ประชาไทภาคเหนือ
พลวัตหัวคะแนนในชุมชน
สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ หัวคะแนนในชุมชนเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากผู้มีอิทธิพลและคนที่ชาวบ้านนับหน้าถือตา อาทิ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือคหบดีในหมู่บ้าน ที่เคยผูกขาดการเป็นหัวคะแนนอยู่จำพวกเดียวเช่นในอดีต
การพัฒนาประเทศในหลายๆ ด้าน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้หัวคะแนนในชุมชนช่วงหลังนั้นประกอบไปด้วย กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการเกิดขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และกลุ่มจัดตั้งเพื่อการบริการสังคม เช่น อสม. อภปร. ตำรวจชุมชน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงกลุ่มคนที่เข้าไปทำงานในเมือง เป็นต้น
แต่จะพบว่าหลังจากที่พรรคไทยรักไทยซึ่งเคยกุมคนเหล่านี้ไว้อย่างเบ็ดเสร็จในจังหวัดเชียงใหม่ ได้หมดอำนาจในการควบคุมรัฐลงไปหลังการรัฐประหาร ทำให้กลุ่มหัวคะแนนที่มีคุณภาพเหล่านี้กลายเป็นพลังที่ไร้สังกัดในการเลือกตั้งครั้งนี้ กลุ่มหัวคะแนนเหล่านี้ส่วนใหญ่จึงเล่นหลายบทบาท สนับสนุนหลายพรรค และสนับสนุนนักการเมืองหลายคนไปพร้อมๆ กัน
ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้เองจะใช้ความจัดเจนทางการเมือง ในการเสนอตัวเข้าไปช่วยนักการเมือง หรือถูกกลุ่มคนที่นักการเมืองทั้งหลายเข้าหามากที่สุด ในการชักชวนมาเป็นหัวคะแนนให้กับตนเอง
ทั้งนี้ ในการเลือกตั้งครั้งนี้จะพบได้ว่ามีหัวคะแนนเฉพาะกิจ คือคนจากหมู่บ้านที่เข้าไปในเมืองเพื่อเชื่อมโยงพรรคการเมืองเกิดใหม่สู่หมู่บ้าน - ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มคนที่ทำงานในตัวเมือง เช่น คนขับรถแดง คนขับรถตู้ พ่อค้าที่ไปค้าขายในเมือง เป็นต้น
กลุ่มคนเหล่านี้อาจไม่มีบารมีในชุมชน และไม่ได้ทำงานบริการในชุมชน ซึ่งเป็นผลให้กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้รับความสนใจจากนักการเมืองและพรรคการเมืองที่จัดเจนทำงานในพื้นที่มานานและลงพื้นที่อย่างจริงจัง
แต่กลุ่มหัวคะแนนเฉพาะกิจเหล่านี้มักจะอาศัยความไม่จัดเจนทางการเมืองของพรรคการเมืองและนักการเมืองหน้าใหม่ ที่ต้องการหัวคะแนนตามชุมชนและหมู่บ้านต่างๆ ในการนำเงินของพรรคการเมืองและนักการเมืองหน้าใหม่เหล่านั้นลงสู่ชุมชนเหล่านั้นเพื่อหวังคะแนนเสียง
ซึ่งกลุ่มหัวคะแนนหน้าใหม่และไม่มีคุณภาพเหล่านี้เองที่เป็นตัวแปรสำคัญให้พรรคการเมืองหน้าใหม่ ประเมินจำนวน ส.ส. ของตนเองไว้ผิดพลาดเกินจริง
เรียงเบอร์ แต่เน้นยิงลูกโดด
นอกจากการประกาศไม่เผาผีกันระหว่างพรรคพลังประชาชนกับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ในกรณีของพรรคอื่นๆ นั้น ความคลุมเครือเรื่องการจับขั้วทางการเมืองจึงคงยังมีอยู่
รวมถึงผู้สมัครที่เป็นตัวแทนจากพรรคเดียวกันแล้ว แม้ว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้จะนำระบบเรียงเบอร์กลับมาใช้อีกครั้ง แต่ความเป็นเอกภาพในการหาเสียงของผู้รับสมัครในแต่ละพรรคก็ไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งทีม
จากการสังเกตการรณรงค์หาเสียงพบว่าผู้สมัครจากพรรคที่เกิดใหม่และพรรคขนาดกลางมักที่จะหาเสียงแบบยิงลูกโดด โดยเน้นการรณรงค์ให้ตนเองเป็นหลัก ไม่ได้เป็นทีม รวมถึงบางครั้งยังละเลยการหาเสียงให้พรรคในระบบปาร์ตี้ลิสต์อีกด้วย
ประเด็นนี้แสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการของพรรคการเมืองแต่ละพรรค รวมถึงการสนับสนุนงบประมาณของพรรคการเมืองเกิดใหม่และพรรคขนาดกลาง ว่าอาจจะไม่เพียงพอ จึงต้องทำให้ผู้สมัครแต่ละรายควักจ่ายเองล่วงหน้า และมีความจำเป็นต้องยิงลูกโดดเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเองเอาไว้ก่อน
ประชันนโยบาย
ประเด็นด้านนโยบายนั้น หลายพรรคการเมืองไม่ได้เสนอนโยบายที่แตกต่างจากกันเลย โดยเน้นประชานิยมและการกระจายทุนสู่ชุมชน แม้แต่พรรคที่มีแนวทางเสรีนิยม-อนุรักษ์นิยม ที่เน้นวินัยทางการคลังและประณามการบริโภคของคนจน ยังต้องเสนอนโยบายประชานิยมเพื่อเอาใจคนจน
สำหรับเชียงใหม่มีการเสนอนยายให้กลุ่มเป้าหมายสองกลุ่ม คือกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองซึ่งรวมถึงนักธุรกิจที่มาลงทุนในเชียงใหม่ ด้วยการชูประเด็นด้านสาธารณูปโภคในเขตเทศบาล และนโยบายด้านการท่องเที่ยว
ส่วนนโยบายสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่สอง ก็คือนโยบายสำหรับประชาชนที่อยู่เขตนอกเมืองออกไป เช่น นโยบายทางด้านการเกษตร นโยบายกองทุนหมู่บ้านต่างๆ เป็นต้น
รวมถึงนโยบายครอบจักรวาลสำหรับกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด เช่น เรื่องการจัดการศึกษา และสาธารณสุข วิสัยทัศน์ภาพรวมทางด้านเศรษฐกิจก็ถูกนำมาชูในการรณรงค์หาเสียง คละเคล้ากันไป
แนวคิดนโยบายที่พรรคการเมืองต่างๆ ชูเป็นประเด็นสำหรับเชียงใหม่
1. นโยบายสำหรับกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองซึ่งรวมถึงนักธุรกิจที่ลงทุนในเชียงใหม่
- นำเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยวในภูมิภาค
- จัดระบบคมนาคมขนส่งในเชียงใหม่ ให้มีความทันสมัยขึ้น
- จัดระบบคมนาคมภาคเหนือทั้งระบบ เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน
- ฯลฯ
2. นโยบายสำหรับกลุ่มรากหญ้าในเมืองและที่อยู่เขตนอกเมืองเชียงใหม่
- การนำหวยบนดินกลับมาอีกครั้ง
- นโยบายเกี่ยวกับกองทุนหมู่บ้าน, ธนาคารหมู่บ้าน และทุนต่างๆ สำหรับชุมชน
- การให้สวัสดิการแก่ อสม. อพปร. ตำรวจชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้ทำกิจกรรมในชุมชน ฯลฯ
- การพักชำระหนี้เกษตรกร
- การประกันราคาลำไย
- ฯลฯ
3. นโยบายสวัสดิการสังคมที่เสนอให้ทุกคน
- บริการทางด้านการศึกษาฟรี
- บริการทางด้านสาธารณสุขฟรี
- สวัสดิการสำหรับคนชรา คนด้อยโอกาส
- โครงการการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐ
- ฯลฯ
พื้นที่กฎอัยการศึก - พื้นที่การควบคุมของรัฐ และดูผลเปรียบเทียบจากการลงประชามติ
จากมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบให้คงประกาศกฎอัยการศึกไว้ 179 อำเภอทั่วประเทศ ซึ่งลดลงจากเดิมที่เคยประกาศไว้ 400 อำเภอ โดยอำเภอที่ยังคงประกาศกฎอัยการศึกเป็นอำเภอติดชายแดน 115 อำเภอ, อำเภอที่ไม่ติดชายแดนแต่อยู่ในจังหวัดที่ติดชายแดน 26 อำเภอ และพื้นที่ สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้อีก 38 อำเภอ
จังหวัดเชียงใหม่ 6 อำเภอยังคงเป็นพื้นที่กฎอัยการศึกอยู่ คือ อ.เชียงดาว อ.ฝาง อ.แม่อาย อ.เวียงแหง อ.ไชยปราการ อ.อมก๋อย ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับผลคะแนนออกเสียงประชามติเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา พบว่า ทั้ง 6 อำเภอนี้ ผลการลงประชามติรับ รธน. ผ่านหมดทั้งสิ้น (พื้นที่ที่ร่าง รธน. ผ่านประชามติ ในจังหวัดเชียงใหม่ มีทั้งหมด 7 อำเภอ อีกหนึ่งอำเภอที่ร่าง รธน. ผ่านประชามติก็คือ อ.สะเมิง)
โดยประเด็นเปรียบเทียบเมื่อเปรียบเทียบอย่างหยาบ สำหรับการรณรงค์การผ่านร่างประชามติที่ผ่านมา เราจะพบได้ว่าเป็นการต่อสู้กันระหว่างสองฝ่าย คือฝ่ายรัฐที่ต้องการให้ประชาชนออกไป "รับร่าง รธน. 50" กับฝ่ายตรงข้ามทั้งนักการเมืองและขบวนการภาคประชาชน ที่ต้องการให้ประชาชนออกไป "ล้มร่าง รธน. 50"
แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้รัฐไม่มีความชอบธรรมที่จะรณรงค์เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรคใดพรรคหนึ่งโดยตรง นอกจากการรณรงค์ให้คนออกไปใช้สิทธิ์และรณรงค์ไม่ให้ประชาชนทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเท่านั้น
แต่ในทางกลับกัน จากต้นทุนทางการเมืองในเขต 6 อำเภอที่ประกาศกฎอัยการศึกอยู่นี้ อาจจะเป็นโอกาสของพรรคการเมืองต่างๆ ที่จะสามารถแย่งชิงความได้เปรียบจากพรรคพลังประชาชนที่เป็นตัวเก็งอันดับหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่
สำหรับพื้นที่การควบคุมของรัฐที่ประกาศกฎอัยการศึกนี้ยังเป็นพื้นที่ที่มีกลุ่มพี่น้องชนเผ่าอาศัยอยู่มากที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ โดยจังหวัดเชียงใหม่มีพี่น้องชนเผ่าหลายเผ่า กระจายอยู่ 20 อำเภอจาก 24 อำเภอ 437 หมู่บ้าน จำนวนกว่า 190,000 คน
ทั้งนี้พี่น้องกลุ่มชนเผ่า ในครั้งที่มีการรงค์การผ่านประชามตินั้น ในหลายพื้นที่ถูกหน่วยงานของรัฐลงไปเกาะติด จนทำให้ผลประชามติในพื้นที่ของพี่น้องชนเผ่าเป็นที่พึงพอใจของรัฐ
การแย่งชิงเสียงของพรรคการเมืองคู่แข่งของพรรคพลังประชาชน จึงมีการโฟกัสไปที่กลุ่มพี่น้องชนเผ่ามากขึ้นด้วย
ลำดับ | อำเภอ | ผู้มีสิทธิออกเสียง | บัตรออกเสียงที่ได้รับ | ผู้มาใช้สิทธิ | ผลการลงประชามติ | ||
เห็นชอบ | ไม่เห็นชอบ | บัตรเสีย | |||||
1 | อ.เมือง | 183,870 | 187,395 | 115,367 | 53,129 | 60,381 | 1,857 |
2 | อ.จอมทอง | 49,583 | 49,643 | 36,977 | 14,465 | 21,231 | 1,281 |
3 | อ.ไชยปราการ | 27,609 | 28,300 | 17,578 | 7,619 | 9,450 | 506 |
4 | อ.เชียงดาว | 45,567 | 46,700 | 29,231 | 15,934 | 12,414 | 883 |
5 | อ.ดอยเต่า | 20,633 | 21,125 | 13,663 | 5,341 | 7,618 | 704 |
6 | อ.ดอยสะเก็ด | 51,869 | 53,285 | 38,954 | 15,588 | 22,500 | 866 |
7 | อ.พร้าว | 39,760 | 41,625 | 27,714 | 13,655 | 13,218 | 841 |
8 | อ.ฝาง | 64,479 | 68,825 | 43,750 | 22,189 | 20,386 | 1,175 |
9 | อ.แม่แจ่ม | 42,699 | 43,600 | 28,570 | 12,773 | 15,711 | 1,086 |
10 | อ.แม่แตง | 55,740 | 55,650 | 39,893 | 19,624 | 19,266 | 1,003 |
11 | อ.แม่ริม | 60,604 | 63,550 | 43,289 | 17,854 | 24,399 | 1,036 |
12 | อ.แม่วาง | 22,886 | 23,175 | 18,272 | 7,499 | 10,147 | 626 |
13 | อ.แม่อาย | 43,769 | 45,015 | 28,349 | 11,381 | 16,061 | 907 |
14 | อ.เวียงแหง | 9,424 | 9,700 | 5,914 | 3,128 | 2,628 | 156 |
15 | อ.สันกำแพง | 59,254 | 59,125 | 54,624 | 13,076 | 30,552 | 1,017 |
16 | อ.สันทราย | 86,366 | 88,075 | 61,393 | 27,380 | 32,699 | 1,314 |
17 | อ.สันป่าตอง | 61,406 | 62,925 | 46,825 | 14,386 | 31,086 | 1,353 |
18 | อ.สะเมิง | 16,536 | 17,175 | 12,542 | 7,901 | 4,323 | 318 |
19 | อ.สารภี | 60,682 | 62,225 | 45,157 | 17,798 | 26,183 | 1,176 |
20 | อ.หางดง | 57,739 | 60,435 | 43,999 | 13,561 | 28,900 | 1,538 |
21 | อ.อมก๋อย | 33,658 | 34,850 | 19,752 | 10,665 | 8,291 | 796 |
22 | อ.ฮอด | 31,107 | 31,854 | 21,537 | 7,565 | 12,848 | 1,124 |
23 | กิ่ง อ. ดอยหล่อ | 21,447 | 22,725 | 16,867 | 4,681 | 11,623 | 563 |
24 | กิ่ง อ. แม่ออน | 17,063 | 17,725 | 13,545 | 4,762 | 8,307 | 476 |
25 | ออกเสียงนอกเขตจังหวัด | 4,282 | 5,000 | 3,397 | 2,265 | 1,084 | 48 |
รวมทั้งสิ้น | 1,168,032 | 119,9602 | 818,180 | 344,219 | 451,309 | 22,650 |
หมายเหตุ | อำเภอที่มีผู้ไม่เห็นชอบรัฐธรรมนูญมากกว่าผู้เห็นชอบ | อำเภอที่มีผู้เห็นชอบรัฐธรรมนูญมากกว่าผู้ไม่เห็นชอบ | อำเภอที่ได้รับบัตรลงประชามติน้อยกว่าผู้มีสิทธิลงประชามติ |
ตารางแสดงผลการออกเสียงประชามติของ จ.เชียงใหม่
ที่มาของตาราง : ปรับปรุงจาก ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงใหม่ เรื่องผลการรวมคะแนนออกเสียงประชามติ (http://chiangmai.ect.go.th/Pdf/19aug.pdf) เข้าดูเมื่อ 26 ส.ค. 50
แล้วชาวบ้านจะเลือกอะไร?
การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ ที่ให้พูดกันตรงๆ ก็คือ เป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคพลังประชาชน และฐานเสียงสำคัญของคนที่ชื่อชอบ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
แต่ทั้งนี้ จากผลการลงประชามติรับร่าง รธน. ที่ผ่านมานั้น ได้พิสูจน์ว่าการได้คะแนนเสียงแบบเบ็ดเสร็จท่วมท้นเพื่อฝ่ายพรรคพลังประชาชน และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นยังมีอุปสรรคอยู่ (ผลคะแนนรวมเชียงใหม่ เห็นชอบ 344,219 และไม่เห็นชอบ 451,309)
แต่ทั้งนี้ทังนั้นสภาพแวดล้อมทางการเมืองและประเด็นของการออกเสียงเลือกตั้งกับการลงประชามติรับร่าง รธน. นั้นย่อมต่างกัน การใช้ผลการลงประชามติมาวิเคราะห์ตัวเลขว่าพรรคพลังประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคเกิดใหม่ต่างๆ นั้น ใครจะได้ ส.ส, จำนวนกี่คนนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ --- เพียงแต่เป็นการทำให้เห็นภาพกว้างว่า ต้นทุนทางการเมืองของฝ่ายใดมีเท่าไร และการรุกคืบของแต่ละพรรคการเมืองจะเน้นไปตรงจุดไหน
สำหรับการรณรงค์นโยบายของแต่ละพรรคนั้น พบว่าเกือบทุกพรรคมีนโยบายที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ซึ่งถือว่าเป็นคุณูปการของสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ที่ทำให้นักการเมือง และพรรคการเมืองเห็นหัวคนจนมากขึ้น การแข่งกันเพื่อเสนอนโยบายเพื่อคนจนในครั้งนี้จึงคึกคักอย่างยิ่ง
จากการสอบถามชาวบ้านบางส่วน พบประเด็นที่น่าสนใจต่างๆ มากมายสำหรับชาวเชียงใหม่กับการเลือกตั้ง โดยนำมาประมวลเรียบเรียงได้ดังนี้ ..
· เนื่องจากนโยบายของแต่ละพรรคการเมืองคล้ายคลึงกัน การเน้นเลือกตัวบุคคลมากกว่าพรรคการเมืองจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือก ส.ส.
· เนื่องจากนโยบายของแต่ละพรรคการเมืองคล้ายคลึงกัน การเน้นเลือกพรรคที่มีประสบการณ์จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือก ส.ส.
· เนื่องจากสถานการณ์การเมืองที่ผ่านมา ที่ทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าพวกตนเองถูกกระทำ อารมณ์ทางการเมืองจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือก ส.ส.
· การเมืองเรื่องภูมิภาคนิยม ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือก ส.ส. และพรรคที่ต้องการให้เป็นรัฐบาล
· การเสนอข่าวเกี่ยวกับบทลงโทษในการซื้อเสียง ขายเสียง เป็นปัจจัยที่ให้ชาวบ้านมีความระมัดระวังตัว สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)