ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความชื่นชมคนไทยทุกคนที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างท่วมท้นไม่ว่าจะเลือกพรรคใดก็ตาม การเลือกตั้งคราวนี้ในความเห็นผม ปัจจัยด้านนโยบายทางเศรษฐกิจของพรรคการเมืองที่หาเสียงนั้นไม่ค่อยมีน้ำหนักเพราะแต่ละพรรคการเมืองก็เดินตามนโยบายของพรรคไทยรักไทยเดิม แต่ปัจจัยด้านการเมืองกลับมีอิทธิพลมากกว่า การเลือกตั้งคราวนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกี่ยวโยงมาตั้งแต่วันทำรัฐประหารรัฐบาลของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เรื่อยมาจนถึงที่มีการทำประชามติรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งก็มีการแบ่งขั้วอย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มรับกับไม่รับ และการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมาอาจกล่าวอย่างกว้างๆ หยาบๆ ว่า เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายไม่เอาเผด็จการบวกกับฝ่ายที่ยังสนับสนุนพรรคไทยรักไทยเดิม ที่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นพรรคพลังประชาชน กับ ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์บวกกับกลุ่มอำมาตยาธิปไตยและชนชั้นกลาง (บางกลุ่ม) ในกรุงเทพมหานคร
เหตุผลที่ผมใช้คำว่าบางกลุ่มเพราะผมไม่เชื่อว่าคนกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ อย่าลืมว่าคนกรุงเทพฯ มิได้มีเฉพาะชนชั้นกลางที่มีความรู้ เป็นพวก white collar เสมอไป ในเขตรอบนอกและฝั่งธนบุรีก็ยังมีคนระดับธรรมดาอยู่มาก เพียงแต่สื่อ นักวิชาการ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และ รมต. กลาโหม พลเอกบุญรอด สมทัศน์ พยายามอ้างว่าคนกรุงเทพฯ สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมีนัยว่า ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ผมฟังคนพวกนี้พูดแล้วรู้สึกเศร้าใจว่า พวกนี้ไม่อ่านรัฐธรรมนูญ 2550 ที่พวกคุณร่างขึ้นมากับมือหรือครับ
มาตรา 4 บัญญัติว่า "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับการคุ้มครอง"
มาตรา 5 บัญญัติว่า "ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน"
และมาตรา 30 บัญญัติว่า " บุคคลย่อมเสมอกันตามกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน" และ "การเลือกปฎิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุความแตกต่างในเรื่อง .ความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้"
แค่ 3 มาตราของรัฐธรรมนูญที่ผมอ้างมาข้างต้นก็น่าจะเพียงพอให้คนพวกนี้หยุดดูถูกคนอีสานที่เลือกพรรคพลังประชาชนได้แล้ว เพราะคนอีสานก็มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ (ตามมาตรา 4) คนอีสานก็เป็น "ประชาชน" ในความหมายของมาตรา 5 เหมือนกับคนกรุงเทพฯ และ คนอีสานก็เป็น "บุคคล" ตามมาตรา 30 ดังนั้น คนอีสานและคนกรุงเทพฯ ย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองอย่างเท่าเทียมกัน อีกทั้ง ผู้มีอำนาจจะเลือกปฏิบัติต่อคนอีสานเพียงเพราะว่า คนอีสานมีความคิดเห็นทางการเมืองต่างจากคนกรุงเทพฯ (ด้วยการสนับสนุนอดีตนายกทักษิณหรือพรรคพลังประชาชน) ไม่ได้ เพราะได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 30
ผมเองเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด เกิดโตที่ตลาดพลู แต่รู้สึกว่า ที่ผ่านมาคนกรุงเทพฯ เอาเปรียบคนต่างจังหวัดเกือบทุกภาคมานานแล้วจน "กรุงเทพฯ" กลายเป็น "ประเทศไทย" ไปแล้ว ทรัพยากรธรรมชาติทั้งหลายรวมทั้งแรงงานต่างมาระดมรับใช้คนกรุงเทพฯ กรุงเทพฯ นอกจากเอาเปรียบด้านทรัพยากรธรรมชาติและคนแล้ว คุณจะมาเอาเปรียบเรื่อง "สิทธิทางการเมือง" ของคนต่างจังหวัดอีกหรือ ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะล้มความเชื่อที่ว่า "คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล คนกรุงเทพฯ ล้มรัฐบาล" หากพรรคพลังประชาชนจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ ซึ่งเป็นไปตามครรลองตามระบอบประชาธิปไตยแล้วหากชนชั้นกลางในกรุงเทพไม่พอใจเรื่องหนึ่งเรื่องใดโดยไม่มีเหตุผล แล้วออกมาเดินขบวนขับไล่ (ถ้าชุมนุมประท้วงโดยสันติผมรับได้) ผมก็อยากเชิญชวนคนอีสาน-เหนือ ยาตราเข้ากรุงเทพฯ เพื่อใช้ "สิทธิปกป้องรัฐบาล" ที่พวกคุณเลือก ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีเหตุผลและไม่เคารพเสียงข้างมากของพวกคุณที่คิดจ้องจะล้มรัฐบาลอย่างเดียว
เหตุผลที่พวกอำมาตยาธิปไตย สื่อ และพวกนักวิชาการชอบอ้าง หรือเชื่อว่าคนอีสานไม่ฉลาด และยากจนหากสมมติฐานนี้เป็นจริง ผมก็ต้องถามกลับว่าแล้วเป็นความผิดของพวกเขาหรือ พรรคการเมืองใดครับที่อยู่นานกว่าเพื่อน แต่กลับไม่คิดถึงเรื่องการกระจายโอกาสด้านการศึกษาและรายได้ และลองกลับไปอ่านประกาศคณะราษฎรสิครับ
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากพูดก็คือ ในวันเลือกตั้งที่ 23 ธันวาคม ผมได้มีโอกาสไปร่วมรายการกับเคเบิลทีวีช่องหนึ่ง โดยทางรายการได้เชิญอาจารย์ท่านหนึ่งจากนิด้า โดยอาจารย์ท่านนี้แสดงความคิดเห็นในเชิงว่าคนอีสานติดกับระบบอุปถัมภ์ และตำหนินโยบายประชานิยม รวมทั้งชมชนชั้นกลางในกรุงเทพ พอพิธีกรมาถามผม ผมก็ตอบว่าหากนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทย เช่น กองทุนหมู่บ้านไม่ดีจริงแล้วทำไมพรรคประชาธิปัตย์เสนอนโยบายกองทุนตำบลๆ ละ 2-3 ล้านบาท ทำไมเสนอนโยบายเรื่องแบบเรียนฟรี ทำไมเสนอว่าจะตรึงราคาแก๊สหุงต้ม ทำไม . ฯลฯ รู้สึกว่าอาจารย์ท่านนี้ไม่ได้ตอบคำถามอะไรผม
ผมเชื่อว่า ระยะเวลาประมาณ 10 ปีข้างหน้า หากรัฐบาลแก้ไขปัญหาปัจจัยขั้นพื้นฐานทางเศรษฐกิจของคนต่างจังหวัดได้สำเร็จระดับหนึ่ง คนกลุ่มนี้ก็จะเรียกร้องอะไรที่เป็นนามธรรมมากขึ้น เช่น ความเสมอภาคด้านต่างๆ ซึ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องการศึกษา เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว นโยบายในเชิงสวัสดิการก็อาจจะค่อยๆ ลดความสำคัญลง ซึ่งผมเห็นว่ารัฐบาลจะต้องตอบสนองข้อเรียกร้องของเขา เนื่องจากรัฐบาลที่ผ่านมามองข้ามคนต่างจังหวัดมานาน
อีกประเด็นหนึ่งที่ผมอยากกล่าวถึงคือเรื่องความสมานฉันท์หรือความปรองดอง ก่อนอื่นต้องให้คำจำกัดความก่อนว่าความสมานฉันท์นั้นคืออะไร ผมเห็นว่า ในสังคมรัฐสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยปัญหาสังคมมากมาย เต็มไปด้วยกลุ่มผลประโยชน์ รวมทั้งการศึกษาและเทคโนโลยีด้านสื่อสารข้อมูลที่เจริญก้าวหน้ามากแล้ว ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ทำให้สังคมประชาธิปไตยเต็มไปด้วยความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างหลากหลายซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา สมานฉันท์นั้นมิได้หมายความว่าต้องทำให้ทุกคนคิดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน ห้ามวิจารณ์ ความแตกต่างทางความคิดเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพียงแต่ทั้งฝ่ายข้างมากและข้างน้อยต้องเคารพความเห็นของกันและกัน และกลไกของรัฐก็ต้องมีอคติให้น้อยที่สุด อย่าเลือกปฏิบัติจนน่าเกลียด (ผมไม่เชื่อว่าในทุกสังคมจะไม่มีการเลือกปฏิบัติ) และหากมีปัญหาอะไรก็พึ่งพากลไกของระบอบรัฐสภา กระบวนการยุติธรรม รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชน เช่น การเข้าชื่อเสนอกฎหมายหรือการถอดถอน แต่ห้ามไม่ให้มีการเชื้อเชิญ "สิ่งแปลกปลอม" ของระบอบประชาธิปไตยมาเป็นหนทางในการแก้ไขปัญหา เช่น การทำรัฐประหาร หรืออ้างมาตรา 7 พร่ำเพรื่อ
ประการสุดท้ายก็คือ น่าจะมีการประมวลคำพูดของนักการเมือง บรรดานักวิชาการและประชาชนที่สื่อตั้งฉายาว่า "ราษฎรอาวุโส" ว่าที่ผ่านมานับตั้งแต่วันทำรัฐประหาร คนพวกนี้แสดงจุดยืนทางการเมืองอย่างไร หากว่าในอนาคตเกิดปัญหาทางการเมืองขึ้นมาอีก ประชาชนทั่วไปก็อย่าให้ราคากับคนพวกนี้อีก เพราะพวกนี้ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย หลงไปตามกระแสและเป็นพวกฉวยโอกาสทางการเมือง เกาะผู้มีอำนาจ ไม่อยากเห็นคนไทยลืมง่าย ให้จำไว้เป็นบทเรียน ในความเห็นของผม คนพวกนี้ล้วนมีส่วนต้องรับผิดชอบกับการทำ (หรือสนับสนุน) รัฐประหารในวันที่ 19 กันยายนด้วยไม่มากก็น้อย ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม
ท้ายที่สุด ผมอยากกล่าวว่า ลาก่อนเผด็จการ และขอต้อนรับประชาธิปไตย (อีกครั้ง)