Skip to main content
sharethis

การเมือง


 


 


คาดโปรดเกล้าฯ นายกฯคนใหม่ 28 ม.ค.นี้


เว็บไซต์เดลินิวส์ - นายไชยา ยิ้มวิไล โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมครม. ว่าพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยได้แจ้งในที่ประชุมครม. ว่า การประชุมครม.นี้เป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากได้ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพล.อ.สุรยุทธ์ค่อนข้างมั่นใจว่าในวันศุกร์ที่ 25 ม.ค.นี้ น่าจะมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว และน่าเชื่อว่าจะมีการโปรดเกล้าฯ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเร็วที่สุด ซึ่งน่าจะเป็นวันจันทร์ที่ 28 ม.ค. อย่างไรก็ตามในการประชุมครั้งนี้นั้น นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ และพล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน รองนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย เนื่องจากติดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ ทั้งนี้บรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยดีและรัฐมนตรีหลายคนออกอาการคิดถึงที่ประชุมครม. ในขณะที่ตนได้ยกมือไหว้ลาห้องประชุมแล้วบอกว่า เอาไว้เจอกันเมื่อชาติต้องการ ซึ่งก็คงเป็นชาติหน้า



 


"สุรยุทธ์" กลั้นใจ ปล่อย "เสรีพิศุทธ์" ผ่านปรับโครงสร้าง ตช.ใหม่ หนุนตั้งรัฐตำรวจ 33 บช. 6 บังคับการ พร้อมตั้งเพิ่ม 9 สำนัก ระดับนายพล.คุม


เว็บไซต์แนวหน้า - นายไชยา ยิ้มวิไล โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างพ.ร.ฎ.แบ่งส่วนราชการตำรวจ พ.ศ... โดยเห็นชอบโครงสร้างใหม่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) ให้หน่วยงานระดับกองบัญชาการ 33 หน่วยงานและหน่วยงานระดับกองบังคับการ 6 หน่วยงาน พร้อมกับตั้งหน่วยงานใหม่ 9 หน่วยงาน คือ 1. สำนักงานเลขานุการ 2. สำนักงานกำลังพล 3. สำนักงานข่าวกรอง 4. สำนักงานนโยบายและแผน 5. สำนักงานวิชาการและกฎหมาย 6. สำนักงานกำลังบำรุง 7. สำนักงานงบประมาณและการเงิน 8. กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ และ 9. สถาบันพัฒนาข้าราชการตำรวจ โดยระดับผู้บัญชาการระดับนายพล


 


นายไชยา กล่าวอีกว่า ในที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบเรื่อง ที่ ตช. เสนอขอเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการตำรวจในปีงบประมาณ 52-53 ในการขอรับการจัดสรรอัตราคืนเนื่องจากการเกษียณอายุราชการของข้าราชการตำรวจในปี 50 จำนวน 1,494 อัตรา และอนุมัติการก่อสร้างที่พักอาศัยแก่ตำรวจภูธรภาค 8 และ 9 มูลค่าโครงการ 338 ล้านบาท


 


อย่างไรก็ตามในสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้ให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวส ผบ.ตร. ตช.นำเรื่องโครงสร้าง ตช. ใหม่และการขอเพิ่มอัตรากำลังพลในปีงบประมาณ 52-53 ปีละ 8,000 อัตรา แบ่งเป็นสัญญาบัตร 4,000 อัตรา และ ประทวน 4,000 อัตรา รวมทั้งสิ้น 16,000 อัตรา โดยใช้วงเงินงบประมาณปีละ 925.68 ล้านบาท เนื่องจากเห็นว่าไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงด้านบุคคลากร และงบประมาณ


 


แหล่งข่าวทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า ในที่ประชุม พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ได้เดินทางมาชี้แจงด้วยตัวเองจากก่อนหน้านี้ในการนำเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม ครม. ถึง 3 ครั้งมิได้มาด้วยตัวเอง และระหว่างการประชุม พยายามพูดโน้มน้าวให้กับ พล.อ.สุรยุทธ์ ถึงความจำเป็นในโครงสร้างใหม่ และการเพิ่มอัตรากำลังพล โดยชี้แจงว่าได้พยายามผลักดันเรื่องนี้มากว่า 37 ปี แต่ทางสำนักงานข้าราชการพลเรือน (กพ.) แสดงความเห็นว่าการนำเสนอโครงสร้างใหม่ของ ตช. ไม่สอดคล้องกับการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าเต็มศักยภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง



"นายกฯ ต้องทุบโต๊ะสรุปเรื่องนี้ และต้องพูดตัดบทต่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ด้วยตนเอง เพราะพล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ พยายามพูดโน้มน้าวถึงความสำคัญในการขอเพิ่มอัตรากำลังพล 1.6 หมื่นอัตรา ว่ามีความจำเป็น แต่นายกฯ เห็นว่า ในการนำเสนอโครงสร้าง ตช. กับอัตรากำลังพล ควรจะทำมาเป็นแพ็คเกจเดียวกัน ไม่ใช่เมื่อเสนอเรื่องกำลังพลไม่ผ่าน ก็มาขอเพิ่มกำลังพลเกษียณอายุใหม่เข้ามาอีก แต่ไม่ได้ดำเนินการให้สอดคล้องกันกับโครงสร้างใหม่ที่นำมาเสนอ" แหล่งข่าวกล่าว



ทั้งนี้ กพ. เห็นว่า ตช.ควรบริหารจัดการอัตรากำลังโดยใช้อัตราที่ว่างอยู่ก่อน และเกลี่ยจากหน่วยงานอื่น รวมถึงควรจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุคืนทั้งหมด เกลี่ยเป็นอัตรากำลังในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และภารกิจหลักที่สำคัญและจำเป็นแทน



นอกจากนี้ กพ.ได้ให้ความเห็นจากการจัดจ้างศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นที่ปรึกษาดำเนินโครงการศึกษาเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์กำลังคนภาครัฐ กรณี ตช. พบว่า การเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการตำรวจปีละ 8,000 อัตรา เป็นระยะเวลา 3 ปี จะต้องใช้งบประมาณ 898.8 ล้านบาท ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรในภาพรวม


 


 


ครม.อนุมัติแผนปรับโครงสร้างบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูฐานะการเงิน ขสมก.


เว็บไซต์แนวหน้า - นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุม ครม.วันนี้ได้อนุมัติแผนปรับโครงสร้างการบริหารจัดการเพื่อการฟื้นฟูฐานะการเงินขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. ตามข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมทั้งกระทรวงคมนาคมโดย ครม.อนุมัติให้ดำเนินการตามแผนดังกล่าว พร้อมทั้งเร่งรัดในเรื่องของร่างพระราชบัญญัติบริหารการขนส่ง ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 50 แล้วให้ความเห็นชอบกรอบแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างองค์กรด้านการขนส่ง การประยุกต์ใช้สัญญาพีวีซี ให้ความเห็นชอบในหลักการ ให้ปรับเปลี่ยนระบบค่าโดยสารจากการจัดเก็บเป็นรายสาย และผู้ประกอบการสามารถจัดเก็บรายได้ไว้กับตัว โดยระบบที่ผู้ประกอบการต่างๆ มีหน้าที่เป็นผู้รับจ้างเดินรถ และนำส่งรายได้ค่าโดยสารที่เป็นเงินสดเข้าบัญชีกองทุนกลาง ให้รัฐรับภาระหนี้สินสะสมที่มีอยู่เดิมทั้งหมด อันเนื่องมาจากผลการดำเนินงานขาดทุนของ ขสมก. ที่ดำเนินการตามนโยบายของรัฐ


 


นายโชติชัย กล่าวอีกว่า ขสมก.และกระทรวงคมนาคม เร่งหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาแนวทางบริหารจัดการภาระหนี้ รวมดอกเบี้ยของ ขสมก. จำนวน 57,200 ล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมการในเรื่องการปรับโครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกับบทบาทการให้บริการ ซึ่งต้องแข่งขันกับเอกชน ทั้งนี้ให้มีการจัดทำรายละเอียดแยกบัญชี ระหว่างผลประกอบการที่เกิดจากประสิทธิภาพในการดำเนินงาน (Commercial Basis) กับผลประกอบการที่เกิดจากการดำเนินการตามนโยบาย (Public Service Obligation)


 


นายโชติชัย แถลงอีกว่า นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ได้อนุมัติข้อเสนอของกระทรวงคมนาคม ที่ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อชำระหนี้ค่าน้ำมันพร้อมดอกเบี้ย และหนี้ค่าเหมาซ่อมพร้อมดอกเบี้ย ในปีงบประมาณ 2550 (ตุลาคม 2549 - กันยายน 2550) ซึ่งประกอบด้วย หนี้ค่าน้ำมันพร้อมดอกเบี้ย วงเงินไม่เกิน 3,476 ล้านบาท หนี้ค่าเหมาซ่อมพร้อมดอกเบี้ย วงเงินไม่เกิน 1,944 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 5,421 ล้านบาทโดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และกำหนดเงื่อนไขในการกู้ดังกล่าว



ทั้งนี้ ในส่วนของรายละเอียดเงินกู้นั้น ทาง ขสมก.ได้เจรจาต่อรองเพื่อขอลดหนี้ค่าน้ำมัน และค่าเหมาซ่อม พร้อมดอกเบี้ย กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัทผู้รับเหมาซ่อมรถทั้ง 5 บริษัท โดย ปตท.จะคิดดอกเบี้ยจากอัตรา MOR ทบต้น เป็น MOR -3 ขณะที่รายละเอียดในเรื่องบริษัทผู้รับเหมาซ่อมทั้ง 5 บริษัท ซึ่งจะยังคงคิดอัตราดอกเบี้ยตามสัญญา คือ MOR ดังนั้น ครม.จึงได้เห็นชอบให้สนับสนุนการกู้เงินเพื่อชำระหนี้ดังกล่าวของ ขสมก


 


 


เพิ่มรองปลัด มท. นั่งควบ ผอ.ศอ.บต.


เว็บไซต์แนวหน้า - พ.อ.ประชาสัณห์ ชนะสงคราม ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอในการเพิ่มตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย เพิ่ม 1 ตำแหน่ง เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ ผู้อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผอ.ศอบต.) โดยกำหนดเงื่อนไขเวลาในการดำรงตำแหน่ง โดยให้สามารถยุบเลิกการดำรงตำแหน่งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อหมดความจำเป็น ซึ่งในการเพิ่มตำแหน่งรองปลัดในครั้งเพราะตำแหน่ง ผอ.ศอบต. (นาย พระนาย สุวรรณรัฐ) ไม่มีอำนาจทางกฎหมายรองรับการปฏิบัติงาน


 


 


"คลัง-พลังงาน" ถกค่าเช่าท่อก๊าซล่ม "ฉลองภพ" ขอ ครม.เลื่อน "ปิยสวัสดิ์" ผุดไอเดียใหม่


บ้านเมือง - นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการหารือเกี่ยวกับการพิจารณาอัตราค่าเช่าท่อก๊าซของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ว่า การหารือและพิจารณาเกี่ยวกับอัตราค่าเช่าท่อก๊าซของบริษัท ปตท. ยังไม่ยุติ เนื่องจากตัวเลขการคำนวณมีมากเป็นหลักหมื่น แต่ขณะนี้มุมมองในการคำนวณตัวเลขระหว่างกระทรวงการคลัง และ ปตท. เริ่มคล้ายกันมากขึ้นแล้ว โดยในวันพุธที่ 23 ม.ค.51 จะมีการหารือร่วมกันอีกรอบเพื่อหาข้อยุติให้ได้ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 22 ม.ค. จะรายงานให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทราบเกี่ยวกับรายละเอียดที่ได้ในขณะนี้ อีกทั้งเพื่อขอยืดระยะเวลาออกไป แต่ยืนยันว่าจะเร่งสรุปให้ได้ภายในสัปดาห์นี้


 


สำหรับตัวเลขเกี่ยวกับรายได้ค่าผ่านท่อที่ผ่านมา ปรากฏว่ายังไม่มีความชัดเจนว่าเป็นอย่างไร ดังนั้น กระทรวงการคลัง จึงให้ ปตท.กลับไปคำนวณอีกรอบ โดยให้ดูจากก๊าซที่ผ่านท่อที่เป็นของกระทรวงการคลังว่าเป็นจำนวนเท่าไหร่ ทั้งนี้ ในส่วนของรายได้ค่าผ่านท่อทั้งระบบชัดเจนแล้วว่าอยู่ที่ 19,000 ล้านบาทต่อปี แต่ก็จะต้องมีการพิจารณาอีกว่าในจำนวนนี้แบ่งเป็นเท่าใดบ้าง เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่ารายได้ของกระทรวงการคลังเป็นเท่าไหร่


 


นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การหารือยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับรายได้ค่าผ่านท่อ และอัตราค่าเช่าท่อก๊าซ เนื่องจากยังมีความเห็นที่ไม่ตรงกันในหลักการเกี่ยวกับฐานตัวเลขรายได้ ระหว่างกระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลัง แม้ไม่สามารถสรุปอัตราค่าเช่าได้ แต่คาดว่า นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะนำรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีคิดที่ได้เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 22 ม.ค.51 เพื่อให้ ครม. รับทราบและขอขยายระยะเวลาการสรุปเรื่องค่าเช่าท่อก๊าซออกไปเป็นสัปดาห์หน้า จากเดิมที่จะครบกำหนดภายในสัปดาห์นี้ เชื่อว่าคณะทำงานจะสรุปเรื่องนี้ได้ภายในรัฐบาลชุดนี้แน่นอน


 


นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การหารือในวันนี้เป็นการตกลงในหลักการเกี่ยวกับวิธีการคำนวณรายได้จากก๊าซผ่านท่อ โดยจะเร่งสรุปเรื่องทั้งหมดให้จบภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม เห็นว่าทางกระทรวงการคลังไม่จำเป็นที่จะต้องนำเรื่องนี้เสนอเข้า ครม. เพื่อพิจารณาเห็นชอบ ทั้งนี้ที่ผ่านมายังตกลงในหลักการร่วมกันไม่ได้ว่าจะมีการคำนวณโดยคิดจากตรงไหนส่วนใด โดยเฉพาะในเรื่องของการคิดรายได้ค่าผ่านท่อย้อนหลังว่าจะเป็นอย่างไรเพื่อนำไปสู่การประเมินรายได้ในอนาคต โดยวิธีการที่เห็นว่าง่ายที่สุด คือ ควรเอาท่อที่เป็นของกระทรวงการคลังมาคำนวณ ซึ่งดูจากปริมาณก๊าซที่ผ่านท่อ แล้วมาคูณกับอัตราค่าเช่าท่อก๊าซ เป็นวิธีที่ง่ายกว่าสูตรการคำนวณของกระทรวงการคลังโดยเอารายได้ค่าผ่านท่อโดยรวมทั้งหมดแล้วหักรายได้ค่าผ่านท่อก๊าซอื่นที่ไม่ใช่ของกระทรวงการคลัง


 


 


อนุมัติสัมปทานปิโตรเลียม 11 แปลง


เดลินิวส์ - นายปิยะสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว. พลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานลงนาม สัญญาให้สัมปทาน เพื่อสิทธิสำรวจและผลิต ปิโตรเลียมในเขตพื้นที่แปลงสำรวจบนบกและในทะเลอ่าวไทยแก่บริษัทผู้ประกอบการกิจการด้าน ปิโตรเลียม จำนวน 11 สัมปทาน ใน 13 แปลงสำรวจ เป็นแปลงสำรวจบนบก 11 แปลง และในทะเลอ่าวไทย 2 แปลง ซึ่งการให้สัมปทานฯ ครั้งนี้ทำให้เกิดการลงทุน ในอีก 3 ปีข้างหน้า เป็น เงินไม่น้อยกว่า 71 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,485 ล้านบาท


 


ขณะเดียวกันรัฐจะได้รับผลประโยชน์ในรูปโบนัสการลงนาม ทุนการศึกษา ฝึกอบรมและพัฒนาท้องถิ่น เป็นเงินประมาณ 2.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 98 ล้านบาท และหากสำรวจพบปิโตรเลียมจะมีการลงทุนในช่วง ที่ 2 คือ 3 ปีต่อมา เป็นเงินประมาณ 46.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,635 ล้านบาท


 


"การสำรวจปิโตรเลียม มีส่วนสำคัญในการสร้างมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ และเพิ่มโอกาสในการสำรวจพบแหล่งปิโตรเลียมในประเทศเพิ่มเติม สร้างงานและรายได้จากการลงทุน มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการประกอบกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม อีกทั้งประเทศยังได้รับรายได้โดยตรงจากการจัดเก็บค่าภาคหลวงและภาษีเงินได้ปิโตรเลียม"


 


 


ครม.รณรงค์กินไข่ไก่แก้ล้นตลาด


ผู้จัดการรายวัน - นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ไก่ไข่ ปี 51-55 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ เนื่องจากปัจจุบันผลผลิตไขไก่ขยายตัวเพิ่ม 3% ต่อปี หรือจำนวน 10,335 ล้านฟอง คิดเป็นมูลค่า 22,000 ล้านบาท จนเกินความต้องการของผู้บริโภคในประเทศ ทำให้ราคาตกต่ำ ขณะที่คนไทยก็ยังบริโภคไข่ในปริมาณที่ต่ำเฉลี่ย 160 ฟองต่อคนต่อปี หรือขยายตัว 1% ซึ่งต่ำเมื่อเทียบกับต่างประเทศ


 


ทั้งนี้ตลาดไข่ไก่ส่วนใหญ่เป็นการบริโภคในประเทศ 99% ของผลผลิตทั้งหมด ที่เหลือเป็นการส่งออก 160-200 ล้านฟองต่อปี ส่วนใหญ่เป็นการระบายผลผลิตส่วนเกิน ในราคาค่อนข้างต่ำและขาดทุน เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันราคากับประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกที่มีการสนับสนุนการผลิตและส่งออก


 


สำหรับแผนยุทธศาสตร์จะเน้นเพิ่มการบริโภคในประเทศ และขยายตลาดไข่ไก่ทั้งในและต่างประเทศ เบื้องต้นได้ให้กรมปศุสัตว์ใช้งบประมาณ 5 ล้านบาท ในปีงบ 51 ในการทำประชาสัมพันธ์เพื่อเพิ่มการบริโภคของคนไทย และขยายการส่งออกไข่แปรรูปเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันให้ขอความร่วมมือจากสมาคมที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนการดำเนินงาน และประสานงานกระทรวงศึกษาธิการ สาธารณสุข เพื่อถ่ายทอดความรู้ด้านประโยชน์ทางโภชนาการไข่ไก่


 


"ที่ผ่านมา ได้มีการแก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาดมาเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่แนวโน้มในอนาคตจะเกิดปัญหาขึ้นอีกมาก โดยเฉพาะความผันผวนทางราคา เพราะการบริโภคในประเทศยังมีสัดส่วนที่ต่ำมาก คือขยายตัวเพียง 1% ต่อปี ไม่สอดคล้องกับปริมาณไข่ที่ขยายตัว 3% ซึ่งยุทธศาสตร์นี้จะช่วยให้ประชาชนกินไข่เยอะแล้วยังช่วยผู้เลี้ยงรายย่อยและรายใหญ่มีความมั่นคงทางอาชีพได้"


 


 


 


เศรษฐกิจ


 


 


ครม.อนุมัติมาตรการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงิน


เว็บไซต์แนวหน้า - นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ครม.ได้อนุมัติแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน โดยเห็นชอบให้มีมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายเงิน เพื่อให้เม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว จึงเห็นควรให้ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2551 พร้อมทั้งเงินงบประมาณที่กันไว้เป็นการเบิกเหลื่อมปีของปีงบประมาณ 2546 และ 2550 พร้อมทั้งเร่งงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ


 


นายโชติชัย กล่าวอีกว่า โดยที่ประชุมมีการรายงานว่า 3 เดือนที่ผ่านมาของปีงบประมาณ 2551 มีการเบิกจ่ายไปแล้วกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นอัตราการเบิกจ่ายที่สูงมากเมื่อเทียบกับในอดีต แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีการติดขัดในเรื่องของการเบิกจ่ายงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับโครงการในเรื่องของมาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งน่าจะมีการเร่งรัดการเบิกจ่ายได้เร็วขึ้นในปี 51 ผลการเบิกจ่ายที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้ได้ขับเคลื่อนเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไปแล้ว 682,550 ล้านบาท ประกอบด้วย งบประมาณรายจ่ายปี 51 แล้ว 439,635 ล้านบาท เป็นงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี 2546-2550 จำนวน 39,664 ล้านบาท งบลงทุนประจำปี 2550 ของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ 17 แห่ง จำนวน 203,251 ล้านบาท ยังมีเม็ดเงินคงเหลืออยู่ 1,429,558 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่จะต้องขับเคลื่อนลงสู่ระบบเศรษฐกิจต่อไปโดยเร็ว


 


นายโชติชัยกล่าวต่อไปว่า ซึ่งที่ประชุมมีการรายงานถึงรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ 17 แห่ง ที่ยังมีการเบิกจ่ายได้ต่ำ ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. สามารถเบิกจ่ายได้เพียง 496 ล้านบาท จากยอดอนุมัติทั้งสิ้น 15,553 ล้านบาท คิดเป็นเพียงร้อยละ 3.19 บริษัท ท่าอากาศยานไทย สามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้เพียง 4,609 ล้านบาท จากยอดอนุมัติทั้งสิ้น 16,847 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 27.36 โรงงานยาสูบเบิกจ่ายงบลงทุนได้เพียง 140 ล้านบาท จากยอดอนุมัติทั้งสิ้น 4,953 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.83 บริษัท ทีโอที จำกัด เบิกจ่ายงบลงทุนได้เพียง 7,007 ล้านบาท จากยอดอนุมัติทั้งสิ้น 16,595 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.22


 


ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากโครงการโทรศัพท์ 565,000 เลขหมาย ที่ได้รับอนุมัติงบลงทุนไปแล้ว 3,283 ล้านบาท สามารถเบิกจ่ายได้เพียง 363 ล้านบาท บริษัท กสท โทรคมนาคม เบิกจ่ายงบลงทุนได้เพียง 2,394 ล้านบาท จากยอดอนุมัติทั้งสิ้น 8,091 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 29.59 สืบเนื่องมาจากโครงการลงทุนโทรศัพท์เคลื่อนที่ซีดีเอ็มเอ 2000 ในส่วนภูมิภาค สามารถเบิกจ่ายได้เพียงร้อยละ 3.54


ผู้ช่วยโฆษก กล่าวต่อไปว่า สำหรับปีงบประมาณ 51 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติกรอบวงเงินลงทุนไปแล้ว 289,756 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.2 ของจีดีพี โดยเป็นการลงทุนที่มีความพร้อม จำนวน 216,000 ล้านบาท สาเหตุหลักของการลงทุนที่ลดลง คือ มีการขออนุมัติโครงการใหม่ลดลงมาก และการเปลี่ยนนโยบายการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ เช่น บริษัท การบินไทย ที่เปลี่ยนแผนการจัดหาเครื่องบิน จากการซื้อเป็นการเช่าแทน และการเคหแห่งชาติ มีการปรับลดจำนวนการสร้างบ้านในโครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นต้น


 


 


ต่างประเทศ


 


 


หน่วยสืบสวนอังกฤษอาจสอบโจ๋วัย15ต้องสงสัยร่วมฆ่า"บุตโต"


ผู้จัดการออนไลน์ - เอเอฟพี - นักสืบอังกฤษชุดช่วยเหลือหน่วยสืบสวนปากีสถานคลี่คลายปมฆาตรกรรมนางเบนาซีร์ บุตโต อาจร่วมสอบปากคำวัยรุ่นที่ถูกจับกุมตามข้อกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมวางแผนลอบ สังหารอดีตนายกรัฐมนตรีหญิง เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงเปิดเผยวานนี้(22)


 


ไอเตซัซ ชาห์ วัย 15 ปี ถูกจับกุมตัวเมื่อวันศุกร์(18) ที่เมืองเดราอิสมาอิลข่าน ในจังหวัดนอร์ทเวสต์ฟรอนเทีย บริเวณใกล้ชายแดนติดกับอัฟกานิสถาน โดยเขารับสารภาพกับตำรวจว่าร่วมอยู่ในกลุ่ม 5 คน ที่ลอบสังหารผู้นำฝ่ายค้านและอดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย


 


เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของหน่วยต่อต้านก่อการร้าย กล่าวว่าทีมของตำรวจอังกฤษจากสกอตแลนด์ยาร์ด ซึ่งได้รับเชิญโดยประธานาธิบดีเปอร์เวซ มูชาร์ราฟ เข้าช่วยสืบสวนหาสาเหตุการตายของบุตโต น่าจะร่วมสอบปากคำ ชาห์ ด้วย


 


"ตำรวจสกอตแลนด์ยาร์ด อาจซักถาม ไอเตซัซ ชาห์ เขาถูกนำตัวไปยังอิสลามาบัด" เจ้าหน้าที่บอก "เราปฏิบัติกับเขาเสมือนผู้ต้องสงสัยสำคัญ แต่เรายังไม่ได้ข้อยุติ"


 


เดอะนิวส์ หนังสือพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษของปากีสถาน รายงานอ้างคำสัมภาษณ์แหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระบุว่าหน่วยสืบสวน อังกฤษเตรียมสอบปากคำ ชาห์ "เพื่อสืบหาว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีหรือเกี่ยวข้องกับกลุ่มที่ เกี่ยวพันกับเหตุฆาตรกรรมจริงหรือไม่"


 


หน่วยสืบสวนของอังกฤษยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าว โดยในเวลานี้ทีมตำรวจสกอตแลนด์ยาร์ดได้บินไป-มา ระหว่างอิสลามาบัดกับลอนดอน เพื่อนำหลักฐานพิจารณา


 


เจ้าหน้าที่กล่าวว่าตำรวจยังจับกุมพ่อของเด็กได้ที่เมืองการาชีและ ลุงของเขาซึ่งอยู่ที่เมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือ ขณะที่ตำรวจในการาชี สามารถจับกุมตัวคนใกล้ชิดของ ไบตุลเลาะห์ เมห์ซูด หัวหน้านักรบ ซึ่งถูกรัฐบาลกล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์แข็งแกร่งกับอัลดออิดะห์และเป็นผู้ วางแผนบงการลอบสังหารนางบุตโต


 


ชาห์ สารภาพว่าเขาเป็นหนึ่งในทีม 3 คน ที่ได้รับมอบหมายจากเครือข่ายของ เมห์ซูด ให้โจมตีนางบุตโต หากว่ามือระเบิดฆ่าตัวตาย 2 คน ล้มเหลวในการสังหารอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงระหว่างปราศรัยหาเสียงเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม


 


 


ยาฮูเตรียมลอยแพพนง.นหลายร้อยคนเดือนนี้


เว็บไซต์คมชัดลึก - รายงานข่าวระบุบริษัทยาฮู อิงค์ กำลังวางแผนประกาศปลดพนักงานในเดือนนี้ และมีแนวโน้มจะปลดพนักงานออกหลายร้อยคนจากจำนวนพนักงานทั้งหมดเกือบ 14,000 คน


 


รายงานข่าวนี้ระบุตัวเลขการปลดพนักงานที่สูงเกินจริง ขณะที่ตัวเลขที่แท้จริงยังคงอยู่ระหว่างการตัดสินใจในช่วงนี้ โดยจะประกาศเรื่องนี้ออกมาในช่วงที่ยาฮูเปิดเผยผลประกอบการช่วงสิ้นปีในวันที่ 29 มกราคม


 


ทางด้านนางไดอานา หว่อง โฆษกของยาฮู ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อรายงานข่าวที่ได้รับการเผยแพร่ใน blog ชื่อ Silicon Alley Insider โดย blog นี้รายงานในวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า ยาฮูจัดทำรายชื่อตำแหน่งงาน 1,500-2,500 อัตรา ที่อาจจะถูกปลดในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า


 


ยาฮูซึ่งเป็นบริษัทสื่อทางอินเทอร์เน็ต พยายามปรับเปลี่ยนจุดสนใจในการประกอบธุรกิจไปยังธุรกิจสำคัญ 3 ด้าน เพื่อจะได้กระตุ้นการเติบโตของบริษัท ในขณะที่ยาฮูเผชิญกับการแข่งขันจากบริษัทกูเกิล อิงค์ ซึ่งให้บริการค้นหาข้อมูล และบริษัทที่ให้บริการเครือข่ายทางสังคมอย่างเช่น Facebook ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net