Skip to main content
sharethis

การเมือง


 


 


ทีไอทีวีหวั่น"ทีพีบีเอส"ทำระส่ำ


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - วานนี้(18 ธ.ค.) คณะผู้บริหาร พนักงาน และผู้ผลิตและผู้เช่าเวลา สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี ได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา ในเรื่องปัญหาการดำเนินงานตามมาตรา 57 ในบทเฉพาะกาล ของพระราชบัญญัติองค์การ กระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ....


 


นายนพพร พงษ์เวช รองผู้อำนวยการ สถานีวิทยุโทรทัศน์ทีไอทีวี เปิดเผยว่า เนื่องจากในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ พ.ร.บ.ดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ แต่กระบวนการต่างๆ เพื่อรองรับการเป็นสถานีโทรทัศน์เพื่อสาธารณะยังไม่มีความพร้อม ในขณะเดียวกัน กรมประชาสัมพันธ์ ผู้ที่ว่าจ้างพนักงานทีไอทีวี และทำสัญญากับผู้เช่าเวลา ยังไม่ได้แจ้งความคืบหน้าใดๆ ให้ทราบว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไรในช่วงเปลี่ยนผ่านมาเป็นทีวีสาธารณะหรือ ทีพีบีเอส ซึ่งถือว่า เป็นการกระทำที่ไม่โปร่งใส และไม่ชอบธรรม นอกจากนี้ยังกังวลว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อพนักงาน ผู้เช่าเวลาและผู้ผลิตรายการ ให้กับสถานีทีไอทีวี


 


ทั้งนี้ต้องการให้สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสั่งการ กรมประชาสัมพันธ์ได้ชี้แจง และสร้างความชัดเจนว่าจะต่อสัญญาพนักงานและผู้รับผลิตรายการให้ทางสถานี จำนวนกว่า 1,000 คน หรือไม่ ทั้งนี้พนักงานมีความสับสน และสร้างผลกระทบต่อการดำเนินการของสถานีทีไอทีวีที่ปัจจุบันมีรายได้จากโฆษณา และนำส่งเป็นรายได้ของรัฐอีกด้วย และล่าสุดความไม่ชัดเจนว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว จะมีผลบังคับใช้เมื่อใด ทำให้ฝ่ายขายสถานีไม่สามารถดำเนินการใดๆ โดยเฉพาะในเรื่องการขายโฆษณาให้กับลูกค้าล่วงหน้าในปี 2551 ทั้งที่ สถานีโทรทัศน์รายอื่นๆ สามารถแจ้งให้กับลูกค้าและเอเยนซีโฆษณาไปก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนมี.ค.เป็นต้นมา สถานีสามารถสร้างรายได้เข้ารัฐ 1,000 ล้านบาท คิดเป็นกำไร 400 ล้านบาท


 


นอกจากนี้ หากว่า พ.ร.บ.ดังกล่าว มีผลบังคับใช้จริงในวันที่ 31 ธ.ค.นี้แล้วจะมีผลทำให้สถานี ไม่สามารถโฆษณาได้จริงหรือไม่ หากเป็นจริงแล้ว ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสถานี คือ ฝ่ายขายของทีไอทีวีได้ขายโฆษณาไปแล้ว และมีรายได้ต่อเนื่องในเดือนม.ค.ปีหน้า คิดเป็นรายได้ 26 ล้านบาท หากว่าห้ามมีโฆษณารายได้ดังกล่าวจะถือเป็นศูนย์ ซึ่งนั่นหมายถึงรายได้ของแผ่นดินที่จะหายไป


 


นายไตรภพ ลิมปพัทธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บอร์น ออฟเปอเรชั่น หนึ่งในผู้เช่าเวลา สถานีทีไอทีวี กล่าวว่า ขณะนี้ผู้เช่าเวลาได้ผลิตรายการไว้ล่วงหน้าหรือสต็อกได้แล้วหลายราย เพื่อให้สามารถออกอากาศได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นปกติของการประกอบธุรกิจ โดยที่จะต้องมีการสำรองรายการก่อนออกอากาศ อย่างน้อย 1 สัปดาห์หรือ 2 เดือน ดังนั้น หากว่า ผลของ พ.ร.บ.ดังกล่าว ทำให้สถานีต้องยุติการขายโฆษณา ก็จะทำให้ผู้เช่าเวลา ที่ได้ผลิตและสำรองรายการล่วงหน้าไปแล้ว ได้รับความเสียหายจำนวนมาก โดยคิดเป็นมูลค่าความเสียหายทั้งหมดในขณะนี้ ประมาณ 100 ล้านบาท



 


สรุปยอดร้องเรียนทุจริตเลือกตั้งล่วงหน้า 116 เรื่อง จำหน่ายสุรามากสุด 98 เรื่อง


เว็บไซต์แนวหน้า - พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา รองเลขาธิการ กกต. ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย แถลงผลการรับแจ้งเหตุทุจริตการเลือกตั้งว่าจนถึงขณะนี้ศูนย์รับแจ้งเหตได้รับแจ้งเหตุแล้ว 529 เรื่อง และจากการตรวจสอบเห็นว่าเรื่องไม่มีมูลและไม่รับเป็นเรื่องร้องคัดค้าน จำนวน 426 เรื่อง และรับเอาไว้ดำเนินการต่อ 103 เรื่อง ทั้งนี้พื้นที่ ที่มีการร้องเรียนมากที่สุดคือ กลุ่ม 6 (กทม. นนทบุรี สมุทรปราการ) จำนวน 132 เรื่อง ขณะที่ฐานความผิดที่ได้รับการร้องเรียนมาที่สุดคือการแจกเงิน แจกทรัพย์สิน จำนวน 328 เรื่อง ตามมาด้วยเจ้าหน้าที่รัฐวางตัวไม่เป็นกลาง 65 เรื่อง


 


พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ยังเปิดเผยอีกว่า ขณะนี้สำนวนที่ทางจังหวัดดำเนินการสืบสวนสอบสวนเสร็จสิ้นและส่งมาที่ กกต.กลางมีทั้งสิ้น 18 เรื่อง โดย ทางเจ้าหน้าที่ได้สรุปสำนวนเสนอให้ กกต. เพื่อพิจารณาแล้วห้าเรื่องโดยในนี้รวมไปถึงกรณีจับเงินที่ อ.พระทองคำ จ.นครราชสีมา และ กรณีของนายประแสง มงคลศิริ ผู้มัครพรรคพลังประชาชน จ.อุทัยธานี ส่วนอีก 13 เรื่อง นั้นอยู่ในชั้นของเจ้าหน้าที่ เพื่อตรวจสอบก่อนที่จะส่งให้ กกต. ต่อไป


 


รองเลขาธิการฝ่ายสืบสวนสอบสวน กล่าวอีกว่า จากข้อมูลของ ศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยในการเลือกตั้งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่ามีการกระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้งในช่วงวันเลือกตั้งล่วงหน้าระหว่างวันที่ 15-16 ที่ผ่านมาจำนวน 116 เรื่อง โดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจำหน่ายสุราถึง 98 คดี นอกจากนี้ ตนยังได้ไปประชุมกับทางตำรวจก็ได้รับรายงานว่าช่วงนี้ทางตำรวจก็จะเร่งจับตาดูเรื่องการซื้อเสียงเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงใกล้วันเลือกตั้ง พรรคหรือผู้สมัครคนใดที่มีคะแนนนิยมไม่ดีก็อาจจะโหมซื้อเสียงในช่วงนี้ ดังนั้น 2-3 วันนี้ อาจจะเห็นการจับกุมเรื่องการซื้อเสียง



 


ผู้สมัคร ควม.-ปชร.ยื่นศาลปกครองล้มเลือกตั้ง


เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ - นายสราวุท ทองเพ็ญ ผู้สมัคร ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 3 และนายสุรสีห์ ผาธรรม ผู้สมัคร ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 4 พรรคความหวังใหม่ และนายถนอมศักดิ์ นวลเศรษฐ ผู้สมัคร ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 6 พรรคประชาราช ยื่นฟ้องคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ต่อศาลปกครองสูงสุด ขอให้มีคำสั่งให้การเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการทั่วไป ตาม พ.ร.ฎ.การเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไป พ.ศ. 2550 เป็นโมฆะ รวมถึงสั่งให้ กกต.ยุติกระบวนการจัดการเลือกตั้งทั้งหมด ตั้งแต่การให้มีการไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม การประกาศรับรองผู้สมัครรับเลือกตั้ง และขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ กกต. จัดการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญต่อไป


 


ทั้งนี้ คำฟ้องระบุว่า กกต.เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งตามมาตรา 10 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง แต่ปรากฏว่า กกต.กลับกำหนดให้มีการดำเนินการเลือกตั้งล่วงหน้า ณ ที่เลือกตั้งกลางในเขตเลือกตั้ง โดยที่ไม่มีอำนาจ เพราะไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจไว้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ 50 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.


 


"รัฐธรรมนูญมาตรา 95 วรรคสอง บัญญัติไว้เฉพาะการให้ใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งที่ตนมีชื่ออยู่ และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. ส่วนที่ 5 การลงคะแนนเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้ง ซึ่งมีบัญญัติไว้ในมาตรา 94-102 ก็กำหนดเรื่องเฉพาะการให้ใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งที่ตนมีชื่ออยู่ทั้งสิ้น หาได้กำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้งแต่อย่างใดไม่


 


ในทางกฎหมายปกครองมีคำกล่าวไว้ว่า กฎหมายเป็นแหล่งที่มาของอำนาจ และในขณะเดียวกัน กฎหมายเป็นข้อจำกัดของการใช้อำนาจ กรณีนี้จึงเห็นได้ว่า การจัดการเลือกตั้งของ กกต.เป็นการใช้อำนาจทางปกครอง และอำนาจในการจัดการเลือกตั้งตามอำเภอใจ ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมาย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีผลให้การเลือกตั้งตาม พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไป 2550 ต้องเสียไปทั้งหมด มิพักต้องรอให้มีการใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค. เลย จึงขอให้ศาลปกครองได้โปรดมีคำสั่งตามที่ร้องขอ"


 


นอกจากนี้ยังระบุอีกว่า เพื่อมิให้ต้องสูญเสียงบประมาณในการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค. ซ้ำเข้าไปอีก จึงขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ โดยขอให้สั่งให้ กกต.ยุติกระบวนการจัดการเลือกตั้งทั้งหมด ตั้งแต่การให้มีการไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค. การประกาศรับรองผู้สมัครรับเลือกตั้ง เพราะหากให้ กกต.ดำเนินกระบวนการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค. ก็ไม่ทำให้การเลือกตั้งนี้บรรลุวัตถุประสงค์ของการเลือกตั้งได้ ทางแก้ไขคือ สงวนเงินงบประมาณที่เหลืออยู่เอาไว้จัดการเลือกตั้งในคราวต่อไป ซึ่งต้องใช้เงินนับพันล้านบาท


 


ทั้งนี้ มีรายงานว่า ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งให้มีการไต่สวนฉุกเฉินตามคำขอ ในวันที่ 19 ธ.ค.เวลา 11.00 น.


 


 


ครม.ยืดเวลาต่างด้าว 2 ปีสั่งทหารเข้มสกัดรายใหม่


เว็บไซต์คมชัดลึก - คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการการจัดระบบแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว กัมพูชา ปี 2551 ต่อเวลาใบอนุญาตให้อีก 2 ปี


 


นายอภัย จันทนจุลกะ รมว.แรงงาน กล่าวว่า ครม.ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม เห็นชอบการจัดระบบแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาวและกัมพูชา ปี 2551 ของคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง (กบร.) ซึ่งมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว กัมพูชา ที่ใบอนุญาตทำงานหมดอายุวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 วันที่ 14 มีนาคม 2551 และวันที่ 30 มิถุนายน 2551 รวมทั้งบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรือบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรและแรงงานต่างด้าวที่เคยจดทะเบียนไว้กับกรมการปกครอง (มี ทร.38/1) อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการส่งกลับ และทำงานได้เป็นเวลาไม่เกิน 2 ปี สิ้นสุดไม่เกินวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553


 


ทั้งนี้ เพื่อมิให้การดำเนินการดังกล่าวเกิดผลกระทบต่อสังคมและความมั่นคง จึงได้มอบหมายให้ บก.ทหารสูงสุด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในคณะอนุกรรมการสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้ามาทำงาน ใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและจริงจังในการสกัดกั้นการเข้ามาของแรงงานต่างด้าวรายใหม่ ทั้งในรวมทั้งดำเนินคดีกับนายจ้างที่ไม่ดำเนินการตามกฎหมายด้วย


 


 


ลุ้นพ.ร.บ.เหล้าเข้าสนช. 27 นี้


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - น.พ.สมาน ฟูตระกูล อนุกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งได้มีการบรรจุในวาระการประชุมสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณาในสัปดาห์หน้า เปิดเผยว่า หากไม่เกิดปัญหาอะไร สนช.จะมีการพิจารณาในวันพฤหัสที่ 27 ธ.ค.นี้ ซึ่งที่ผ่านมาภายหลังจากที่ นายสมเกียรติ อ่อนวิมล สมาชิก สนช. ได้มีการแปรญัตติ และมีการโหวตรับ มาตรา 31 ที่กำหนดให้ต้องไม่เป็นการโฆษณาเชิญชวนหรือชวนเชื่อ โดยให้โฆษณาเฉพาะภาพลักษณ์ได้นั้น จึงมีการประชุมเพื่อปรับเนื้อหาการโฆษณาเป็นรายสื่อเพื่อให้สอดคล้อง


 


น.พ.สมาน กล่าวว่า การกำหนดการโฆษณาสื่อทีวีและวิทยุ โดยยังยืนตามกรรมาธิการ (กมธ.) เสียส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้ คือ การห้ามโฆษณาตั้งแต่ 05.00-24.00 น.โดยให้โฆษณาได้หลัง 24.00 -05.00 น. ส่วนป้ายโฆษณานั้น ตามมติเดิมไม่ให้มีการโฆษณาเลย แต่เมื่อมาตรา 31 ให้โฆษณาประชาสัมพันธ์ได้ จำเป็นต้องออกหลักเกณฑ์ในการคุม เช่น ขนาดป้าย สถานที่ติดตั้ง


 


ขณะที่การให้สปอนเซอร์สนับสนุนกิจกรรมนั้น ซึ่งในร่าง พ.ร.บ.เดิมนั้น เราไม่ให้บริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสปอนเซอร์เลย แต่เมื่อมีการแปรญัตติในมาตรา 31 ทำให้ต้องมีการปรับในส่วนนี้ โดยห้ามการเป็นสปอนเซอร์ให้ทุนการศึกษา กิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเยาวชนและเด็ก รวมทั้งกีฬาสมัครเล่น ยกเว้นกีฬาอาชีพ ส่วนการแจกผ้าห่มนั้นร่างเดิมไม่ให้ แต่ กมธ.เห็นว่าทำได้เพราะเป็นเรื่องบริจาค


 


ทั้งนี้แม้ว่า การโฆษณาในร่าง พ.ร.บ.นี้จะมีความเข้มข้นน้อยกว่าประกาศกฎกระทรวงเดิม แต่ในความเป็นจริง ยังสามารถนำ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคมาบังคับใช้ได้ โดยเฉพาะในมาตรา 24 (2) การควบคุมการโฆษณาสินค้าที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เพียงแต่ต้องเสนอแก้ไขบางมาตราที่ติดล็อกไว้


 


"หาก สนช.ไม่ผ่านกฎหมายฉบับนี้คงมีคำถามว่า ที่ผ่านมา สนช.ผ่านกฎหมายหวยที่เป็นอบายมุขออกมาได้ แต่กลับไม่ออกกฎหมายคุมอบายมุขอย่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่ง สนช.เองต้องตอบคำถามว่า หมายความว่าอย่างไร อย่างไรก็ตามแม้ว่ากฎหมายจะไม่สามารถผ่านในรัฐบาลชุดนี้ได้ ก็ยังต้องผลักดันมาตรการควบคุมต่อไป โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนค่านิยมในสังคมเช่นเดียวกับบุหรี่" น.พ.สมาน กล่าว


 


 


บอร์ดอสมท.สร้างความโปร่งใส ตั้งกก.สอบแปรรูปอสมท


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - บอร์ด อสมท มีมติตั้งอนุกรรมการสอบการแปรรูป หวังสร้างความโปร่งใส ตอบข้อสงสัยของสังคม มั่นใจกระบวนการถูกต้อง "รสนา" ย้ำไม่ฟ้อง อสมท ภายหลังดำเนินมาตรการตรวจสอบตัวเอง ด้านมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จี้ รัฐบาลตรวจสอบรัฐวิสาหกิจแปรรูป โดยยึดคำพิพากษากรณี ปตท. เป็นต้นแบบ ขณะที่ อสมท แจงยึดครองที่ดิน ใช้คลื่นความถี่ถูกต้อง


 


ภายหลังจากศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษากรณี ปตท.ไปแล้ว ซึ่งนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ได้แสดงความเห็นว่า นอกจากเรื่องการทวงทรัพย์สินที่เป็นสาธารณะคืนรัฐ ในการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แล้ว ยังมีกรณีอื่นๆ ที่รัฐบาลควรจะนำมาพิจารณาด้วย เพราะมีปัญหาไม่ต่างจาก ปตท. โดยเฉพาะกรณีของ อสมท เนื่องจากองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.ขณะนั้น) มีสถานะเป็นองค์การของรัฐ ได้ใช้เงินทุนจากรัฐ และใช้อำนาจมหาชนของรัฐ เข้าบริหารจัดการคลื่นความถี่โทรทัศน์และวิทยุ อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นคลื่นวิทยุกว่า 60 คลื่น คลื่นโทรทัศน์ช่อง 9 ช่อง 3 และทรูวิชั่นส์ (ยูบีซี) รวมทั้งที่ดิน โครงข่ายสัญญาณ เสาส่ง ฯลฯ ล้วนเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือทรัพย์สินของรัฐที่มีมูลค่ามหาศาล เมื่อองค์การของรัฐ คือ อสมท. (ขณะนั้น) เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน หรือเป็นผู้ดูแลจัดการใช้ประโยชน์ ก็เป็นผลให้รัฐสูญเสียโอกาสที่จะนำไปใช้ในกิจการอื่นๆ เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน เมื่ออสมท. ดำเนินการขายหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ เปลี่ยนสภาพไปเป็นบริษัทมหาชนจำกัด คือ บมจ. เมื่อ อสมท มีสถานะเป็นนิติบุคคลเอกชนแล้ว บมจ.อสมท จึงไม่อาจมีอำนาจมหาชนของรัฐ ไม่อาจถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของ อสมท ที่ได้มาจากการใช้อำนาจมหาชนของรัฐ จึงต้องโอนสาธารณสมบัติของแผ่นดินกลับไปเป็นของรัฐเช่นกัน


 


นายชาญชัย สุนทรมัฏฐ์ ประธานคณะกรรมการ บมจ.อสมท (บอร์ด อสมท) เปิดเผยว่า การประชุมบอร์ด อสมท วานนี้ (18 ธ.ค.) มีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 1 ชุด โดยมีนายสงวน ตียะไพบูลย์สิน หนึ่งในบอร์ด อสมท เป็นประธานคณะอนุกรรมการ ศึกษาข้อมูลและกระบวนการแปรรูป อสมท โดยจะเชิญนักกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญ และบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นกรรมการร่วมด้วย เพื่อสร้างความโปร่งใสในกระบวนการตรวจสอบ โดยให้ดำเนินการเร็วที่สุดภายใน 1 เดือน


 


 


วอนชะลอถกร่างพ.ร.บ.จุฬาฯ อ.จุฬาฯชี้ขัดแย้งสูง


เว็บไซต์คมชัดลึก - รศ.ดร.พอพันธ์วัชจิตพันธ์ ประธานสภาคณาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่ผ่านมา ที่คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ อธิการบดีจุฬาฯ ได้เชิญสมาชิกสภาคณาจารย์ รับฟังความคิดเห็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับร่างพ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐของจุฬาฯซึ่งในที่ประชุมไม่ได้มีมติใดๆ ที่จะสามารถใช้อ้างอิงได้ทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งที่อธิการบดีกล่าวว่า มีอาจารย์บางส่วนพึงพอใจแล้วนั้น ไม่ได้ให้มีการโหวต อีกทั้งที่ระบุกมธ.วิสามัญไม่มีความขัดแย้งใดๆไม่ใช่เรื่องจริง ทั้งนี้ ข้อมูลที่อธิการบดีให้จึงไม่ตรงกับความเป็นจริง


 


รศ.ดร.พอพันธ์กล่าวอีกว่า ร่างพ.ร.บ.จุฬาฯที่จะเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณาวาระ2 และวาระ3 นั้นคงต้องอยู่ที่ดุลพินิจของสนช. ซึ่งสนช.ทุกท่านรู้ดีว่าร่างพ.ร.บ.นี้มีความขัดแย้งสูงมากขนาดไหนหากเห็นว่าร่าง พ.ร.บ.จุฬาฯยังมีข้อขัดแย้งอยู่ และมีข้อกฎหมายที่ไม่โปร่งใสอยู่มาก สนช. อาจจะใช้สิทธิชะลอไว้ก่อนอย่างไรก็ตาม หากร่างพ.ร.บ.จุฬาฯ ผ่านสนช. ทางสภาคณาจารย์คงต้องประชุมกันก่อนหน้าที่จะประชุมในวันที่ 21 ธันวาคมโดยอาจขอปรับปรุงกฎหมายลูกให้ประชาคมคณาจารย์ ได้มีสิทธิเสนอและรับรู้


 


ดร.ปริญญาผ่องผุดพันธ์ สมาชิกสภาคณาจารย์ กล่าวว่า ขอให้สนช.พิจารณาร่างพ.ร.บ.จุฬาฯใหม่ เพราะมีข้อมูลหลายอย่างที่ไม่ตรงกับความจริง เช่น ร่างพ.ร.บ.จุฬาฯที่ขึ้นเว็บไซต์จุฬาฯ ไม่ตรงกับที่ให้สนช. และร่างพ.ร.บ.จุฬาฯจัดทำเสร็จวันที่ 7 ธันวาคมนำเสนอสนช.วันเดียวกัน แต่นำกลับมาแก้ไขบางส่วน ซึ่งโดยหลักการแล้วแก้ไขไม่ได้อีกแล้ว


 


ผศ.ภญ.วงแขหงษ์วิศิษฐกุล คณะกรรมการสภามหาวิทยาลัย กล่าวว่า หากร่างพ.ร.บ.จุฬาฯผ่านแล้วยังมีช่องโหว่ และไม่เห็นกฎหมายลูกผ่านสายตา อยากเสนอให้เชิญอาจารย์มาดูกฎหมายลูกร่วมกันโดยดูทีละมาตรา


 


ศ.ดร.วิจิตรศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า สนช.จะพิจารณาร่างพ.ร.บ. 21 ฉบับวาระ2-3 ในวันที่19 ธันวาคมนี้รวมถึงร่างพ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐทั้ง3 ฉบับคือ ร่าง พ.ร.บ.จุฬาฯร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) และ ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) และร่างพ.ร.บ.อาชีวศึกษา ร่างพ.ร.บ.การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยร่างพ.ร.บ.ลูกเสือแห่งชาติและร่างแก้ไข พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา


 


 


พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ มีผลบังคับ19 ธ.ค.นี้


เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ - พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จดแจ้งการพิมพ์ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลบังคับในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน อีกทั้งเป็นการ พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 และคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 36 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2519 ได้ประกาศและบังคับใช้มานานแล้ว บทบัญญัติดังกล่าวไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ และสถานการณ์ปัจจุบัน


 


รวมทั้งยังมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพิมพ์อื่นๆ อีกหลายฉบับรองรับไว้เพียงพอต่อการคุ้มครองประโยชน์ของรัฐและประชาชนแล้ว จึงเห็นสมควรยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการพิมพ์ และคำสั่งของคณะปฏิรูปดังกล่าว


 


ทั้งนี้ ให้กฎหมายจดแจ้งการพิมพ์ฉบับนี้ เป็นหลักเกณฑ์ในการรับจดแจ้งการพิมพ์เป็นหลักฐานให้ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา บรรณาธิการ หรือเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบของประชาชนผู้ที่ได้รับความเสียหายในการฟ้องร้องดำเนินคดี ในกรณีที่บุคคลดังกล่าวกระทำผิดกฎหมายอันเนื่องมาจากเป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา บรรณาธิการ หรือเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์--จบ--




กทม.รับ กม.ยกเลิกซี ขรก. ใช้แบบแท่งแทนแบบเก่า


เว็บไซต์ไทยรัฐ - นายเจริญรัตน์ ชูติกาญจน์ หัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร (ส.กก.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.....ที่ ก.พ.ได้ยกร่างเสนอแล้ว อยู่ระหว่างนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ซึ่งมีสาระสำคัญคือยกเลิกระบบซีในการจัดระบบบริหารงานบุคคล มาใช้ระบบแท่งแทน มีบทเฉพาะกาลจะบังคับใช้ภายใน 1 ปี ในส่วนของ กทม.ได้ยกร่าง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการ กทม.และบุคลากร กทม. พ.ศ......เพื่อมาใช้แทน พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการ กทม. พ.ศ.2528 เพื่อให้สอดคล้องกับที่ ก.พ.ได้ยกร่างกฎหมายดังกล่าว โดยขณะนี้ร่างดังกล่าวผ่านการพิจารณาของ ครม.แล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่ง กทม.จะเข้าชี้แจงคณะกรรมการกฤษฎีกาในเดือน ม.ค. นี้ หากผ่านการพิจารณาของกฤษฎีกาจะเข้าสู่การพิจารณาของ สนช. ก่อนที่จะประกาศใช้เช่นเดียวกัน ซึ่งคาดว่าน่าจะประกาศใช้ภายในปี 2551


 


นายเจริญรัตน์กล่าวต่อว่า ร่างฯกฎหมายใหม่จะเปิดโอกาสให้ข้าราชการมีความก้าวหน้า ตามลักษณะและความถนัดของแต่ละคนมากขึ้น ลดการแข่งขัน สามารถก้าวหน้าไปตามสายงานหรือตามแท่งที่กำหนดไว้ จะยึดระบบคุณธรรม ความรู้ ความสามารถ ความประพฤติ และผลงาน นอกจากนี้จะไม่มีเงินเดือนตันเพราะเลื่อนไหลได้สูงสุดตามระดับต่างๆ ที่แบ่งเป็น 4 แท่ง ได้แก่ ฝ่ายบริหาร ที่มีทั้งระดับต้นและระดับสูง เช่น ตำแหน่งปลัด กทม. เป็นระดับสูง ฝ่ายอำนวยการ มีระดับสูงคือระดับกองและสูงกว่ากอง เช่น ผอ.เขต และระดับต้นคือต่ำกว่ากอง ฝ่ายวิชาการ มี 5 ระดับ เริ่มจากฝ่ายปฏิบัติการ ซึ่งซี 3-5 จะอยู่ในกลุ่มนี้ ระดับชำนาญการ ซี 6-7 ระดับชำนาญการพิเศษซี 8 ระดับผู้เชี่ยวชาญ ซี 9 และผู้ทรงคุณวุฒิซี 10-11 และประเภททั่วไป แบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ปฏิบัติงาน เช่น เจ้าหน้าที่ธุรการ ระดับชำนาญการ อาวุโส และทักษะพิเศษ


 


 


เศรษฐกิจ


 


ครม.ทิ้งทวนโครงการ5หมื่นล. ไฟเขียวคมนาคมทุกโปรเจ็กต์


ผู้จัดการรายวัน - วานนี้(18 ธ.ค.) นายไชยา ยิ้มวิไล โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในหลักการโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง (แอร์พอร์ต ลิ้งก์)


 


ประเด็นแรก เห็นชอบให้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงิน 9,940.322 ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน เพื่อนำมาดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ ซึ่งรัฐบาลจะรับภาระค่าดอกเบี้ยจ่าย และให้มีการปรับปรุงแก้ไขสัญญาก่อสร้างในข้อ 4 เรื่องค่าจ้างและการจ่ายเงินตามข้อกำหนด ที่กำหนดให้ผู้ว่าจ้างคือ ร.ฟ.ท. จ่ายเงินค่าจ้างให้ผู้รับจ้าง ภายหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ ทั้งนี้โดยการจ่ายเงินตามปริมาณงานและค่าธรรมเนียมการเงินพร้อมดอกเบี้ยจนถึงวันที่ตกลงกัน ภายใต้แผนการจ่ายคืนและตามข้อเสนอทางการเงิน


 


ประเด็นที่สอง ครม. ได้เห็นชอบ ให้ รฟท. ตั้งบริษัทลูก เพื่อดำเนินการเดินรถในโครงการฯ ตาม พ.ร.บ.การรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2543 มาตรา 39 วรรแปด โดยมอบให้ รฟท. พิจารณาความเหมาะสมของทุนจดทะเบียนตลอดจน ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง


 


ประเด็นสุดท้าย ครม.เห็นชอบให้ รฟท. ชำระค่าก่อสร้างอาคารสถานี และอุโมงค์ใต้อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รวมดอกเบี้ยจ่ายทั้งหมด คืนแก่บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) โดยให้ รฟท. กู้เงินเพื่อชำระคืนตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงไปก่อน และให้รัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายค่าดอกเบี้ยเงินกู้ และให้กระทรวงการคลังพิจารณารายละเอียด วิธีการและเงื่อนไขและการค้ำประกัน


 


ทั้งนี้ ครม.ยังอนุมัติ งบประมาณเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการให้แล้วเสร็จ วงเงิน 445 ล้านบาท แบ่งเป็น 1. งานบริการที่ปรึกษาเพื่อควบคุมงานก่อสร้างจากการขยายอายุสัญญาก่อสร้างออกไป 370 วัน จำนวน 90 ล้านบาท 2. จ้างที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ 195 ล้านบาท ระยะเวลา 24 เดือน


 


3. จ้างผู้เชี่ยวชาญบริหารระบบรถไฟฟ้า วงเงิน 20 ล้านบาท ระยะเวลา 24 เดือน 4. จ้างที่ปรึกษาจัดทำคู่มือ 50 ล้านบาท ระยะเวลา 1 ปี และ 5. โครงการก่อสร้างทางเดินเชื่อมสถานีพญาไทกับระบบรถไฟฟ้ากทม. วงเงิน 10 ล้านบาท และสถานีเพชรบุรี วงเงิน 80 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี ซึ่งกระทรวงการคลัง เห็นด้วย ที่จะต้องเร่งดำเนินการให้การก่อสร้างแอร์พอร์ตลิ้ง ให้เสร็จโดยเร็ว


 


นายไชยา กล่าวอีกว่า ครม.เห็นชอบ การพิจารณาสนับสนุนทางด้านการเงินของรัฐบาล เพื่อบริหารโครงการทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ และทางหลวงพิเศษ หมายเลข 37 ถนนวงแหวนรอบนอก มีการพิจารณาอนุมัติเป็นไปตามข้อเสนอของกระทรวงคมนาคม กล่าวคือ ทางพิเศษสาย บางพลี-สุขสวัสดิ์ วงเงินจำนวน 18,397 ล้านบาท โดยให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจัดหาเงินลงทุนโครงการเพื่อชำระค่าก่อสร้าง 16,397 ล้านบาท ทั้งนี้ให้กระทรวงการคลังร่วมกับการทางพิเศษฯ พิจารณาหาแหล่งเงินกู้ วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่างๆ ของการกู้เงินที่เหมาะสม ตลอดจนให้กระทรวงการคลังค้ำประกันการกู้เงินด้วย


 


ครม.ยังได้อนุมัติโครงการระบบเคเบิ้ลใต้น้ำใยแก้ว (AAG : Asia - America Gateway) ของบริษัท กสท. โทรคมนาคม ในวงเงินลงทุน 3,600 ล้านบาท ซึ่งช่วยในการให้ระบบสื่อสารทางอินเตอร์มีความรวดเร็วขึ้น จะทำให้ระบบการเชื่อมโยงทางอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงระหว่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยจะไม่น้อยหน้าประเทศไหน


 


นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบในหลักการ ตามวาระพิจารณาจร โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 (จ. นครพนม ประเทศไทย -แขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาชนลาว) หลังจากที่กรมทางหลวง ได้สำรวจและออกแบบการก่อสร้าง รวมทั้งประมาณการค่าก่อสร้างสะพานมิตรไทย 3 เป็นจำนวนเงิน 1,347 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากกรมทางหลวง ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 51 ในการก่อสร้างและควบคุมงาน ซึ่งกรมทางหลวงมีแผนดำเนินงานก่สอร้าง 3 ปี (51-53) โดยในปี 51 วงเงิน 300 ล้านบาท ปี 52 วงเงิน 523 ล้านบาท และปี 53 วงเงิน 524 ล้านบาท ตามลำดับ


 


ทั้งนี้ ครม.ได้อนุมัติโครงการฯ และเห็นชอบสรรจัดงบประมาณในปี 51 จำนวน 300 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลัง จะหาแหล่งเงินกู้จากสถาบันการเงินโดย


 


 


โครงการปล่อยกู้อุ้มเอสเอ็มอีกร่อย


เว็บไซต์แนวหน้า - นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงการปล่อยสินเชื่อภายใต้โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)ที่ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะครบกำหนดโครงการในวันที่ 31 ธันวาคม 2550 ปรากฎว่ามีผู้ประกอบการเข้ามาขอสินเชื่อเพียง 1,505 ล้านบาท


 


วงเงินดังกล่าวแบ่งเป็น 2 ก้อน คือปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วไป วงเงินรวม 4,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นของธปท.และสถาบันการเงินฝ่ายละ 2,250 ล้านบาทนั้นขณะนี้มียอดคงค้างการปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาท เป็นเงินในส่วนของ ธปท. ประมาณ 700 กว่าล้านบาท และของสถาบันการเงิน 700 กว่าล้านบาท


 


ขณะที่วงเงินส่วนที่ปล่อยให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอลโดยให้กู้เพิ่มเพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องและให้เป็นเงินทุนหมุนเวียน จำนวน 500 ล้านบาท นั้นยังไม่มีรายใดได้อนุมัติเพิ่มทำให้มียอดคงค้างเงินปล่อยสินเชื่อในส่วนนี้ เพียง 1 ราย วงเงิน 5 ล้านบาทเท่านั้น


 



"เหตุผลที่ทำให้มีเงินกู้ได้น้อย อาจจะเพราะผู้ประกอบการอาจจะยังไม่ทราบว่า ธปท.ได้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์การปล่อยกู้ไปแล้ว เมื่อประมาณ 2 เดือนก่อนหน้า โดยอนุญาตผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ใช้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนของ ธปท.ในโครงการอื่นๆ มาขอสินเชื่อในโครงการนี้ได้ โดยไม่นับรวมเงินกู้ในโครงการอื่นที่กู้ไปก่อนหน้า จากก่อนหน้านี้ที่จะพิจารณาอนุมัติรายใหม่ที่เดือนร้อนที่ยังไม่เคยรับการช่วยเหลือจากโครงการอื่นแต่เมื่อธปท.ผ่อนคลายเกณฑ์แล้วซึ่งในขณะนี้แม้จะเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน แต่หากเอสเอ็มอีที่เข้าเกณฑ์ต้องการกู้เงินจากโครงการนี้ ก็ยังสามารถติดต่อกับสถาบันการเงินได้" นางสุชาดา กล่าว


 


อนึ่งก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการได้ร้องเรียนมาตลอดว่า กฎเกณฑ์ที่เข้มมากของธปท.ทำให้ไม่สามารถกู้เงินจากกองทุนได้นอกจากนี้ ธปท.ยังกำหนดวงเงินสูงสุดในการกู้ไว้ต่ำมากอยู่ที่รายละ 5 ล้านบาท ไม่เพียงพอต่อการบรรเทาความเดือดร้อนจึงขอให้ขยายวงเงินกู้เพิ่มเป็นรายละ 20 ล้านบาท ทำให้สินเชื่อของโครงการอนุมัติได้น้อยมาก ทั้งที่ใช้เวลามาแล้วประมาณ 4 เดือน


 


 


ต่างประเทศ


 


นักข่าว 17 ชาติสังเวยชีวิตกว่าครึ่งร้อยปีนี้


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - คณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าวเปิดเผยรายงานประจำปีว่าผู้สื่อข่าว 64 คนใน 17 ประเทศ เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ในปีนี้ ทำให้ปี 2550 เป็นปีที่มีนักข่าวเสียชีวิตมากที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ โดยนักข่าวเสียชีวิตมากที่สุด จำนวน 31 คน ขณะปฏิบัติหน้าที่ในอิรัก ทำให้อิรักเป็นพื้นที่อันตรายที่สุดสำหรับนักข่าวเป็นปีที่ 5 ติดกัน ตามมาด้วยโซมาเลีย ซึ่งมีนักข่าวเสียชีวิต 7 ราย ปากีสถานและศรีลังกา ซึ่งนักข่าวตายไป 5 ราย ทั้งนี้ นับจากสงครามเวียดนาม การฆาตกรรมแซงหน้าขึ้นมาเป็นสาเหตุที่ทำให้นักข่าวเสียชีวิตมากที่สุด แทนที่การเสียชีวิตระหว่างการทำข่าวในสนามรบ โดยการฆาตกรรมมีมากที่สุดในอิรัก เพราะนักข่าว ช่างภาพ และพนักงานบริษัทสื่อส่วนใหญ่จากจำนวน 124 คนที่ถูกลักพา ต้องจบชีวิตลงเพราะถูกฆ่า



 


สภาผู้แทนสหรัฐให้รางวัลเกียรติยศพลเรือนแก่ "ซูจี"


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - สภาล่างสหรัฐลงมติเอกฉันท์ มอบรางวัลเกียรติยศสูงสุดสำหรับพลเรือน ให้ "ซูจี" ผู้นำการเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า สะท้อน ส.ส.สหรัฐจะเดินหน้ากดดันพม่าเร่งปฏิรูปการเมืองต่อไป


 


สภาล่างสหรัฐมีมติด้วยคะแนน 400-0 เสียง เมื่อวันจันทร์ (17 ธ.ค.) สนับสนุนการมอบเหรียญทองคำสดุดีแห่งรัฐสภา ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดของรัฐสภาสำหรับพลเรือน กับนางออง ซาน ซูจี ผู้นำการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยพม่า ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนต่อรัฐบาลทหารพม่า ว่า รัฐสภาจะเดินหน้ากดดันให้พม่าเร่งสร้างความคืบหน้าด้านการปฏิรูปประชาธิปไตย และปล่อยตัวนักโทษการเมือง รวมถึงนางซูจี



"เราจะยังกดดันรัฐบาลพม่าให้ปล่อยตัวนางซูจี และนำเสรีภาพ ประชาธิปไตย กลับคืนสู่ประชาชนพม่า" ส.ส.โจเซฟ ครอว์ลีย์กล่าว


 


นางซูจี วัย 62 ปี ได้รับการยกย่องอย่างสูงจากประชาคมโลก จากบทบาทการเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสันติ จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปี 2534 พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของเธอ ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเมื่อปี 2533 แต่รัฐบาลทหารปฏิเสธที่จะลงจากอำนาจ และเริ่มกวาดล้างผู้ต่อต้านรัฐบาล นำไปสู่การคุมขังนักโทษการเมืองจำนวนมาก ขณะนางซูจีต้องถูกกักบริเวณที่บ้านพักในกรุงย่างกุ้งเป็นเวลา 12 ปี ของช่วง 18 ปีที่ผ่านมา


 


ในส่วนรัฐสภาสหรัฐ ได้มอบเหรียญทองสดุดีกับพลเรือนผู้มีคุณูปการในเวทีการเมืองและด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งที่เป็นชาวอเมริกัน และชาวต่างชาติ โดยผู้ได้รับเหรียญทองสดุดีรายแรก ได้แก่ อดีตประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน นอกจากนั้น ยังมีสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 แห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก แม่ชีเทเรซา นายเนลสัน แมนเดลลา แห่งแอฟริกาใต้ รวมถึงนายโทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ส่วนผู้ที่ได้รับรางวัลรายล่าสุดเมื่อเดือนต.ค. ได้แก่ องค์ทะไล ลามะ พระประมุขทางจิตวิญญาณแห่งทิเบต--จบ--



 


 


คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม


 


 


สผ.จับตาคอนโดหลายแห่งเลี่ยงทำอีไอเอหวั่นมีปัญหา


เว็บไซต์คมชัดลึก - สผ.ส่งทีมตรวจสอบคอนโดมิเนียมในเขตเมืองกรุงกว่า100 แห่ง พบยังไม่ขออีไอเอ แต่เดินหน้าก่อสร้างและขายล่วงหน้าไปแล้ว


 


นายเกษมสันต์ จิณณวาโส เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้พบว่ามีโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่หลายแห่งแถวสุขุมวิทที่เริ่มก่อสร้างกันไปแล้ว และบางแห่งสร้างเสร็จและเริ่มขายแล้ว แต่ยังไม่ขออนุญาตเรื่องรายการผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ซึ่งเรื่องนี้ สผ.กำลังให้คณะกรรมการตรวจสอบว่าโครงการที่ก่อสร้างเข้าข่ายจะต้องทำอีไอเอหรือไม่


 


"สิ่งที่น่าห่วงขณะนี้ คือ ในช่วงปี 2549-2550 พบว่า มีผู้ประกอบการจำนวนมากเสนอโครงการคอนโดมิเนียมและอาคารชุดในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ส่งให้ สผ.พิจารณากว่า 100 โครงการ แต่ก็ยังมีคอนโดมิเนียมอีกจำนวนมากที่อาศัยช่องทาง โดยอ้างว่าสร้างไม่ครบ 80 ยูนิต แต่กลับสร้างห้องขนาดใหญ่ไว้ก่อน และเมื่อสร้างเสร็จแล้วจึงจะไปซอยแบ่งห้องเพิ่ม ซึ่งการตรวจสอบเป็นหน้าที่ของพนักงานโยธาธิการและกรุงเทพมหานครที่จะต้องเข้าไปตรวจสอบในประเด็นเหล่านี้" นายเกษมสันต์ กล่าว


 


ด้านนายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า การที่ผู้ประกอบการเดินหน้าก่อสร้างไปก่อนนั้น เนื่องจากกระบวนการพิจารณาอีไอเอใช้เวลานาน ซึ่งบางโครงการ 6 เดือนถึง 1 ปี ขณะที่ดอกเบี้ยธนาคารและความต้องการของผู้ซื้อรอไม่ได้


 


 


"สปส." ขึ้นค่ารักษา หัวละ1,306 บาทต่อปี


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - สปส. ประกาศขึ้นค่ารักษาปี 2551 เหมาจ่ายหัวละ 1,306 บาทต่อปี เพิ่มขึ้น 22 บาท พร้อมปรับค่าภาระเสี่ยงเป็นหัวละ 233 บาทต่อปี จากเดิม 211 บาท เผยโรงพยาบาลเอกชนยื่นทำสัญญากองทุนเงินทดแทนปี 2551 แล้วกว่า 12 โรงพยาบาล ระบุ บอร์ดไม่อนุมัติค่าเสียหาย 94 ล้าน ตามที่โรงพยาบาลเรียกร้อง


 


นายสุรินทร์ จิรวิศิษฎ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวว่า สปส.ได้มีการปรับเพิ่มอัตราค่าบริการทางการแพทย์ให้กับสถานพยาบาลตามมติคณะกรรมการการแพทย์ (บอร์ดแพทย์) โดยผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่ผ่านมาโดยได้ปรับเพิ่มอัตราเหมาจ่ายรายหัวปี 2551 จากเดิม 1,284 บาทต่อคนต่อปี เป็น 1,306 บาทต่อคนต่อปี และเพิ่มอัตราค่าภาระเสี่ยง ซึ่งจ่ายให้โรงพยาบาลตามการให้บริการแก่ผู้ประกันตนที่เป็นโรคเรื้อรัง จากเดิม 211 บาทต่อคนต่อปี เป็น 233 บาทต่อคนต่อปี


 



นอกจากนี้ สปส.ยังปรับเพิ่มอัตราค่าบริการต่างๆ ในอัตราเฉลี่ย 2,194 บาทต่อคนต่อปี เช่น ค่าบริการทางการแพทย์อัตราเหมาจ่าย 1,306.บาทต่อคนต่อปี ภาระเสี่ยง 233 บาทต่อคนต่อปี ค่าบริการทางการแพทย์ตามอัตราการใช้บริการทางการแพทย์ เฉลี่ย 57 บาทต่อคนต่อปี ค่าบริการทางการแพทย์นอกเหนือเหมาจ่ายเฉลี่ย 33 บาทต่อคนต่อปี รวมถึงค่าบริการทางการแพทย์อื่นๆ เช่น ค่ายาต้านไวรัสเอดส์ เฉลี่ย 62.29 บาทต่อคนต่อปี ค่ารักษาอุบัติเหตุฉุกเฉิน เฉลี่ย 37 บาทต่อคนต่อปี ค่ารักษากรณีไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายเฉลี่ย 45 บาทต่อคนต่อปี ค่ารักษากรณีปลูกถ่ายไตเฉลี่ย 8 บาทต่อคนต่อปี ค่าบริการทางการแพทย์กรณีทันตกรรม เฉลี่ย 28 บาทต่อคนต่อปี ค่าบริการทางการแพทย์กรณีคลอดบุตร เฉลี่ย 377 บาทต่อคนต่อปี ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2551 นี้


 



นายสุรินทร์ กล่าวถึงกรณีที่โรงพยาบาลเอกชนในเครือประกันสังคมจะไม่เข้าร่วมบริการผู้ประกันตนในกองทุนเงินทดแทนในปี 2551 ว่า ขณะนี้มีโรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมเป็นสมาชิกในกองทุนเงินทดแทนจำนวน 257 แห่ง แบ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐ 153 แห่ง โรงพยาบาลเอกชน 104 แห่ง ขณะที่โรงพยาบาลที่เคยเป็นสมาชิกในกองทุนเงินทดแทนไม่มาทำความตกลงเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ สปส.ในปี 2551 จำนวน 12 แห่ง ซึ่งอยู่ใน กทม. 3 แห่ง คือ โรงพยาบาลกรุณาพิทักษ์ กรุงธน 1 และกรุงธน 2 เนื่องจากมีผู้ประกันตนจำนวนน้อย


 



โรงพยาบาลที่เหลืออยู่ในต่างจังหวัดที่เป็นเพียงโรงพยาบาลเล็กๆ เท่านั้น เช่น โรงพยาบาลพัทยาเมโมเรียล เปาโล เมโมเรียล ปัญญาเวช ซึ่งไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เนื่องจากมีโรงพยาบาลที่สังกัดรัฐบาลเข้าร่วมเป็นสมาชิกอีกจำนวนมาก


 



กรณีที่โรงพยาบาลขอค่าชดเชยค่ารักษาพยาบาลย้อนหลังจาก สปส.กว่า 60 ล้านบาท นายสุรินทร์ กล่าวว่า มีโรงพยาบาลรัฐบาล 4 แห่ง ที่ยังไม่ได้ค่าชดเชยค้างจ่ายการรักษาพยาบาลจำนวน 94 ล้านบาท ได้แก่ โรงพยาบาลศิริราช รามา วชิระพยาบาล และ จุฬาฯ ซึ่งเรื่องนี้ได้นำเข้าที่ประชุมบอร์ด สปส.แล้ว แต่ปรากฏว่าบอร์ด สปส.ได้พิจารณาไม่อนุมัติใช้เงินจำนวนดังกล่าว เพราะเกรงว่าจะเกิดกรณีซ้ำรอยโครงการจัดหาระบบสารสนเทศด้านแรงงาน มูลค่า 2.8 พันล้านบาท ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่าไม่สามารถนำเงินกองทุนไปใช้ในโครงการดังกล่าวได้ เนื่องจากกฎหมายไม่ได้อนุญาตไว้


 



 


รัฐบาลขอความร่วมมือปชช.ใส่เสื้อเหลือง-ชมพูปีหน้า


เว็บไซต์แนวหน้า - พันเอกประชาสัณฑ์ ชนะสงคราม ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมครม.ว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอขอความร่วมมือจากประชาชนในการสวมใส่เสื่อเหลืองและชมพู ในปีพ.ศ.2551 เพื่อร่วมถวายความจงรักภักดีต่อในหลวงโดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.เป็นต้นไป ทั้งนี้ไม่ได้เป็นการบังคับแต่อย่างใด


 


 


 


เทคโนโลยี่


 


 


กทช.แฉ"ดีแทค-เอไอเอส-ทรูมูฟ"


เว็บไซต์แนวหน้า - นายสุธรรม อยู่ในธรรม หนึ่งใน คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช.กล่าวว่า ตามที่ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่เรียกร้องให้ กทช.มอบใบอนุญาตประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ 3 จี นั้น ในข้อเท็จจริง กทช.ได้เปิดให้ผู้ประกอบการใช้ระบบ 3 จีได้นานแล้ว


 



"แต่ที่ผู้ประกอบการออกมาเรียกร้องนั้น เนื่องจากต้องการคลื่นความถี่ใหม่ที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้สัญญาสัมปทานของ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) จึงส่งผลให้ภาคโทรคมนาคมในขณะนี้ไม่เกิดการลงทุนพัฒนาโครงข่าย 3 จีให้เกิดขึ้นมา"


 



ประกอบกับเมื่อประมาณเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กทช.ได้ประกาศหลักเกณฑ์การโอนคลื่นความถี่ และการใช้ความถี่ร่วมกัน ดังนั้นหาก บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ต้องการพัฒนาโครงข่ายให้เป็น3 จี จริงๆในฐานะคู่สัญญาสัมปทานของทีโอที น่าจะสามารถเจรจาขอใช้คลื่นความถี่ของ 3 จีร่วมกับ ทีโอที ที่มีคลื่นความถี่ได้อย่างไม่ผิดกฎหมาย ส่วนบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือดีแทคและบริษัท ทรูมูฟ จำกัด ก็สามารถพัฒนาคลื่นความถี่ที่มีอยู่กับ กสท ให้เป็น 3 จีได้เช่นกัน


 



นายเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ คณะกรรมการ กทช.กล่าวว่า ประเทศไทยมีคลื่นความถี่ 2.1 กิ๊กะเฮิร์ตที่เป็นคลื่น 3 จีที่จะจัดสรรให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ 60 ช่องสัญญาณโดยปัจจุบันได้จัดสรรให้ทีโอที และ กสทฯไปแล้ว 15 ช่องสัญญาณ ซึ่งยังเหลืออีก 45 ช่องสัญญาณที่จะต้องจัดสรรให้ผู้ประกอบการรายอื่นได้ประมาณ 3 รายเท่านั้น แต่ขณะนี้ กทช.ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาว่าจะใช้รูปแบบใดในการคัดเลือกผู้ประกอบการเพื่อมอบคลื่นความถี่ ซึ่งได้คิดไว้ 3 แนวทาง คือ 1 ให้ผู้ประกอบการเสนอเงื่อนไขต่อ กทช.เพื่อนำมาเปรียบเทียบกันในแต่ละราย 2.การจัดการประมูลคลื่นความถี่และ3.นำทั้ง 2 รูปแบบผสมกัน


 



โดยเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม กทช.ได้จัดแสดงความคิดเห็นสาธารณะแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ 2 พ.ศ.2551-2553 โดยคาดว่าจะสามารถประกาศในพระราชกฤษฎีกาได้ประมาณกลางปี 2551 ซึ่งแผนแม่บทฉบับดังกล่าวจะให้ผู้ประกอบการแต่ละรายได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างจริงจัง หลังจากแผนแม่บทฉบับที่ 1 พ.ศ.2548-2550 ที่กทช.ได้เน้นการออกกฎเกณฑ์มากกว่า จึงส่งผลให้การทำงานบางเรื่องยังไม่สำเร็จ


 


 


กูเกิลซุ่มทำเว็บ "สารานุกรมอินเทอร์เน็ต"


เว็บไซต์คมชัดลึก - "กูเกิลอิงค์" เจ้าของเว็บไซต์สืบคนข้อมูลอันลือลั่น www.google.com ซุ่มทำเว็บสารานุกรมฉบับอินเทอร์เน็ต เปิดให้คนทั่วไปที่อยากได้ชื่อว่าเป็น ผู้เชี่ยวชาญ เข้ามาเขียนเรื่องและหาเงินจากสรรพความรู้ของตน


กูเกิลป่าวประกาศแนวคิดทำเว็บสารานุกรมเมื่ออาทิตยที่แล้วซึ่งแน่นอนว่า เว็บความรู้แห่งนี้จะท้าชนกับเว็บวิกิพีเดีย www.wikipedia.org ที่เปิดให้คนที่มีสารพันความรู้ทุกศาสตร์มาร่วมแบ่งปันความรู้ให้เป็นวิทยาทานโดยไม่เห็นแก่เงินแก่ทอง จนกลายเป็นเว็บไซต์ที่อ้างอิงและหาข้อมูลอย่างกว้างขวาง


 


เว็บสารานุกรมของกูเกิลจะใช้ชื่อว่า โนล (knol) ที่ย่อมาจากคำว่าชุดความรู้ โดยช่วงนี้กูเกิลยังปรับระบบให้เข้าที่จึงปิดเฉพาะให้บุคคลรับเชิญเข้ามาเขียนข้อมูลเท่านั้น แต่ในไม่ช้าจะเปิดให้สารธารณชนเข้ามามีส่วนร่วม


 


ผู้บริหารของกูเกิลรายหนึ่งบอกว่า มีคนอีกนับล้านที่เป็นเจ้าของความรู้ที่มีประโยชน์เหลือแสน และอยากจะแบ่งปันให้คนอื่นได้รู้ รวมทั้งมีคนอีกนับพันล้านที่นำไปใช้ประโยชน์ได้ และเหตุที่ทุกวันนี้ผู้คนอีกมากไม่สามารถแบ่งปันความรู้ให้แก่กันได้ เพราะไม่มีเครื่องมือที่ช่วยให้พวกเขาถ่ายทอดข้อมูลได้ง่ายๆ



เว็บสารานุกรมของกูเกิลจะมีรูปแบบที่แตกต่างจากวิกิพีเดียโดยจะระบุว่า บทความแต่ละเรื่องใครเป็นคนเขียน และยังยั่วยวนใจนักเขียนเจ้าของความรู้ให้ร่วมกับเว็บสารานุกรมของกูเกิล โดยเสนอให้รางวัล รวมทั้งเปิดโอกาสให้หารายได้จากเครือข่ายโฆษณาที่เป็นขุมทรัพย์ของกูเกิล



 


ขณะที่ข้อมูลที่ปรากฏบนเว็บวิกิพีเดียจะไม่เปิดเผยตัวตนของผู้เขียนทำให้เว็บความรู้แห่งนี้เสี่ยงต่อการนำเสนอข้อมูลที่คลาดเคลื่อน


 



เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเว็บซิติเซนเดียม ซึ่งประกาศตัวเป็นเว็บสารานุกรมเช่นกัน ยืนยันว่า ข้อมูลที่อยู่บนเว็บไวต์จะระบุว่าใครเป็นผู้เขียน แต่เว็บวิติเซนเดียมยังเปิดให้คนทั่วไปมามีส่วนร่วมปรับปรุงเนื้อหาให้ครบถ้วนแม่นยำได้ ขณะที่เนื้อหาบนเว็บสารานุกรมของกูเกิลจะเป็นของใครของมัน แต่เปิดให้คนอ่านเข้ามาจัดอันดับและแสดงความเห็นพ่วงท้ายเรื่องได้


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net