วานนี้ (26 พ.ย.) ศาลอาญารัชดา อ่านคำสั่งคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีโดยนายนพดล มีวรรณะ ทนายความ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องพรรคประชาธิปัตย์, นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง, นายสุวพงศ์ จั่นฝั่งเพ็ชร บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.มติชน, นายฐากูร บุนปาน บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ข่าวสด และนายประชา เหตระกูล บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.เดลินิวส์ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ฟ้องโจทก์สรุปว่า

เมื่อวันที่ 17 -19 พ.ค.49 จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันแถลงข่าวโดยมีผู้สื่อข่าวของจำเลยที่ 3-5 ร่วมสัมภาษณ์ และนำข้อความมาตีพิมพ์เผยแพร่ ระบุว่าโจทก์ทำทุกอย่างเพื่อจะกลับเข้ามาเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งโดยมีการใช้อำนาจรัฐเข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้ง ช่วยเหลือพรรคตนเอง เพื่อให้ชนะการเลือกตั้งกลับเข้ามาเคลียร์ผลประโยชน์ที่ยังค้างอยู่ให้เสร็จ และทำลายหลักฐานการทุจริต เพราะกระแสสังคมกดดันให้โจทก์ เว้นวรรคตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี และยังกล่าวหาว่าโจทก์เหมือนกับ "ผีปอบ" ที่ออกจากร่างแล้วกลับเข้าร่างไม่ได้ จึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อกลับเข้าสู่ร่างเดิม โจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยด้วย

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความของพยานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คำให้สัมภาษณ์ของจำเลยที่ 1-2 เป็นการตอบโต้ทางการเมืองขณะมีความคิดขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นและสังคมก็มีความคิดเห็นและข้อขัดแย้งแบ่งฝักแบ่งฝ่ายโดยการนำเอาจุดบกพร่องตามที่ปรากฏขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะมาชี้แจงกับประชาชนเพื่อเป็นข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนที่จะไปใช้สิทธิเลือกตั้งอันเป็นวิสัยที่ย่อมกระทำได้ซึ่งนับเป็นประโยชน์และถือเป็นความชอบธรรมป้องกันส่วนได้เสียของตนตามครองธรรมในฐานะนักการเมืองซึ่งไม่เห็นด้วยกับการกระทำหรือพฤติกรรมของรัฐบาลและตัวโจทก์ในการบริหารแผ่นดิน การวิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นหากอยู่บนพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารบ้านเมืองย่อมมีสิทธิทำได้แต่ต้องไม่ทำให้บุคคลที่ถูกกล่าวถึงได้รับความเสียหาย

คำว่า"ผีปอบ"แม้จะไม่สุภาพและเป็นคำแสลงหูระคายเคืองต่อความรู่สึกของโจทก์แต่ถ้อยคำดังกล่าวต้องการแสดงให้คนฟังเห็นเชื่อจึงจะเกิดความรู้สึกเกลียดชังดูหมิ่นมิใช่เอาความรู้สึกของโจทก์ฝ่ายเดียว ดังนั้นการกระทำของจำเลยทั้งหมดจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

ที่มาของข่าว: เดลินิวส์