Skip to main content
sharethis

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ)  ได้เชิญผู้บรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และคอลัมนิสต์ จาก 40 สำนักข่าว รวม 90 คน เข้ามาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมรับฟังแนวนโยบายของผู้บัญชาการทหารบกที่มีต่อสถานการณ์ทางการเมือง และการบริหารจัดการกองทัพ ภายหลังเข้ารับตำแหน่งมากว่า 2 เดือน ที่หอประชุมกองทัพบก โดย พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวยอมรับว่า ปัญหาของชาติปัจจุบันมีหลายด้าน ทั้งปัญหาความมั่นคง การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะการเมือง ซึ่งหากทุกคนมีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติ สร้างประโยชน์ในสังคม อย่างสร้างสรรค์ ก็จะทำให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ แต่ในทางตรงกันข้ามหากไม่ทำอะไรเลย ประเทศชาติก็จะไม่ได้อะไร


 


ทั้งนี้ กองทัพบกมีแนวทางที่ถูกต้องเพื่อเป็นกลไกของสังคม  รวมถึงการตรวจสอบการทำงานการใช้อำนาจรัฐที่มีส่วนปฏิบัติงานในหลายมิติและอาจมีผลกระทบ  ดังนั้นสื่อมวลชนเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างความรับรู้และความเข้าใจกับสังคมเนื่องจากทั้งกองทัพและสื่อมีผลต่อสังคมโดยรวม


 


นอกจากนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ยังกล่าวถึงการสนับสนุนประชาธิปไตยของกองทัพกว่า  ตามรัฐธรรมนูญทหารมีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยเป็นหลัก แต่สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในสังคมทำให้คนไม่มีอุดมการณ์เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน พร้อมกับยกตัวอย่าง กรณีเอกสารลับของ คมช.  ที่รั่วไหลออกไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข เพราะจิตใจคนเปลี่ยนแปลง เห็นประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง โดยไม่สนใจว่า กองทัพจะเสียหายอย่างไร  ส่วนเรื่องการส่งกำลังบำรุง การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ตนเน้นย้ำว่า จะให้การจัดซื้อโปร่งใสเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการจะจัดซื้ออาวุธชนิดใด ต้องมีคณะกรรมการพิจารณาว่า จะซื้ออะไร และซื้อของประเทศใด ไม่ใช่ซื้ออาวุธตามใจ ผบ.ทบ. ซึ่งตนป้องกันตัวเองไม่ให้เข้าไปยุ่งในสิ่งที่ไม่ดี และซื้อเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น  รวมถึงกล่าวว่า ตนไม่มีผลประโยชน์ ไม่มีสิทธิเข้าไปยุ่งเกี่ยวทางการเมือง หรืออยากเข้าไปใช้อำนาจรัฐ ไม่อยากเป็นผู้มีอิทธิพล เท่านี้ถือว่า เป็นทหารของชาติแล้ว 


 


ส่วนเรื่องกฎหมายความมั่นคง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องมี  แม้อาจมีการใช้เครื่องมือต่างกัน  ซึ่งแม้ กม. มั่นคงจะไม่สามารถใช้กฎหมายปกติได้ แต่ต้องนำมาใช้ให้เหมาะสม  ซึ่งขณะนี้ไทยไม่มีกฎหมายความมั่นคงภายใน แต่ยอมให้มีการประกาศกฎอัยการศึก โดยต่างชาติถือว่า เป็นเรื่องใหญ่ เพราะเขาใช้เฉพาะการรบ ทำให้กองทัพไม่อยากใช้ แต่อยากให้มีกฎหมายอะไรก็ได้ออกมารองรับเพื่อให้ทหารทำงานได้ ตนไม่อยากได้อำนาจนอกเหนือจากนั้น และไม่อยากให้มีคำสั่งพิเศษ รวมถึงอยากให้มีการยกเลิกกฎอัยการศึกด้วย แต่ให้ประกาศใช้ได้แต่เฉพาะยามเกิดสงครามหรือสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น  โดยตนไม่ได้สนใจว่า คนอื่นจะมองเป็นทหารเผด็จการก็ตาม


 


อย่างไรก็ตาม พล.อ.อนุพงษ์ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามกรณี ที่  พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ บางมาตราที่ห้ามการชุมนุม จะไปกระทบต่อการแก้ปัญหาการก่อการร้ายอย่างไร โดยระบุว่า ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ให้ความเห็นว่า การเดินประท้วงเป็นเรื่องที่ทำได้ตามระบอบประชาธิปไตย ถ้าไม่ก่อความวุ่นวายและเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ ถ้าถูกต้องทำไปเลย คำตอบคือไม่ต้องไปห้าม 


 


สำหรับการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ที่จะถึงนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ก็ยืนยันว่า  ตนไปเลือกตั้งแน่นอน  ให้ไปรอหน้าคูหาได้เลย เพราะต้องไปทำหน้าที่การใช้สิทธิในฐานะที่เป็นประชาชนคนหนึ่ง  แต่สำหรับในหน้าที่ในส่วนของทหารจะเข้าไปยุ่งในการเลือกตั้งไม่ได้  โดยเฉพาะตนเองในฐานะที่ตนเป็นผู้นำกองทัพ ยิ่งไม่สมควรเข้าไปยุ่งการเมือง แต่ขออยู่เป็นกลางและดูลูกน้องไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว  แต่ทั้งนี้ ถ้าการเมืองมายุ่งกับตน  สังคมต้องดูแลโดยเฉพาะ สื่อต้องช่วยกัน  เพื่อกันอำนาจการเมืองจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับข้าราชการประจำในทางมิดีมิชอบ


 


เมื่อถามว่า รู้สึกแปลกใจหรือไม่ที่หลัง 19 กันยายน 2549 กลุ่มที่ถูกปฏิวัติยังมีความนิยมสูงประเมินว่า กองทัพทำผิดพลาดอะไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่ผิดพลาดเลย แต่สังคมผิดเพี้ยน ทั้งนี้ ตน อยากให้แยกประเด็นให้ดีเพราะมันต่างกัน โดยตนไม่ได้บอกว่าเขาบริหารประเทศชาติไม่ดี แต่ที่ประเทศเพี้ยนก็เพราะว่า มีประชานิยม มีความซับซ้อน แต่เอาของเหล่านั้นมาพูดกับความเป็นจริง หากทุกอย่างเป็นจริงหมดใช้สูตรนั้นได้ แต่หากเป็นเรื่องที่โกหกแล้วมาถามหาหลักการเป็นคนละตัวกันวัดกันไม่ได้  ซึ่งหากอำนาจประชาชนที่บอกว่า ระบบประชานิยมมันถูกต้องจริง ตนจะยอมรับ แต่ขอยืนยันว่าไม่ใช่ ซึ่งทุกคนรู้ที่ไม่ใช่ เพราะอะไร


 


เมื่อถามว่า เหตุใดท่านระบุว่าทหารไม่ยุ่งการเมืองวางตัวเป็นกลางแต่ทุกคนยังไม่เชื่อ พล.อ.อนุพงษ์ ย้อนถามอย่างมีอารมณ์ว่า โกหกตั้งแต่คำถามแล้ว ใครไม่เชื่อ ทุกคนไม่เชื่อได้ไง ทุกคนก็บอกว่ากองทัพวางตัวดี ท่านไปคิดเอาเองว่าประชาชนไม่เชื่อ เอาอะไรมาถาม ทุกคนของคุณคือใคร ตนไม่เข้าใจ คุณพูดอย่างนี้ เขาเรียกว่าเหมารวมเอาเอง เอาอะไรมาเหมา ตนไม่เชื่อว่าประเทศไทยทั้งหมด


 


'คนเจอผมบอกว่ากองทัพอยู่ดีแล้ว หรือจะให้ผมบอกว่าต้องยุ่ง ผมพูดอย่างอื่นไม่ได้ ก็ทั้งพูดทั้งทำอย่างนี้ว่าไม่ยุ่ง ท่านต้องการที่จะให้ ผบ.ทบ.เข้าไปยุ่งเหรอ อยากให้ ผบ.ทบ.ไปทำอะไร ย้ายอุตลุดทุกคนที่ไปยุ่งการเมืองเหรอ ประเทศชาติอยู่ได้เหรอ กองทัพบกทำอย่างนี้ แต่หากมี ร.อ. ก..ไปยุ่งเกี่ยวพรรคการเมืองมีผลประโยชน์อย่าไรก็หาตัวมา อย่างที่บอกเอาปืนไปจ่อหัวมีจริงหรือไม่ ก็ไม่มี แล้วท่านบอกว่าทุกคนไม่เชื่อ ถือเป็นการนำเสนอไปในทางไม่สร้างสรรค์ให้กองทัพบกดี'ผบ.ทบ.กล่าว


 


อย่างไรก็ตาม พลอ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปรณรงค์ใช้สิทธิ หากเป็นปัญญาชนอย่างท่านกับตน ลงไปปฏิบัติอย่างไรก็ไม่พลาด แต่ไม่รู้ว่าลูกน้องคนใดคนหนึ่งไปเอนพรรคใดพรรคหนึ่ง หรือพูดให้คุณให้โทษ ถือว่าผิดยุ่งเกี่ยวการเมือง ไม่ใช่หน้าที่ แต่สั่งการผู้บังคับบัญชาหน่วยทุกกองทัพภาคให้กำลังพลนิ่งอยู่เช่นนี้ แต่เป็นเรื่องยากสำหรับคนบางคนที่ไม่เข้าใจ


 


'บางคนเห็นทหารเข้าไปในหมู่บ้านแล้วเข้าไปดูหัวคะแนน เพื่อไม่ให้ขยับก็หาว่าทหารไปยุ่งเกี่ยว พรรคการเมืองอะไรแล้วแต่ น่าจะยินดีที่ทหารไปห้ามไม่ให้มีการซื้อเสียงได้ เกาะติดหัวคะแนนไม่ให้ไปซื้อสิทธิขายเสียงได้ ซึ่งมีเทคนิคมากมาย หากพรรคนี้ไปโวย ทำไมไม่ไปพูดว่าพรรคที่โวยเกี่ยวข้องกับการซื้อสิทธิขายเสียง ทุกพรรคน่าจะดีใจ แต่มีบางคนโวยว่าทหารเข้าไปกดดัน ทำอะไรแล้วแต่' พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว


 


เมื่อถามว่า เป็นห่วงว่าจะอยู่ในตำแหน่ง ผบ.ทบ. ครบ 3 ปี หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่ต้องห่วง เพราะตนไม่ห่วงตนเอง คนอื่นอย่าเป็นทุกข์ เป็นแล้วก็เป็น พร้อมรับด้วยความจริงใจ สบายมาก  หากมีคนเก่งกว่า ดีกว่าก็ชอบ แล้วให้เขาทำ ตนเป็นคนอย่างนั้น หากกลไกไม่เป็นตามนั้น แล้วได้รับความไม่เที่ยงธรรมก็ปล่อยให้จบไป ไม่ไปโวยวาย


 


เมื่อถามว่า ท่านเป็นคนที่ร่วมปฏิวัติมาแล้วเมื่อมีรัฐบาลใหม่หากจะโดนย้ายท่านจะอยู่เฉยให้เขาย้ายเหรอ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า 'บอกได้เลยว่าอยู่เฉยๆ แน่นอน หากทำได้ก็ให้เขาทำ ผมก็อยู่โอเคจบ จะให้ไปทำอะไร ปฏิวัติอีกทีเหรอ เพื่อตนเองหรือ ผมสั่งใครก็ไม่ไป สองทำได้ท่านและสังคมก็ไม่ยอม อยู่เฉยๆ สง่ากว่า ปลดก็ปลดไป สมาร์ทดี ทำไมต้องไปทุกข์ คิดได้ไงว่าหากเขามาย้ายผม แล้วจะปฏิวัติ งี่เง่าที่สุดในโลก'


 


เมื่อถามถึงเอกสารลับที่พรรคพลังประชาชนนำมาเผย พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เป็นเอกสารที่ใช้ในบริบทที่ คมช.ต้องการให้ประเทศชาติเป็นไปตามนั้น ถ้าจะพูดในภาพกว้างหลังจากยึดอำนาจจตนไม่ถือว่า การปฏิวัติคือการไปยึดอำนาจมา แต่ถือว่า เป็นการหยุดการใช้อำนาจของเดิมมากกว่า  ส่วนเอกสารลับของกองทัพกับพรรคหลังประชาชนไม่ตรงกัน 70-80 เปอร์เซ็นต์ และภารกิจตามเอกสารยังคงทำอยู่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของเอกสาร ซึ่งจะให้ตนไปพูดว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่จริง ไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าไปยุ่ง แต่เป็นเรื่องที่กกต.จะต้องไปดำเนินการ ตนไม่มีอำนาจสิทธิพิเศษที่เอาเอกสารลับไปเปิดเผย ทำได้เพียงตรวจสอบภายในเท่านั้น ว่าเอกสารดังกล่าวรั่ว ไปได้อย่างไร


 


'ทำกับกลุ่มที่กองทัพไปหยุดการใช้อำนาจ ซึ่งแปรสภาพมาเป็นพีทีวี นปก. นปช. และวนกลับมาเป็นพรรคพลังประชาชน บุคคลที่เคลื่อนไหวเป็นกลุ่มเดียวทั้งสิ้น นอกเหนือจากนี้พูดไปจะผลทางกฎหมาย มีผลกระทบโดยรวมไม่เกิดประโยชน์ทุกคนรู้อยู่เต็มอกว่าช่วงที่อยู่สนามหลวงมีเจตนาอะไร ช่วงที่แปรมาเป็นพรรคการเมืองต้องการอะไร และเพื่อไปสู่อะไร เขามีแนวทางอย่างนั้น เมื่อสังคมเป็นเช่นนี้ผมมารับตำแหน่งก็บอกว่าให้วางตัวเป็นกลาง' พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว


 


เมื่อถามว่า ทหารถูกโจมตีว่า เอาปืนจ่อหัวหัวคะแนนพรรคพลังประชาชนทำไมกองทัพไม่ตอบโต้ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ทันที่รับรายงานตนตรวจสอบ แต่ในใจตนไม่เชื่อ เพราะตนสั่งการแม่ทัพภาคแล้วว่า ให้วางตัวเป็นกลาง การไปทำเช่นนี้กับประชาชนไม่มีใครกล้าทำ  และเมื่อตรวจสอบแล้วก็ไม่จริง ซึ่งเหตุที่มีการพูดออกมาอย่างนั้น  ก็เพราะอีกฝ่ายต้องการสร้างเกราะป้องกันตัวเอง เพื่อให้สังคมไม่ยอมรับทหาร  จี้ให้ทหารถอยกำลังออกมา แล้วทำอะไรได้ง่ายขึ้นหรือไม่ หรือต้องการดิสเครดิตว่าคนนั้นก็เลวและก็พูดไป สรุปแล้วผุ้ใต้บังคับบัญชาตนไม่ได้เป็นทำแน่นอน เพราะฉะนั้น สื่ออย่าเอาความคิดเห็นส่วนตัวเข้าไปเกี่ยวข้อง 


 


 


---------------------------------------------------


ที่มา : เว็บไซต์มติชน


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net