโทโซลยังอยู่ระหว่างการเชิญบริษัทยาสามัญมาขึ้นทะเบียนยาในประเทศ ขณะที่ยาอิมาทินิบที่ใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้น ไม่มีการดำเนินการนำเข้า เนื่องจากบริษัทยาเจ้าของสิทธิบัตรได้จัดทำโครงการบริจาคยาให้กับผู้ป่วยระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ


นพ.วิทิต กล่าวว่า สำหรับยาโคพิโดเกรลที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคหัวใจนั้น เป็นยาซีแอลที่ใช้เวลาในการนำเข้านานมาก เนื่องจากติดในเรื่องการนำขึ้นทะเบียนยา เพราะบริษัทยาสามัญในประเทศอินเดียไม่ได้นำขึ้นทะเบียนยาตั้งแต่แรก อีกทั้งยังต้องใช้เวลาในการตรวจสอบคุณภาพของยาและการผลิต อีกทั้งในช่วงที่มีการสั่งทบทวนซีแอล ทางบริษัทยังขาดความมั่นใจในนโยบายจึงชะลอการลงนามสัญญาจัดซื้อกับทาง อภ.ก่อน อย่างไรก็ตามเมื่อมีการยืนยันชี้แจงการทำซีแอลกลับไปว่าเป็นการดำเนินการถูกต้อง ทางบริษัทจึงพร้อมเซ็นสัญญาแล้ว


นพ.วิทิต กล่าวว่า ในส่วนของยาซีแอลที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ ทั้งยาเอฟฟ่าไวแรนซ์ ยาต้านไวรัสสูตรโลพินาเวียร์และลิโทนาเวียร์ รวมถึงยาโคพิโดเกรล สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ ขณะนี้อยู่ระหว่างการวิจัยผลิต โดยนำเข้าเคมี สารตั้งต้นการผลิตยาจากอินเดีย เนื่องจากทางผู้ป่วยต้องการให้ทาง อภ.เป็นผู้ผลิตเอง คาดว่าไม่เกิน 6 เดือนจากนี้ไป จะสามารถผลิตยาเหล่านี้ให้กับผู้ป่วยได้ ส่วนยามะเร็งนั้น แม้ว่าจะอยู่ในวิสัยที่ผลิตเองได้ แต่ต้องมีการสร้างโรงงานผลิตยามะเร็งโดยเฉพาะ เนื่องจากขั้นตอนการผลิตมีความเป็นพิษสูง ต้องใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่าพันล้านบาท รวมทั้งเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งทั้งหมดต้องมีการคำนวณจุดคุ้มทุน โดยคำนวณจากจำนวนผู้ป่วยและการใช้ยาดังกล่าว


อย่างไรก็ตามยาที่ติดสิทธิบัตรนั้น จะใช้ได้เฉพาะผู้ป่วยภายในประเทศเท่านั้น ไม่สามารถจำหน่ายออกนอกประเทศได้จนกว่าหมดสิทธิบัตรก่อน


DSI รู้จุดทำลายศพสมชายอังคณาจี้เรียกทักษิณสอบ


ผู้จัดการรายวัน - วานนี้ (12 มี.ค.)ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยความคืบหน้าถึงคดีการหายตัวไปของ นายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิมว่า พนักงานสอบสวนประชุมร่วมกันอยู่เสมอ ยืนยันว่า คดีมีความคืบหน้า ในสัปดาห์หน้าน่าจะมีข่าวดี แต่ยังเปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกไม่ได้ เนื่องจากต้องนำเสนอข้อเท็จจริงเพิ่มเติมต่อ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.หัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีนี้ก่อน


สำหรับประเด็นสำคัญคือ จะต้องพิสูจน์ว่านายสมชาย เสียชีวิตแล้ว เพราะการหายหัวไปของนายสมชาย ครบ 4 ปี แล้วโดย ไม่เคยติดต่อญาติสนิท จึงน่าจะเป็นไปได้ว่าเสียชีวิตแล้ว อย่างไรก็ตาม การหายตัวของนายสมชาย เกี่ยวข้องกับการที่นายสมชาย เตรียมดำเนินคดีกับนายตำรวจชุดที่สอบสวนจับกุมผู้ต้องหาคดีเจไอ ซึ่งคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)


ด้าน พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ โฆษกดีเอสไอ กล่าวว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รักษาการอธิบดีดีเอสไอกำชับมาโดยตลอดว่าคดีทนายสมชาย เป็นคดีที่มีความสำคัญในระดับชาติ ซึ่งดีเอสไอจะมอบหมายให้ พล.ต.อ.ธานี รับผิดชอบเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนต่อไป


รายงานข่าวเปิดเผยว่า ล่าสุดดีเอสไอได้หลักฐานใหม่บ่งชี้ถึงสถานที่ซึ่งนายสมชาย ถูกนำตัวไปฆ่าและเผาทำลายศพ ซึ่งแหล่งข่าวให้ข้อมูลว่าไม่ใช่พื้นที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งดีเอสไอเคยประสานขอให้ทหารนำกำลังปูพรมตรวจค้นบริเวณบ่อขยะ และแม่น้ำแม่กลอง ใน จ.ราชบุรี


วันเดียวกันเวลา 13.50 น.ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.)ได้จัดเวทีแถลงข้อเสนอต่อรัฐบาลในหัวข้อ"4 ปีอุ้มหายทนายสมชาย นีละไพจิตร กับความรับผิดชอบของรัฐบาลไทย"เนื่องในวาระครบรอบ 4 ปี ที่ทนายสมชายถูกอุ้มหายตัวไป


โดยก่อนการแถลงข่าวเวทีดังกล่าวได้เปิดวีดีโอภาพในอดีตที่ทนายสมชาย เคยเสวนา เรื่องสิทธิมนุษยชนใน 3 จังหวัดภาคใต้กับชาวมุสลิม ที่ศูนย์สันติชน ม.ราม เมื่อ 27 ก.พ.47 และได้เปิดสกู๊ปการหายตัวไปของนายสมชาย จากนั้น นางสาวประทับจิต นีละไพจิตร บุตรสาวทนายสมชาย ได้อ่านถ้อยแถลงที่นางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาทนายสมชาย ได้เขียนไว้และเป็นฉบับเดียวกันกับที่นางอังคณา ได้นำไปยื่นต่อองค์การสหประชาชาติ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อให้ยูเอ็นติดตาม ตรวจสอบ กรณีคนหายในภาคใต้ และให้ยูเอ็นกระตุ้นรัฐบาลไทยให้เร่งคลี่คลายคดีการอุ้มฆ่าสมชาย โดยนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ


ถ้อยแถลงดังกล่าวได้เรียกร้องต่อรัฐบาลและกรมสอบสวนคดีพิเศษ แสดงความจริงใจในการสอบสวนคดีอย่างโปร่งใสเป็นธรรม มีความยุติธรรมในขบวนการสอบสวน และกล้าลงโทษตำรวจระดับสูงที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และขอให้ดีเอสไอกล้าที่จะออกหมายเรียก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาสอบปากคำและให้การเป็นพยานกรณีที่มีคนใกล้ชิดเข้าไปค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร์ที่มีรูปถ่ายหน้าตรงของทนายสมชายไปโดยไม่แจ้งเหตุผล และขอเรียกร้องให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รักษาการอธิบดีดีเอสไอ เร่งสะสางคดีให้ความจริงปรากฏ และให้ดีเอสไอทำงานอย่างรัดกุม หาหลักฐานให้เพียงพอ เพื่อลงโทษคนผิดที่แท้จริง โดยไม่ต้องเร่งรีบนำเรื่องฟ้องร้อง โดยปราศจากพยานหลักฐานที่ชัดเจน


ทางด้านนายสมชาย หอมลออ ประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน ได้กล่าวเรียกร้องให้รัฐบาล โดยเฉพาะ ป.ป.ช.เร่งคลี่คลายคดีและจับกุมตำรวจกองปราบที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาลงโทษต่อไป


เผยเหยื่อแม่เมาะถูกลอยแพ 100% กฟผ.ฝืนมติครม.จังหวัดหมดทางช่วย


ผู้จัดการรายวัน - นายสามารถ ลอยฟ้า รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง กล่าวถึงความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาผู้อพยพแม่เมาะ ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแม่เมาะ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเรื้อรังมานานกว่า 10 ปี ว่า ขณะนี้กลุ่มผู้ที่ต้องการให้ กฟผ.จ่ายเงินชดเชยให้คงไม่มีปัญหาแล้ว เพราะอำเภอได้เร่งทำการเบิกจ่ายตามขั้นตอน ส่วนที่เหลือคือต้องสอบเพิ่มเติมเท่านั้น


ที่เป็นปัญหาคือ กลุ่มของผู้ป่วย ซึ่งมีจำนวน 108 หลังคาเรือนที่ต้องการให้ กฟผ.สร้างบ้านมั่นคงให้ โดยคิดเป็นจำนวนเงินประมาณหลังคาเรือนละ 500,000 บาท รวมแล้วประมาณ 54 ล้านบาท ที่ ครม.ได้มีมติให้ กฟผ.จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวแล้ว ถึง 2 ครม. แต่ กฟผ.ก็ไม่ยอมจ่าย ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอะไร ทราบจากสื่อแต่เพียงว่า กฟผ.อ้างว่าจะต้องให้ครม.ชุดปัจจุบันเห็นชอบอีกครั้ง เพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่าจะต้องรอทำไม เมื่อ ครม.เคยอนุมัติมาแล้ว ถึง 2 ครั้ง แต่ กฟผ.ก็ไม่ดำเนินการ จังหวัดเองขณะนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่สามารถเข้าไปบังคับให้กฟผ.จ่ายเงินได้


"เมื่อกลุ่มผู้ป่วยมาสอบถามก็ต้องแนะนำว่ามีทางเดียว คือ กลุ่มผู้ป่วยก็ต้องไปฟ้องศาลปกครองและร้องไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้เข้ามาสั่งการโดยตรง มิฉะนั้นจังหวัดก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน"


นางมะลิวรรณ นาควิโรจน์ เลขาธิการเครือข่ายผู้ป่วยแม่เมาะ กล่าวในเรื่องนี้ว่า จะขอรอดูการประชุมในวันที่ 20 มี.ค. 2551 อีกครั้ง เนื่องจากในการประชุมครั้งนี้ มีนายอำเภอแม่เมาะเป็นประธาน โดยร่วมกับตัวแทนผู้ป่วยที่มีอำนาจตัดสินใจแทนผู้ป่วยทั้งหมด จำนวน 6 คน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 6 คน ตัวแทนองค์กรภาคเอกชน 6 คน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง กฟผ.เพื่อนำข้อสรุปทั้งหมดมาคุยกันอีกครั้ง เนื่องจากกลุ่มผู้ป่วยฯสงสัยว่าเมื่อ ครม.อนุมัติแล้ว กฟผ.ไม่ขัดข้อง แต่ทำไมถึงไม่ยอมจ่ายเงินให้แก่กลุ่มผู้ป่วยแต่จ่ายให้แก่กลุ่มของผู้ใหญ่มาลี - นายสมบูรณ์


ทั้งนี้ หากในวันที่ 20 มี.ค. 2551 ที่ประชุมไม่เป็นผลสำเร็จ ทางกลุ่มจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายทันที และจะขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราว พร้อมกับจะขอให้ระงับโครงการทั้งหมดรวมทั้งเงิน 380 ล้านที่ กฟผ.จะนำมาใช้ในการพัฒนาโดยรอบ กฟผ.ด้วย รวมถึงจะส่งรายงานทั้งหมดให้แก่ ป.ป.ช. เพื่อเข้ามาตรวจสอบการใช้จ่ายเงินทุกโครงการของ กฟผ.ที่ได้มีการอนุมัติไป เพราะกลุ่มผู้ป่วยสงสัยว่า กฟผ.มีการคอร์รัปชั่นในโครงการต่างๆ และนอกจากนี้ก็จะร้องเรียนไปยัง ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบผู้บริหาร และคณะทำงานในการแก้ไขปัญหาของผู้ป่วยแม่เมาะด้วย


ปดส.ปล่อยตัวนิสิตสาวแพร่ภาพลามกแล้ว


สยามรัฐ - วันที่ 12 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี ตำรวจ บก.ปดส.จับกุม น.ส.ดาว (นามสมมติ) อายุ 20 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะบริหารคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ในคดีเผยแพร่คลิปวิดีโอนักเรียนสาวกำลังสำเร็จความใคร่ให้เพื่อนชายบนรถประจำทางปรับอากาศลงในเว็บไซต์ว่า หลังสอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบแล้วทางพนักงานสอบสวน บก.ปดส.ได้ปล่อยตัว น.ส.ดาว กลับโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันใดๆเนื่องจากเป็นเหตุซึ่งหน้าที่พบตัวผู้กระทำผิดขณะตรวจค้น ส่วนเครื่องคอมพิวเตอร์ยึดมาจากบ้านพักนั้นจะให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบและรายงานผลอย่างเป็นทางการอีกครั้งหากรวบรวมหลักฐานเสร็จสิ้นก็จะสรุปสำนวน พร้อมกับเรียกตัวผู้ต้องหาไปรายงานตัวต่ออัยการอีกครั้ง


ด้าน พล.ต.ต.วิมล เปาอินทร์ ผบก.ปดส. กล่าวถึงคดีนี้ว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้ต้องหาแล้ว โดยผู้ต้องหาเข้าใจว่าการกระทำดังกล่าวไม่มีความผิด แต่ตาม พ.ร.บ.การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นั้นระบุว่า การส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ประเภทสิ่งลามกอนาจารนั้นมีความผิด ซึ่งมีโทษจำคุกถึง 5 ปี นอกจากนี้การโพสข้อความที่เป็นการหมิ่นประมาททำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายก็มีโทษจำคุก 2 ปี ดังนั้นจึงอยากเตือนผู้ที่ใช้อินเตอร์เน็ตทั้งหลายให้ระมัดระวังการกระทำดังกล่าวด้วยเนื่องจากเป็นความผิดทางกฎหมายรายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้ทางชุดสืบสวน บก.ปดส.กำลังสืบสวนขยายผลไปยังเว็บไซต์ต่างๆ ที่นำคลิปดังกล่าวมาเผยแพร่ โดยเตรียมรวบรวมหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายศาลเข้าตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังได้ขยายผลตรวจสอบหนุ่มสาวที่ปรากฏในคลิปดังกล่าวด้วย ซึ่งขณะนี้ทางชุดสืบสวนมีเบาะแสของวัยรุ่นทั้งสองคนแล้วหากเป็นที่แน่ชัดก็จะต้องเชิญตัวมาสอบสวนด้วยเช่นกัน


 


 


ต่างประเทศ


 


"โอบามา" คว้าชัยที่มิสซิสซิปปี


เว็บไซต์สยามรัฐ - ยังเดินหน้ากวาดชัยชนะอย่างไม่หยุดยั้ง สำหรับ "บารัก โอบามา" ผู้สมัครผิวสีและวุฒิสมาชิกรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งล่าสุดมีชัยเหนือ นางฮิลลารี คลินตัน อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งและวุฒิสมาชิกรัฐนิวยอร์ก คู่แข่งคนสำคัญในศึกหยั่งเสียงเลือกตั้งขั้นต้นแบบไพรมารีที่รัฐมิสซิสซิปปี เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาตามวันเวลาท้องถิ่น อันมีจำนวนคณะผู้แทนหรือดิลิเกตส์ (Delegates) จำนวน 33 เสียง เป็นเดิมพันโดยชัยชนะครั้งนี้ก็เป็นไปตามความคาดหมาย และตามการสำรวจความคิดเห็นหรือโพลล์ที่ออกมาก่อนหน้านี้ มิหนำซ้ำผลคะแนนที่ออกมายังทิ้งห่างกันอีกต่างหากด้วย


สำหรับผลคะแนนที่ออกมานั้นปรากฏว่า นายโอบามา ชนะไปด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 61 ขณะที่นางฮิลลารี ได้เพียงร้อยละ 37 เท่านั้น และจากตัวเลขที่ออกมาก็ทำให้ผู้สมัครผิวสีรายนี้ จะได้จำนวนดิลิเกตส์ เพิ่มขึ้นจากเดิม 20 เสียง ส่งผลให้ในเวลานี้ เขาได้มีจำนวนดิลิเกตส์อยู่ในมือรวมทั้งสิ้น 1,596 เสียง ส่วนอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ มีจำนวนรวมดิลิเกตส์ 1,484 เสียง ตามหลังอยู่ 112 เสียงด้วยกัน


ทั้งนี้ บรรดาคอการเมืองสหรัฐฯ ออกมาวิเคราะห์ว่า สาเหตุของชัยชนะครั้งนี้ ก็มิใช่อะไรอื่น แต่เป็นเพราะรัฐมิสซิสซิปปีแห่งนี้ ฐานเสียงส่วนใหญ่เป็น "คนผิวดำ" ซึ่งเป็น "สีเดียวกับนายโอบามา" นั่นเอง


ขณะที่ สถานการณ์ภายในทีมของนางฮิลลารีได้เกิดเรื่องวุ่นๆ เข้าบ้างแล้ว ภายหลังจากนางเจอราลดิน เฟอร์เรโร หนึ่งในผู้สนับสนุนของเธอ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นายโอบามาชนิดที่พาดพิงไปเรื่องผิวสีของเขาว่า หากนายโอบามาเป็นผิวขาวเขาก็จะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนี้


งานนี้ก็ทำเอานางฮิลลารีต้องออกมาเต้น พร้อมกับกล่าวแสดงความเสียใจต่อคำพูดของนางเฟอร์เรโร ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้สมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครต เมื่อครั้งการเลือกตั้งปี 2527 ทั้งนี้ ก็ด้วยคำพูดดังกล่าว หมิ่นเหม่ต่อการถูกฝ่ายตรงข้ามจับมาประเด็นเป็นเรื่อง "การเหยียดสีผิว" ไปเมื่อไหร่ก็ได้ และเมื่อนั้นสถานการณ์ของฮิลลารีที่กำลังเพลี่ยงพล้ำอยู่ ณ เวลานี้ ก็จะยิ่งเลวร้ายหนักกว่าที่เป็นอยู่


 


จีนคุมเข้มหวยลดปัญหาสังคม


เว็บไซต์คมชัดลึก - หนังสือพิมพ์พีเพิล เดลี ฉบับวันพุธ (12 มี.ค.) รายงานว่า รัฐบาลปักกิ่งเตรียมออกกฎระเบียบใหม่เพื่อคุมเข้มการซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลมากขึ้น หลังจากพบว่าประชาชนบ้าเล่นหวยจนถึงกับล้มละลายและฆ่าตัวตาย


รายงานข่าวเผยว่า ตามร่างกฎระเบียบใหม่ที่จะบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้นี้ ทางการจะเน้นไปที่ควบคุมการซื้อขายลอตเตอรี่ รวมไปถึงการคุ้มครองผู้ซื้อลอตเตอรี่มากขึ้น นอกเหนือจากเตรียมห้ามการซื้อลอตเตอรี่ผ่านบัตรเครดิต ตลอดจนห้ามเยาวชนเข้าไปซื้อขายลอตเตอรี่ด้วย


ถ้าหากทางการลงมติรับรองร่างกฎระเบียบดังกล่าว ก็ถือเป็นครั้งแรกที่จีนออกกฎระเบียบระดับประเทศเพื่อควบคุมดูแลการซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลโดยตรง นับตั้งแต่อนุญาตให้มีการซื้อขายลอตเตอรี่เมื่อปี 2530 เป็นต้นมา ทั้งนี้ ยอดการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลในปี 2549 มีมูลค่ารวมกันราว 3.63 แสนล้านหยวน


รายงานข่าวแจ้งว่า ตลอดช่วงที่ผ่านมา การเล่นการพนันถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่รัฐบาลอนุญาตให้ประชาชนที่อยากเสี่ยงโชคได้รางวัลใหญ่สามารถซื้อลอตเตอรี่ได้ อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ปีที่แล้ว สื่อเริ่มโจมตีสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อสวัสดิการจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในสองสำนักงานที่ได้รับมอบอำนาจให้ออกสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ว่า ทำให้ผู้ซื้อลอตเตอรี่มัวเมากับการพนันจนไม่เป็นอันทำมาหากิน


ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์เซาเทิร์น วีคเอ็น รายงานเมื่อเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา ว่า ผู้จัดการการตลาดในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่งต้องสูญเงินไปกับการทุ่มซื้อลอตเตอรี่ถึง 1.8 ล้านหยวน (ราว 7.62 ล้านบาท) ภายในช่วงแค่ 9 เดือนเท่านั้น ทำให้ภรรยาของนักธุรกิจผู้นั้นตัดสินใจฆ่าตัวตาย


ขณะที่หนังสือพิมพ์หางโจว เดลี รายงานเมื่อวันอังคารว่า ครูโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งถูกตำรวจจับกุม หลังจากไม่มีเงินจ่ายให้ธนาคารจากการใช้บัตรเครดิตถึง 25 ใบ ซื้อลอตเตอรี่เป็นเงินถึง 4.1 แสนหยวน


หนังสือพิมพ์พีเพิล เดลี รายงานด้วยว่า ปัญหาสังคมที่พบมากขึ้นอันเนื่องจากการเล่นหวย ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐร่างกฎระเบียบเพื่อใช้ควบคุม และจะมีการทำประชาพิจารณ์ในวันที่ 28 มี.ค.นี้ ก่อนบังคับใช้กฎระเบียบอย่างเป็นทางการโดยเร็ว


ฝ่ายค้านวีโต้ "มุโตะ" เป็นผู้ว่าการ BOJ กูรูชี้ ปชช.เอือมนายกฯ ญี่ปุ่นหนักขึ้น


ผู้จัดการรายวัน - เมื่อวานนี้ (12 มี.ค.) วุฒิสภาญี่ปุ่นลงคะแนน 129 ต่อ 106 เสียง คัดค้านการเสนอชื่อมุโตะ ขึ้นเป็นผู้ว่าการบีโอเจ ต่อจากโทชิฮิโกะ ฟุคุอิ ซึ่งจะหมดวาระดำรงตำแหน่งในวันพุธหน้า (19 มี.ค.)


ก่อนหน้านี้ เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (7 มี.ค.) รัฐบาลญี่ปุ่นเสนอชื่อมุโตะ รองผู้ว่าการบีโอเจ และอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขึ้นเป็นผู้ว่าการบีโอเจคนใหม่ อีกทั้งยังเสนอชื่อทากาโตชิ อิโต ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว และมาซากิ ชิรากาวะ ขึ้นเป็นรองผู้ว่าการบีโอเจ


นอกเหนือจากที่วีโต้มุโตะแล้ว วุฒิสภาญี่ปุ่นซึ่งฝ่ายค้านครองเสียงข้างมากยังคัดค้านการเสนอชื่ออิโต ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรียาสึโอะ ฟุคุดะ เห็นชอบแต่เพียงชิรากาวะ ให้ขึ้นเป็นรองผู้ว่าการบีโอเจ


ที่ผ่านมา ส.ว. ฝ่ายค้านวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายรัฐบาลอย่างหนักที่สนับสนุนให้มุโตะขึ้นเป็นผู้ว่าการบีโอเจคนใหม่ เนื่องจากมุโตะเคยเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีคลัง ฝ่ายค้านเกรงว่าหากมุโตะขึ้นบริหารบีโอเจจะทำให้นโยบายทางการเงินของแบงก์ชาติแดนปลาดิบไม่เป็นอิสระจากรัฐบาล


โนบุตากะ มาชิมุระ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรียกร้องให้พรรคเดโมแครติกปาร์ตี้ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านสำคัญ กลับมาพิจารณาการเสนอชื่อมุโตะอีกครั้ง


ขณะที่ฟุคุชิโร นุคางะ รัฐมนตรีคลัง กล่าวว่ารัฐบาลไม่ได้วางทางเลือกอื่นๆ อีกทั้งยังจะผลักดันให้มุโตะขึ้นเป็นผู้ว่าการบีโอเจต่อไป


ทางด้านยูคิโอะ ฮาโตยามา แกนนำระดับสูงของพรรคเดโมแครติกปาร์ตี้ กล่าวว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะทำให้แน่ใจได้ว่าจะสรรหาผู้ว่าการบีโอเจคนใหม่ได้ภายใน 1 สัปดาห์


"หากรัฐบาลเลือกคนที่เหมาะสม ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะคัดเลือกและแต่งตั้งผู้ว่าแบงก์ชาติคนต่อไปได้ทันวันที่ 19 มีนาคมนี้" ฮาโตยามากล่าว


การที่ฝ่ายค้านวีโต้การเสนอชื่อมุโตะยิ่งทำให้ผู้คนวิตกว่าจะเกิดภาวะสุญญากาศทางนโยบายการเงินในญี่ปุ่น ขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกก็ชะลอตัวและเกิดความปั่นป่วนในตลาดการเงิน


"ถือเป็นเรื่องน่าละอายใจของทั้งฝ่ายรัฐบาลและพรรคเดโมแครติกปาร์ตี้" ทาเกฮิโร ซาโต นักเศรษฐศาสตร์แห่งมอร์แกนสแตนลีย์ วาณิชธนกิจชื่อดัง กล่าว


"ทั้งสองฝ่ายต้องยินยอมโอนอ่อนให้กันและกัน ฝ่ายค้านควรเสนอทางเลือกอื่นๆ แต่ก็ไม่ทำเช่นนั้น....ฝ่ายรัฐบาลเสนอชื่อผู้ที่ก็รู้ๆกันอยู่ว่าจะถูกฝ่ายค้านต่อต้านอย่างแน่นอน ดังนั้น จึงต้องโทษทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านในเรื่องนี้"


"การที่ทั้งสองฝ่ายหารือเรื่องนี้ไม่เพียงพอ ทำให้ตลาดสูญเสียความมั่นใจว่าการตัดสินใจครั้งนี้อิงอยู่บนเนื้อหาจริงๆ ไม่ใช่ความอาฆาตพยาบาททางการเมือง" ซาโต กล่าว


นักวิเคราะห์ยังจับตาดูผลการต่อสู้ทางการเมืองในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าสื่อญี่ปุ่นจะคาดการณ์ว่า ชิรากาวะ ซึ่งฝ่ายค้านเห็นชอบให้เป็นรองผู้ว่าการบีโอเจ อาจได้รับการแต่งตั้งเป็นรักษาการผู้ว่าการบีโอเจ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์มองว่าไม่ใช่ทางออกที่ดีเลย ในช่วงที่โลกเผชิญกับแนวโน้มที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะดำดิ่งสู่ภาวะถดถอย


นักวิเคราะห์ต่างเห็นพ้องว่าทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างไม่ได้คะแนนนิยมจากประชาชนในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ประชาชนจำนวนมากเบื่อหน่ายเอือมระอากับภาวะทางตันที่เพิ่มมากขึ้นหลังจากที่ฝ่ายค้านครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ซึ่งเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านวีโต้การแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆหรือทำให้การพิจารณากฎหมายล่าช้าออกไป


อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า การที่รัฐบาลไม่สามารถแต่งตั้งมุโตะยิ่งส่งผลร้ายต่อนายกรัฐมนตรีฟุคุดะมากกว่าฝ่ายค้าน เนื่องจาก "ฟุคุดะเป็นผู้นำญี่ปุ่นและต้องทำให้งานต่างๆประสบผลสำเร็จ"


 


 


 


 


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net