Skip to main content
sharethis

จากกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะพิจารณาทบทวนการใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา หรือซีแอล จนเป็นเหตุให้กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนไม่พอใจ ล่าสุดเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 กุมภาพันธ์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี ชมรมเพื่อโรคไต ชมรมเพื่อโรคมะเร็ง มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค มูลนิธิเอดส์ คณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ (กพอ.) กว่า 200 คน เดินทางมารวมตัวกัน เพื่อยื่นหนังสือให้แก่คณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะนายไชยา เพื่อรับฟังเหตุผลในการทบทวนการทำซีแอล กับยามะเร็ง


 


นายอัมพร ยลมานะ รองประธานชมรมเพื่อโรคไต และแกนนำกลุ่มเครือข่ายภาคประชาชน กล่าวว่า จากกรณีที่ รมว.สาธารณสุข ต้องการทบทวน ซีแอล เนื่องจากรับฟังความคิดจากบริษัทยาเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ถูกต้อง อีกทั้งการตัดสินใจทำอะไร ควรมีข้อมูลให้ครบถ้วน จึงอยากให้คณะรัฐมนตรีชุดนี้ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย คำนึงถึงภาคประชาชนเป็นหลัก


 


"รมว.สาธารณสุขคนใหม่ เพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน ผมรู้ว่าท่านไฟแรง แต่เรื่องไหนที่ดี ถูกต้อง โปร่งใสอยู่แล้ว ท่านไม่ควรนำมาปรับปรุง แก้ไขให้มันแย่เข้าไปอีก เพราะการยกเลิกซีแอล ไม่ได้กระทบผู้ป่วยที่ต้องแบกภาระในเรื่องค่าใช้จ่ายเพียงอย่างเดียว แต่กระทบต่อครอบครัวของผู้ป่วยด้วย ประชาชนเลือกท่านมา เพราะอยากให้ท่านเข้ามาช่วยเหลือสุขภาพ และ สธ.เป็นกระทรวงทำหน้าที่ดูแลสุขภาพของประชาชน ไม่ใช่ดูแลการค้าของประเทศ" นายอัมพร กล่าว


 


นายอัมพร กล่าวอีกว่า ในวันนี้ ถ้ายังไม่ได้รับคำตอบจากท่าน รมว.สาธารณสุข หรือมีการยกเลิกซีแอลเกิดขึ้น กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งไม่ใช่มีเพียงผู้ป่วยโรคมะเร็ง 1 หมื่นคนอย่างที่บริษัทยาได้กล่าวอ้าง แต่ผู้ป่วยจากทั่วประเทศจะเดินหน้ามาคัดค้าน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องการช่วยเหลือ ยื้อชีวิตคน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ


 


นายวิรัตน์ ภู่ระหงษ์ ประธานกลุ่มเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี เอดส์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ข้อมูลที่นายไชยา ได้รับทราบมานั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพราะโครงการซีแอลที่เกิดขึ้นนั้น นพ.มงคล ณ สงขลา อดีต รมว.สาธารณสุข ได้ประชุมร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และภาคประชาชน รวมไปถึงมีการจัดตั้งคณะกรรมการการศึกษา คณะกรรมการเจรจาต่อรองราคายา ซึ่งตอนนั้น สธ.ได้เชิญบริษัทยามาหารือเพื่อต่อรองราคา แต่บริษัทยาไม่ยอมลดราคาให้ สธ.จึงได้จัดตั้งโครงการนี้


 


"ก่อนการเริ่มซีแอล คณะ รมว.สาธารณสุข ชุดเก่าได้มีกระบวนการ ขั้นตอนที่ถูกต้อง โปร่งใส ดังนั้น การนำเรื่องซีแอลมาทบทวนอีกครั้งของนายไชยา ก็ไม่ต่างกับการบอกยกเลิก เพราะถึงนายไชยา บอกว่าไม่ได้กล่าวว่ายกเลิก และพร้อมยืนเคียงข้างประชาชน แต่ที่ รมว.สาธารณสุขคนใหม่ทำอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่ รมว.สาธารณสุขที่ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพของประชาชน แต่กลับสื่อให้เห็นว่าเป็น รมว.สาธารณสุข ที่คำนึงเรื่องการค้ามากกว่า จึงอยากฝากให้ รมว.ยกเลิกการทบทวนซีแอล และคำนึงถึงสุขภาพชีวิตของประชาชน" นายวิรัตน์ กล่าว


 


นายวิรัตน์ กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ ถ้ามีการยกเลิกซีแอลเกิดขึ้น เชื่อว่ากลุ่มมะเร็งกว่า 7หมื่นคน กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวีกว่า 1.4 แสนคน ผู้ป่วยโรคไต 1 หมื่นคน รวมไปถึงกลุ่มเครือข่าย องค์กรต่างๆ จะเดินหน้าเรียกร้องที่ สธ.อย่างแน่นอน เพราะในขณะนี้กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยระดับรากหญ้าเตรียมตัวพร้อมที่จะเข้ายึด สธ.


 


นางฟ้าง่าย คำอโศก หนึ่งในผู้ป่วยโรคมะเร็ง กล่าวว่า ในการรักษาโรคมะเร็งนั้น ไม่ใช่รักษา 1-2 วันแล้วหาย แต่ต้องรักษาต่อเนื่อง ซึ่งยารักษาโรคมะเร็งเข็มหนึ่ง 2 แสนกว่าบาท และต้องรับประทานยาเม็ดละ 700-800 บาท ผู้ป่วยระดับรากหญ้าไม่มีกำลังซื้ออย่างแน่นอน ระบบประกันสุขภาพ หรือซีแอล ถือเป็นโครงการที่ช่วยเหลือคนจนที่ป่วยเป็นโรคนี้อย่างแท้จริง จึงอยากฝากถาม รมว.สาธารณสุขคนใหม่ว่า มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ไม่เคยคอรัปชั่นใช่หรือไม่ ทำไมถึงไม่คิดถึงมนุษย์โลกบ้าง ทั้งนี้ การรักษาเกี่ยวกับชีวิตของคน ไม่ควรมีการจดลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร เพื่อนำมาขูดรีดประชาชน


 


ทั้งนี้ หนังสือที่กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนยื่นให้นายกรัฐมนตรี ระบุถึง จุดยืนของเครือข่ายต่อรัฐบาล 1.กรณีที่ประเทศไทยประสบปัญหาด้านสาธารณสุข รัฐบาลต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนในการตัดสินใจทำซีแอลกับยาที่มีความจำเป็นในโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง 2.พวกเราไม่เห็นด้วยกับการที่ รมว.สาธารณสุข นำเรื่องซีแอลยากับมะเร็งทั้งสี่ชนิดกลับมาพิจารณาอีกครั้ง เนื่องจากกระบวนการดังกล่าวมีความโปร่งใส และมีขั้นตอนที่สามารถตรวจสอบได้ โดยผ่านคณะกรรมการถึง 3 ชุด นอกจากนั้น ยังมีกระบวนการเจรจาต่อรองราคากับบริษัทยา ก่อนที่จะมีการประกาศกับยาซีแอลทุกตัว


 


ขณะที่นายไชยา เปิดเผยว่า จากการประเมินกระแสข่าวขณะนี้ ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่ากระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายจะยกเลิกการประกาศทำซีแอลยารักษาโรคมะเร็ง 4 ชนิด ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนเดิมประกาศเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2551 ได้แก่ ยาอิมาทินิบ (Imatinib) รักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว และโรคมะเร็งทางเดินอาหาร ยาโดซีแท็กเซล (Docetaxel) รักษาโรคมะเร็งปอดและมะเร็งเต้านม ยาเออร์โลทินิบ (Erlotinib) ใช้รักษาโรคมะเร็งปอด และเลโทรโซล (Letrozole) รักษาโรคมะเร็งเต้านม


 


นายไชยา กล่าวว่า ขอทำความเข้าใจว่ากระทรวงสาธารณสุขไม่ได้มีนโยบายจะยกเลิกซีแอลแต่อย่างใด แต่มีนโยบายจะทบทวนถึงความเหมาะสม รวมทั้งการคำนึงถึงผลกระทบด้านอื่นๆ ที่จะตามมา ซึ่งไม่เพียงเฉพาะแค่กระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น ยังเกี่ยวข้องกับการค้า การส่งออกของประเทศ ซึ่งอยู่ในความดูแลของกระทรวงพาณิชย์


 


ส่วนผลการหารือเรื่องซีแอลในที่ประชุม ครม.นั้น นายไชยา กล่าวว่า ในวันนี้ได้นำเรื่องเข้าหารือ ครม.นอกรอบ โดยหารือกับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ซึ่งการหารือเป็นไปด้วยดี นายกฯ มีแนวทางให้ทั้งสามกระทรวง คือ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศ ไปหารือร่วมกัน โดยมีนายกฯ เป็นประธาน นอกจากนี้ ยังได้ย้ำให้แต่ละกระทรวงรักษาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก โดยจะนัดวันหารืออีกครั้งภายหลังที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อสภาแล้ว แต่จะเป็นวันไหนนั้น เป็นอำนาจของนายมิ่งขวัญ ที่จะเรียกประชุม ดังนั้น วันนี้จึงเป็นเพียงการคุยนอกรอบ ยังไม่สามารถสรุปอะไรได้


 


นายไชยา กล่าวต่อว่า กระทรวงพาณิชย์ได้แจ้งว่า มีหลายเรื่องที่ได้รับผลกระทบจากการทำซีแอล ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรบ้างนั้น ยังไม่ได้คุยในรายละเอียด คงต้องรอการหารืออีกครั้งกับทั้งสามกระทรวง คาดว่าภายหลังการหารือน่าจะได้ข้อสรุปที่ดี หากทุกฝ่ายเข้าใจปัญหาร่วมกัน ส่วนการกดดันจากองค์กรภายนอกนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้ฝากให้ทุกฝ่ายทำในสิ่งที่ถูกต้อง กระทรวงไหนรับผิดชอบเรื่องใดก็ดูเรื่องนั้นเป็นพิเศษ ดังนั้น ก็ต้องรักษาผลประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นหลัก โดยเรื่องที่ผู้ป่วยกลัวมากที่สุดคือการเข้าไม่ถึงยา ซึ่งยืนยันว่าไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้


 


นายไชยา กล่าวต่อว่า เห็นว่าการทำซีแอลของ นพ.มงคล ณ สงขลา อดีต รมว.สาธารณสุข ไม่ชอบมาพากล โดยเฉพาะวันที่ นพ.มงคล ลงนามประกาศซีแอลยามะเร็งนั้น เป็นวันที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ได้ลงจากตำแหน่งไปแล้ว และเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกว่าทำไม นพ.มงคล ถึงลงนามในวันที่ไม่มีหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งขั้นตอนตรงนี้มีความผิดเพี้ยน


 


ส่วนการที่กลุ่มเครือข่ายผู้ป่วยชุมนุมที่หน้าทำเนียบนั้น นายไชยา กล่าวว่า ไม่ได้พบปะกับกลุ่มผู้ชุมนุม และคิดว่าก่อนหารือกับ 3 กระทรวง คงไม่มีการหารือกับเครือข่ายผู้ป่วย แต่จะทำสรุปออกมาให้ทุกฝ่ายพอใจ นอกจากนี้ จะไม่สอบถามข้อมูลกับ นพ.มงคล เพราะถือว่า นพ.มงคล ได้ทำซีแอลในขณะที่มีอำนาจ ซึ่งเป็นสิทธิที่จะทำได้


 


"การที่ท่านประกาศอะไร ก็มาจากเจตนารมณ์ของท่าน เหมือน ส.ส.ร.ร่างกฎหมาย บางครั้งเรายังแปลกฎหมายไม่ออก ต้องกลับไปถามว่าเจตนารมณ์ในการร่างรัฐธรรมนูญคืออะไร ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ส่วนใครจะได้ประโยชน์จากการทำซีแอลในครั้งนั้นหรือไม่ ไม่สามารถตอบได้ อย่างไรก็ตาม อยากให้สื่อมวลชนช่วยเช็กว่าในวันที่นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี เรียกสามกระทรวงคุยกันก่อนทำซีแอลนั้น นพ.มงคล ไม่อยู่ บอกว่าไปราชการต่างประเทศ อยากให้ไปดูว่าไปประเทศไหน ท่านอาจจะไปพูดคุยต่อรองราคายาให้ถูกลง เพื่อประเทศชาติได้รับผลประโยชน์ก็เป็นไปได้ ผมไม่คิดว่าเรื่องนี้จะมีเบื้องหลัง และไม่คิดว่าโดนวางยา เพราะถ้าวางยาผมก็ต้องสลบไปแล้ว" นายไชยา กล่าว


 


ด้าน นพ.วิชัย โชควิวัฒน อดีตประธานคณะกรรมการสนับสนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรโดยรัฐ (ซีแอล) กล่าวยืนยันถึงการทำซีแอลในยามะเร็ง 4 รายการว่า เป็นการทำเพื่อประชาชน ซึ่งพรรคพลังประชาชนควรทำเพื่อประชาชน เพราะสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และตนได้เห็นหนังสือจากกระทรวงพาณิชย์แล้ว และเห็นว่าควรพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบด้าน ซึ่งการที่สมาคมพรีม่า แจ้งว่าหากไทยทำซีแอลจริง สมาคมพรีม่าในสหรัฐ จะให้ยูเอสทีอาร์จัดอันดับไทยเป็นประเทศถูกจับตาสูงสุดทางการค้า เป็นเพียงแค่ความเห็นของเอกชนแห่งหนึ่งในสหรัฐเท่านั้น ดังนั้น รัฐบาลต้องพิจารณาให้รอบคอบ


 


"การข่มขู่แบบนี้ เหมือนไทยไม่มีอธิปไตย ทั้งการทำซีแอลรอบแรกนั้น ในช่วงที่ นพ.มงคล เดินทางไปชี้แจงสหรัฐ สมาคมพรีม่าแม้ว่าจะตำหนิเราอย่างรุนแรง แต่เมื่อเราตอบโต้ด้วยเหตุผล สมาคมพรีม่าจึงได้ขอโทษเราถึง 3 ครั้ง เนื่องจากการทำซีแอลไม่ได้ละเมิดต่อกติกาสากลแต่อย่างใด นอกจากนี้ ไทยยังได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาคองเกรสถึง 33 คน ยืนยันว่าหากทางยูเอสทีอาร์ เลื่อนไทยอยู่ในประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษในขณะนั้น เนื่องจากไทยทำซีแอล ถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง" นพ.วิชัย กล่าว


 


นพ.วิชัย กล่าวอีกว่า ส่วนที่อ้างถึงการประชุมในวันที่ 4 มกราคม 2551 ที่ระบุว่า นพ.มงคล ไม่เข้าร่วมประชุมนั้น ในเรื่องนี้ข้อเท็จมีอยู่ว่า การประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการทำซีแอลยามะเร็งนั้น ความจริงได้มีการเริ่มประชุมกันตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2550 โดยมีตัวแทนกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งที่ประชุมมีจุดยืนแล้ว ส่วนการประชุมในวันที่ 4 มกราคมนั้น เท่าที่จำได้ ในวันนั้น นพ.มงคล ติดภารกิจเดินทางไปต่างจังหวัด ไม่ได้ไปต่างประเทศ โดยมอบหมายให้ตนเป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุมและมีอำนาจตัดสินใจ แต่ในวันดังกล่าวกลับไม่มีการประชุมแต่อย่างใด และเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด และอยากให้กลับไปอ่าน พ.ร.บ.สิทธิบัตร ในมาตรา 51 ระบุชัดเจนว่า การดำเนินการบังคับใช้สิทธิ เป็นอำนาจของกระทรวง ทบวง กรม ไม่ใช่ ครม. แต่หากเป็นมาตรา 52 ต้องนำเข้า ครม.ให้นายกรัฐมนตรีลงนามก่อน


 


"เท่าที่ทราบ นพ.มงคล ได้เปลี่ยนเบอร์โทรแล้ว ซึ่งท่านคงไม่อยากพูด เพราะได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และผมกับ นพ.มงคล เป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง รู้จักกันดี ซึ่งผมสามารถชี้แจงในเรื่องนี้แทนได้ ซึ่งการทำซีแอลนี้ได้ปรึกษา ดำเนินงานด้วยความรอบคอบที่สุด"


 


นพ.วิชัย กล่าวว่า อยากเตือนว่าการที่สหรัฐต้องการให้เรายกเลิกการทำซีแอลแล้วอย่าคิดว่าจะหยุดเพียงแค่นี้ เพราะสิ่งที่สหรัฐต้องการนั้นมี 2 เรื่อง และได้แสดงเจตนาชัดเจนในการเจรจาเอฟทีเอแล้ว คือ 1.ต้องการให้ไทยแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร มาตรา 51 เพื่อทำให้ไทยไม่สามารถทำซีแอลได้อีกต่อไป ทั้งที่สอดคล้องกับกฎหมายในสหรัฐ เหมือนกับเป็นการตัดมือตัดเท้าเรา และ 2.การยืดอายุสิทธิบัตรต่อไปอีก 5 ปี จากเดิมที่กำหนดไว้ 20 ปี เป็นการเปิดช่อง ดังนั้น วันนี้เราต้องหยุด และต้องยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ศรี


 


"การที่รัฐบาลจะทบทวนการทำซีแอลก็มีสิทธิทำได้ แต่การทบทวนต้องทำอย่างมีเหตุมีผลและรอบคอบ คำนึงศักดิ์ศรีของประเทศ อย่าทำแบบกลัวลนลาน แต่ขอให้เงยหน้าคุยกับเขาด้วยเหตุผล ไม่ใช่เพียงแค่มาอ้างสมาคมเอกชน เราก็กลัวจนถอยแล้ว" นพ.วิชัย กล่าว


 


 


 


ที่มา : เว็บไซต์คมชัดลึก

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net