Skip to main content
sharethis

 


การเมือง


 


 


เลขาพปช. ชี้โผ ครม.ยังไม่ชัด


เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ - นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน พร้อมด้วย ส.ส.ของพรรคกว่า 70 คน ได้มารวมตัวกันที่พรรค ก่อนนั่งรถบัสไปบ้านพักของนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรค เพื่อร่วมพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ทั้งนี้ นพ.สุรพงษ์ กล่าวถึง ความคืบหน้าการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี ว่า ยังไม่ได้กำหนดว่าจะหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อไร แต่คงเป็นภายในสัปดาห์นี้ เพื่อหารือเรื่องการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี และนโยบายรัฐบาล


 


ส่วนที่ยังมีกระแสข่าวว่า นายสมัครจะนั่งควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั้น นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้รายชื่อที่เป็นข่าวออกมายังไม่มีความชัดเจน จะสังเกตได้ว่า มาถึงวันนี้รายชื่อมีการเปลี่ยนแปลงไปจากสัปดาห์ที่แล้วมาก และยังคงจะเปลี่ยนแปลงไปอีก ความชัดเจนคงจะเกิดขึ้น หลังจากที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะเร่งพิจารณาบุคคลที่เหมาะสมเป็นรัฐมนตรีโดยเร็ว


 


อย่างไรก็ตาม นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะต้องเป็นคนที่สามารถรวมพลังของบุคลากร ที่มีความสามารถในกองทัพทุกเหล่าทัพ ให้มาช่วยแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ เช่น ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การสร้างความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะพิจารณาบุคคลที่มีความเหมาะสมที่สุด ส่วนจะเป็นทหารหรือพลเรือน เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะพิจารณาด้วยความรอบคอบ และในวันพรุ่งนี้ (30 ม.ค.) จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ณ ที่ทำการพรรค เวลา 14.00 น.


 


สำหรับกรณีที่มีสื่อต่างชาติวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลใหม่ว่า จะอยู่บริหารประเทศได้ไม่เกิน 3 เดือน นพ.สุรพงษ์ ว่า การวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องปกติตามระบอบประชาธิปไตย แต่รัฐบาลจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อให้ปัญหาต่าง ๆ ที่หวั่นเกรงไม่เกิดขึ้น และไม่คิดว่าสิ่งที่ติติงเสนอแนะด้วยความห่วงใย จะมาบั่นทอนกำลังใจ แต่เป็นสิ่งที่เราจะต้องมุ่งมั่นทำงานหนักให้มากขึ้น และไม่รู้สึกกดดัน เห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะขณะนี้ประเทศมีวิกฤต รัฐบาลก็ต้องแก้ไข งานหนักเราไม่กลัว แต่ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกัน เพื่อให้ประเทศผ่านพ้นปัญหาที่เผชิญไปได้


 


 


คมช.ร่วมวงถกการเมือง หลัง"หมัก" นั่งนายกฯ


ด้าน ผบ.เหล่าทัพ นัดทานข้าวทุกเช้าวันอังคารถ่วงดุลอำนาจ


เว็บไซต์แนวหน้า - ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.ทหารสูงสุด พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผบ.ทร. และสมาชิกคมช. พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม และเลขาธิการ คมช. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.และผู้ช่วยเลขาธิการคมช. ร่วมรับรับประทานอาหารเช้าและหารือถึงสถานการณ์ทางการเมืองภายหลังนายสมัคร สุนทรเวช ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ซึ่งถือเป็นการหารือร่วมกันของสมาชิกคมช.ครั้งแรกหลังจาก คมช.ประกาศยุติการประชุมอย่างเป็นทางการ


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการนัดทานข้าวหารือระหว่างสมาชิก คมช. ซึ่งมี พล.อ.อ.ชลิต เป็นประธานนั้น ได้หารือถึงกรณีที่ คมช.จะจัดแถลงยุติบทบาทอย่างเป็นทางการภายหลังที่คณะรัฐบาลเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่ง คมช. จะแถลงผลการทำงานตลอด 1 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะมูลเหตุ 4 ประการที่ คมช. ใช้ในการประการยึดอำนาจการปกครองของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าสาเหตุที่เกิดการกระทำในวันที่ 19 กันยายน 2549 มีมูลเหตุจากอะไร โดยเฉพาะสถานการณ์ขณะนั้นหากปล่อยไว้อาจจะเกิดเหตุนองเลือดของประชาชน 2 ฝ่าย รวมถึงมีการบริหารประเทศของรัฐบาลที่เกิดความเคลือบแคลงสงสัยของสังคม ทำให้คณะปฏิรูปการปกครองฯจึงตัดสินใจเข้ากระทำการยุติการปกครองในเวลานั้น


 


"สาเหตุที่ คมช. ต้องการแถลงมูลเหตุปฏิรูปนั้น เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน เพราะขณะนี้ผู้ที่เข้ามาบริหารประเทศพยายามที่จะเบี่ยงเบนประเด็นให้เห็นว่าคณะปฏิรูปการปกครองฯ คือ ผู้ที่ทำลายระบบประชาธิปไตย และกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงต้องชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน ทั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อต้องการให้บรรยากาศทางการเมืองเกิดปัญหา แต่เพื่อให้ประชาชนเข้าใจสิ่งที่ คมช. ดำเนินการมาตลอด"แหล่งข่าว คมช.กล่าว


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดการทำงาน 1 ปีกว่า คมช. วางกรอบเวลาชัดเจนที่จะให้มีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลใหม่ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามกรอบเวลาที่ คมช. กำหนด หากจะพูดว่าสำเร็จหรือไม่ก็ถือว่าระดับหนึ่ง และบ่งชี้ให้เห็นว่า คมช. ไม่ต้องการเข้ามาแสวงอำนาจหรือสืบทอดอำนาจ เมื่อทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติ คมช. ก็ถอยออกปล่อยให้การเมืองดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ คมช. ยังคงทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ และหากหมดวาระไปก็ยังให้ความสนับสนุนองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้น โดยเฉพาะ คตส. และ กกต. ในเรื่องการดูแลความปลอดภัย หากมีการร้องขอ โดย คมช. จะแปรสภาพการทำงานเป็นรูปแบบของผู้บัญชาการเหล่าทัพ และจะมีการประชุมหารือร่วมรับประทานอาหารเช้าทุกวันอังคารเช่นเดิม


 


 


คลังไล่บอร์ดวิสาหกิจตรวจคุณสมบัติ


เดลินิวส์ - รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง ให้เร่งสำรวจคุณสมบัติของคณะกรรมการในปัจจุบันเพื่อให้เป็นไปตามกฎ หมายคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนัก งานรัฐวิสาหกิจ ฉบับแก้ไข ที่มีผลบังคับใช้แล้วอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะเรื่องการเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจที่กำหนดให้เป็นได้ไม่เกิน 3 แห่ง รวมถึงการเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจที่อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับรัฐวิสาหกิจในเครือ ซึ่งเชื่อว่าภายในเร็ว ๆ นี้ทุกรัฐวิสาหกิจจะสรุปรายละเอียดภาพรวมทั้งหมดมาให้กระทรวงการคลังรับทราบ


 


ทั้งนี้ในส่วนของข้าราชการกระทรวงการคลัง ได้ปรับลดให้เป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจไม่เกิน 3 แห่งแล้ว และได้ตรวจสอบคุณสมบัติให้เป็นไปตามกฎหมายใหม่และเป็นไปตามรัฐธรรม นูญปี 50 ที่มีข้อห้ามและข้อกำหนดจำนวนมาก


 


นอกจากนี้กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างจัดทำหลักเกณฑ์ของบุคคลที่เหมาะสมที่จะเข้า มาอยู่บัญชีรายชื่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ หรือไดเรคเตอร์ พูล เพื่อเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกรายชื่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ ที่มีนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานพิจารณารายละเอียดก่อนเปิดประกาศรับสมัครอย่างเป็นทางการ


 


ทั้งนี้การจัดทำบัญชีรายชื่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ ถือเป็นมิติใหม่ของกระบวนการคัดสรรกรรมการของรัฐวิสาหกิจ โดยได้บัญชีรายชื่อกรรม การที่มีความรู้ ความสามารถและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน สอดคล้องตามลักษณะของธุรกิจและการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจนั้น รวมถึงการได้บุคคลที่มีคุณธรรมและจริยธรรม


 


 


 


เศรษฐกิจ


 


 


ไฟเขียวขึ้นราคาก๊าซหุงต้มอีก20สตางค์ต่อกิโลฯ


เว็บไซต์สยามรัฐ - นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน หรือ สนพ. เปิดเผยว่า สนพ.ได้พิจารณาปรับราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นก๊าซหุงต้มเพิ่มขึ้น 20 สตางค์ต่อกิโลกรัม มีผลเช้าวันที่ 30 ม.ค.51 เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตก๊าซหุงต้ม ที่มาจากโรงแยกก๊าซ ได้ปรับตัวสูงขึ้นไปประมาณร้อยละ 3 โดยจากการคำนวนโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้มในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 พบว่าจะมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมาจากราคาก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้น และแม้จะมีเรื่องของอัตราค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น แต่ก็ช่วยได้เพียงเล็กน้อย ซึ่งจากราคาขายส่งที่ปรับสูงขึ้น ผู้ค้าก๊าซหุงต้ม อาจจะพิจารณาปรับราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้ราคาขายปลีก ภาครัฐไม่ได้ควบคุมราคาไว้แล้ว หากผู้ค้าก๊าซหุงต้ม จะปรับราคาขายปลีกขึ้น


 


 


ปตท.ขึ้นเบนซินลิตรละ30-50สตางค์และดีเซล20 สตางค์


เว็บไซต์คมชัดลึก - นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมก๊าซปิโตรเลียม กล่าวว่า โรงบรรจุก๊าซได้มีหนังสือแจ้งขอปรับขึ้นราคาขายก๊าซ เนื่องจากต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 โดยจะปรับราคาก๊าซหุงต้มขนาดถัง 15 กิโลกรัม ขึ้น 3-5 บาทต่อถัง ซึ่งการปรับราคาเป็นไปตามเพดานที่แจ้งไว้กับกรมการค้าภายใน ซึ่งการปรับราคาก๊าซหุงต้มในครั้งนี้ ทำให้ราคาขายขนาดถัง 15 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจาก 280-285 บาท เป็น 285-290 บาท และขนาดถัง 48 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจาก 820 บาท เป็น 830 บาท


 


"สมาคมขอยืนยันว่า การปรับราคาขึ้นครั้งนี้ เป็นไปตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม หากจะมีการปรับราคาก๊าซก็จะเป็นการปรับราคาสำหรับสต็อกสินค้าใหม่เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ค้าก๊าซจะขอปรับราคาค่าขนส่งขึ้น แต่เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลไม่ถึง 30 บาทต่อลิตร จึงทำให้ไม่มีการปรับราคาขึ้น" นายกสมาคมก๊าซปิโตรเลียม ระบุ


 


ด้านนายวีระพล จิระประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า แม้โรงบรรจุก๊าซจะปรับราคาเพิ่มขึ้นตามเพดานที่ขอไว้กับกรมการค้าภายใน แต่ผู้ค้าปลีกยังไม่สามารถปรับราคาขายกับประชาชนได้ โดยจะต้องรอการอนุมัติจากกรมการค้าภายในก่อน อย่างไรก็ตาม เห็นว่าค่าการตลาดของราคาก๊าซยังสูงอยู่คือ 3.2626 บาทต่อกิโลกรัม ถือว่าสูงเมื่อเทียบกับค่าการตลาดของราคาน้ำมัน


 


ขณะที่นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการกำกับดูแลค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติและบริการ เปิดเผยว่า ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ คณะกรรมการจะประชุมเพื่อพิจารณาค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ที่จะเปลี่ยนแปลงในรอบเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม 2551 ซึ่งมีแนวโน้มว่าค่าเอฟทีงวดใหม่จะปรับขึ้น เพราะราคาก๊าซธรรมชาติปรับขึ้น 10 บาทต่อล้านบีทียู ส่วนค่าไฟฟ้าในงวดเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ก็อาจต้องปรับขึ้นอีกครั้ง จากการใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงหลักผลิตไฟฟ้า เพราะปริมาณน้ำในเขื่อนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อาจไม่เพียงพอต่อการผลิตไฟฟ้า


 


บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลิตรละ 30-50 สตางค์และปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอีกลิตรละ 20 สตางค์ วันพรุ่งนี้ ( 30 มค.) หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับขึ้นมาก ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันของ ปตท.ในเขต


 


กรุงเทพและปริมณฑล เป็นดังนี้ เบนซิน ออกเทน 95 อยู่ที่ลิตรละ 32 บาท 79 สตางค์, เบนซิน ออกเทน 91 อยู่ที่ 31 บาท 69 สตางค์, แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 28 บาท 79 สตางค์, แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 27 บาท 99 สตางค์ ส่วนดีเซล อยู่ที่ 29 บาท 14 สตางค์ และไบโอดีเซล อยู่ที่ 28 บาท 34 สตางค์


 


 


ขิงแก่สะบัดก้นส่งไม้ให้สมัคร พาเศรษฐกิจ ฝ่ามรสุมลูกใหม่


เดลินิวส์ - นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ผลกระทบจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐ อเมริกาคงต้องเป็นภาระของรัฐบาลใหม่ในการแก้ปัญหา เพราะขณะนี้ยังไม่ลุกลามมายังประเทศไทย จึงไม่สามารถที่จะไปคิดแทน หรือเสนอความเห็นต่อรัฐบาลใหม่ได้ เนื่องจากเชื่อว่ารัฐบาลใหม่คงต้องดูแลเศรษฐกิจให้ดีได้อย่างดี ส่วนรัฐบาลชุดนี้จะทำหน้าที่โดยเร่งส่งมอบงานให้ผู้ที่เข้ามาบริหารงานต่ออยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด


 


ทั้งนี้นโยบายที่รัฐบาลชุดนี้พยายามส่งเสริมเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ชุมชนจากผลกระทบทั้งในและต่างประเทศคือ ยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข ซึ่งในปี 52 อาจใช้งบประมาณเพิ่มอีกกว่า 15,000 ล้านบาทในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิต จากที่ในปี 50 ใช้เงิน 7,000 ล้านบาท และในปี 51 จัดสรรเงิน 15,000 ล้านบาทแล้ว


 


สำหรับความคืบหน้าของยุทธศาสตร์ อยู่ดีมีสุข 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็น จัดสรรให้จังหวัดไปสนับสนุนชุมชนเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ เพิ่มรายได้ของชุมชน 13,500 ล้านบาท, จัดสรรให้ตามวิสัยทัศน์ที่จังหวัดได้แสดงแนวทางขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 1,350 ล้านบาท ซึ่งจังหวัดที่มีวิสัยทัศน์ระดับเอ มี 31 จังหวัด ได้รับจังหวัดละ 19.87 ล้านบาท, ระดับบี มี 34 จังหวัด ได้รับจังหวัดละ 17.27 ล้านบาท และระดับซี มี 10 จังหวัด ได้รับจังหวัดละ 14.68 ล้านบาท


 


นอกจากนี้ยังจัดสรรอีก 150 ล้านบาท สนับสนุนการบริหารจัดการติดตามประเมินผลและประชาสัมพันธ์ส่วนกลางและระดับจังหวัด


 


ส่วนผลดำเนินการในปี 50 ได้อนุมัติโครงการแล้ว 101,629 โครงการ วงเงิน 6,997 ล้านบาท ซึ่งวงเงิน 65% อยู่ในแผนงานด้านการพัฒนาอาชีพ, 12% อยู่ในการดูแลความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ 23% ด้านบริการสังคม ขณะที่ปี 51 ได้ยึดแนวทางเหมือนกับปี 50 โดยยุทธศาสตร์ได้เชื่อมโยงการพัฒนากับระบบราชการส่วนท้องถิ่นมากขึ้น รวมทั้งขยายการกระจายอำนาจ มีหลายจังหวัดที่มีการบูรณการทั้งงานและงบประมาณเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น


 


 


ทรูขอแจมใช้โครงข่ายร่วมทีโอที


เดลินิวส์ - ทีโอทีจับมือทรูเดินหน้าใช้โครงข่ายร่วมกัน หลังจูงมือเอไอเอสลงนามเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนความคืบหน้าไทยโมบายอยู่ระหว่างตัดสินใจซื้อหุ้นจาก กสท


 


พ.อ.นที ศุกลรัตน์ โฆษกคณะกรรม การ (บอร์ด) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังการประชุมบอร์ดว่า ที่ประชุม บอร์ดทีโอที มีมติอนุมัติให้ทำข้อตกลงร่วมกัน (MOU) กับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในการส่งเสริมและพัฒนากิจการโทรคมนาคมไทย เพื่อเป็นพันธมิตรกันในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยให้มีความแข็งแกร่ง เพื่อให้ใช้งานโครงข่ายโทรคมนาคมที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ หรือลดการลงทุนซ้ำซ้อน โดยเมื่อสัปดาห์ที่ ผ่านมาทีโอทีได้ทำ MOU ลักษณะเดียวกันกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ เอไอเอส แล้ว


 


สำหรับการทำ MOU ครั้งนี้ ทีโอที และทรูจะดำเนินการให้บริการและพัฒนาบริการรูปแบบใหม่ ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นบริการลักษณะใดบ้าง ขณะที่บริการซ้ำซ้อนกัน เช่น โทรศัพท์บ้าน และบรอดแบนด์ก็จะไม่มีการก้าวก่ายกันโดยต่างฝ่ายต่างให้บริการ


 


ส่วนความคืบหน้าเรื่องกิจการร่วมค้าไทยโมบาย พ.อ.นที กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากบอร์ด บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด ซึ่งแจ้งความจำนงขายหุ้นกิจการร่วมค้าไทยโมบาย ที่ถืออยู่ 42% รวมไปถึงสิทธิในการบริการคลื่นความถี่ 1900 เมกะเฮิรตซ์ ให้กับทีโอที เป็นจำนวนเงิน 2,400 ล้านบาท และให้ระยะเวลาผ่อนชำระใน 5 ปี ซึ่งทีโอทีได้รับเงื่อนไขดังกล่าวไว้พิจารณา และส่งต่อให้ฝ่ายบริหารพิจารณารายละเอียดซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์


 


 


 


ต่างประเทศ


 


 


ผู้ว่าแบงก์ชาติอิเหนาต้องสงสัยทุจริต


ผู้จัดการรายวัน - รอยเตอร์ - หน่วยงานพิเศษเพื่อปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นของอินโดนีเซีย ซึ่งใช้ชื่อว่าว่า เคพีเค ระบุว่า บุรฮานุดดีน อับดุลเลาะห์ ผู้ว่าการธนาคารกลางแดนอิเหนา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อาวุโสของทางแบงก์อีก 2 คน ต้องสงสัยว่ามีการนำเอาเงินจากมูลนิธิแห่งหนึ่งซึ่งเกี่ยวโยงกับแบงก์ชาติ ไปใช้ในทางมิชอบ สื่อมวลชนของอินโดนีเซียเสนอข่าวกันเกรียวกราวเมื่อวานนี้ (29)


 


ทางด้านอับดุลเลาะห์รีบจัดการแถลงข่าว โดยบอกว่ายังไม่ได้รับหมายแจ้งอย่างเป็นทางการจากเคพีเค ขณะที่โฆษกเคพีเคกล่าวว่า จะแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ในวันนี้ (30)


 


มีรายงานว่า เคพีเคเริ่มการสอบสวนเรื่องนี้ หลังจาก อันวาร์ นาซูติออน ประธานของสำนักงานตรวจบัญชีสูงสุด ซึ่งตัวเขาเองก็เคยเป็นรองผู้ว่าการอาวุโสของแบงก์ชาติ ที่มีชื่อเรียกว่า แบงก์ อินโดนีเซีย มาก่อน ได้ออกมาแจ้งว่า พบหลักฐานว่าเมื่อปี 2004 มูลนิธิวายพีพีไอ ซึ่งเกี่ยวโยงกับธนาคารชาติ ได้จ่ายเงินให้แก่สมาชิกรัฐสภาหลายคนอย่างผิดกฎหมาย ตลอดจนให้เป็นค่าใช้จ่ายช่วยเหลือด้านกฏหมายแก่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ แบงก์ อินโดนีเซีย หลายราย รวมแล้วเป็นจำนวน 100,000 ล้านรูเปียห์ (10.70 ล้านดอลลาร์)


 


 


ญี่ปุ่นรณรงค์ออกใบรับรองร้านอาหารญี่ปุ่นในต่างแดน         


ไอเอ็นเอ็น - ญี่ปุ่น เริ่มการรณรงค์ออกใบรับรองอาหารญี่ปุ่นขนานแท้ในต่างแดน โดยจะมอบตราสัญลักษณ์ที่เป็นเครื่องหมายรับรองว่าเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นขนาน แท้ติดไว้หน้าร้าน


 


ตราสัญลักษณ์ดังกล่าวเป็นรูปตะเกียบคีบกลีบดอกซากุระอยู่ด้านหน้าธงอาทิตย์ อุทัยสีแดง ความพยายามสร้างมาตรฐานร้านอาหารญี่ปุ่นขนานแท้ในต่างแดนเป็นความคิดริ เริ่มของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญนอกภาครัฐ แต่การตัดสินใจว่าจะรับรองร้านอาหารแห่งใดจะให้เป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่ ท้องถิ่น


 


ทั้งนี้ ร้านอาหารที่ผ่านเกณฑ์ได้ใบรับรองจะต้องใช้ข้าวญี่ปุ่นและส่วนประกอบของ อาหารตามฤดูกาล นอกจากนี้ จะต้องแสดงถึงความรู้ในตำรับอาหารญี่ปุ่นและถูกสุขอนามัย ร้านที่ผ่านเกณฑ์จะต้องผ่านมาตรฐานอย่างน้อย 2 มาตรฐานจาก 5 มาตรฐาน เช่น การจัดเมนู ความดั้งเดิม และการบริการลูกค้า กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการรับรองมาตรฐานครั้งนี้มีจุดประสงค์ เพื่อสนับสนุนอาหารญี่ปุ่น ไม่ใช่ทำตัวเป็นตำรวจควบคุมร้านอาหารญี่ปุ่น


 


ญี่ปุ่นคาดว่ามีร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วโลกประมาณ 25,000 แห่งและจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หลังจากได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่า อาหารญี่ปุ่นเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net