Skip to main content
sharethis

การเมือง


นักวิชาการ ติงรัฐ ไม่ควรนำ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ บังคับใช้ตอนนี้


ไอ.เอ็น.เอ็น. -นายประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ภาควิชากฎหมาย ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถึงการอภิปรายวิพากษ์ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในว่า ขณะนี้ รัฐบาลหรือ สนช.ยังไม่ควรออก พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในมาใช้ในสถานการณ์บ้านเมืองที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตย และยังไม่มีฝ่ายค้าน เนื่องจาก พ.ร.บ.ดังกล่าว มีอำนาจมากเหมือนกับต้องใช้ในประเทศที่กำลังมีภัยคุกคาม แต่ในทางตรงกันข้าม เมื่อประเทศไทยเราเป็นแบบนั้นหรือไม่ อีกทั้ง เนื้อหาของ พ.ร.บ.จะให้อำนาจหน้าที่กับนายกรัฐมนตรี ในการใช้ 2 กฎหมายควบคู่กันไปด้วย ทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายใน


 


ขณะเดียวกัน นายประวิทย์ โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นกล่าวว่า ถ้า พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในฉบับนี้ผ่านความเห็นประชาชน รัฐบาลและ สนช. ประเทศไทยจะเหมือนกับประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย ที่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย แม้จะมีการเลือกตั้ง ดังนั้นประชาชนต้องออกมาต่อต้าน พ.ร.บ.ฉบันนี้ไม่ให้สามารถนำออกมาใช้ได้


 


 


สตง.ชี้การเลือกตั้ง2เม.ย.มีปัญหาตามบี้"3หนา"เรียกเงินคืน1.6พันล.


เว็บไซต์แนวหน้า - มีรายงานข่าวจากคณะกรรมการตรวจสอบพิจารณาค่าใช้จ่ายงบประมาณการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 จำนวนกว่า 2,000 ล้านบาท ในยุคที่มีพล.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เป็นประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ที่มี คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) เป็นประธานตรวจสอบ เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบว่า คณะกรรมการฯจะมีการนัดประชุมครั้งสุดท้ายในวันที่ 25 ตุลาคม เพื่อพิจารณาถึงมติและพฤติกรรมรวมทั้งข้อกฏหมายประกอบที่เกี่ยวข้อง



 


โดยในเบื้องต้นคณะอนุกรรมการฯส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า การใช้จ่ายงบดังกล่าวผิดวัตถุประสงค์จริง 1.6 พันล้าน และให้มีการติดตามเรียกร้องค่าเสียหายคืนจากผู้ที่เกี่ยวข้อง



 


ทั้งนี้ที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯจะสรุปผลการตรวจสอบและทำเป็นรายงานรายละเอียดเพื่อเสนอต่อ กกต.ชุดปัจจุบันให้เป็นผู้ชี้ขาด เพราะสตง.เป็นเพียงผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเท่านั้น



 


ด้านคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนการวางท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ยังเปิดเผยเปิดเผยเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ถึงความคืบหน้าคดีดังกล่าวว่า ในเวลา 09.00 น.วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคมนี้ คณะอนุไต่สวนฯได้นัดให้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรมว.คมนาคม หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา เข้าชี้แจงเพิ่มเติมถึงแม้ว่านายสุริยะจะเคยส่งหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหามาก่อนหน้านี้แล้วก็ตามเนื่องจากคณะอนุกรรมการฯยังติดใจสงสัยในบางประเด็น ในช่วงระหว่างที่นายสุริยะยังดำรงตำแหน่งรมว.คมนาคมในช่วงปี 2544-2545



 


"ในช่วงนั้น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เคยทำหนังสือทักท้วงเรื่องสเป็คของท่อร้อยสายที่ใช้ในสนามบินสุวรรณภูมิ ที่สตง.สงสัยว่านายสุริยะ ได้มีการดำเนินการอะไรบ้างมีการดำเนินการอย่างไร ในฐานะที่รมว.เป็นเจ้ากระทรวงที่ดูแลรับผิดชอบโครงการต่างๆ แต่สุดท้ายผลที่ออกมากลับมีการใช้ท่อร้อยสายชนิดดังกล่าวทั้งที่เคยทักท้วงไปแล้ว และทำให้ต้องมาตรวจสอบโครงการดังกล่าวนี้อีกครั้ง"



 


คุณหญิงจารุวรรณ กล่าวและว่า ในหนังสือการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาที่นายสุริยะส่งมานั้นมีตอนหนึ่งอธิบายว่า เนื่องจากนายสุริยะเป็นข้าราชการการเมืองจึงบริหารงานโดยไม่ใช้การล้วงลูกหรือแทรกแซงการทำงานของข้าราชการประจำ ส่วนกรณีที่สตง.เคยทักท้วงมานั้นถือเป็นอำนาจหน้าที่ของปลัดกระทรวงคมนาคม ที่เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบในรายละเอียดของโครงการมากกว่า ทั้งนี้นายสุริยะได้มอบอำนาจให้นายอนุชา นาคาสัย อดีตเลขานุการส่วนตัวเข้าชี้แจงแทน


 


 


ลงทะเบียนเลือก ส.ส.ล่วงหน้า 22 ต.ค.-22 พ.ย.นี้


เว็บไซต์เดลินิวส์ - นายยศศักดิ์ คงมาก ผู้อำนวยการกองปกครองและทะเบียน สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า เมื่อเช้าวันที่ 19 ต.ค. ได้เชิญประชุมหัวหน้าฝ่ายปกครองและหัวหน้าฝ่ายทะเบียนทั้ง 50 สำนักงานเขตเพื่อหารือเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่คาดว่าจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค. นี้ ซึ่งได้ให้หัวหน้าฝ่ายจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์การเลือกตั้ง รวมทั้งบุคลากรที่เป็น ผอ.และกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งหน่วยละ 10 คน รวมจำนวนหน่วยเลือกตั้งในกรุงเทพฯ 6,301 หน่วย จะต้องใช้กรรมการประจำหน่วยทั้งสิ้น 63,010 คน ซึ่งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สนับสนุนงบประมาณจำนวน 200 ล้านบาท เป็นค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ ซึ่ง กทม. จะของบเพิ่มอีก 60 ล้านบาท เป็นค่าอุปกรณ์และค่าพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ซึ่ง กทม. ในฐานะที่ช่วยสนับสนุน กกต.ในการจัดเลือกตั้งจะเริ่มออกประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเชิญชวนประชาชนออกมาใช้สิทธิ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยวางเป้าหมายดึงผู้ใช้สิทธิให้ได้ 70% มากกว่าการเลือกตั้ง ส.ส. ปี 2549 ที่มีผู้ใช้สิทธิ 60%



 


นายยศศักดิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ได้เตรียมความพร้อม ในการลงทะเบียนขอใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งนอกเขตจังหวัด ซึ่งสำนักงานเขตทั้ง 50 เขต จะเปิดให้ประชาชนที่มีชื่อในต่างจังหวัดที่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าในกรุงเทพฯ ไปลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าได้ที่สำนักงานเขตต่าง ๆ ทั้ง 50 เขต ระหว่างวันที่ 22 ต.ค.-22 พ.ย. นี้ ในวันเวลาราชการ โดยเตรียมหลักฐานไปลงทะเบียนได้แก่ บัตรประชาชน หนังสือเดินทาง ใบขับขี่ ซึ่งกำหนด เลือกตั้งล่วงหน้าในวันที่ 15-16 ธ.ค. ณ สำนักงานเขตที่ไปลงทะเบียนไว้ ทั้งนี้การเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อปีล่าสุด 2549 มีประชาชนมาลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าราว 200,000 คน


 


 


ควบรวม "ปชร.-มัชฌิมา-รวมใจไทย" สู้เลือกตั้ง


เว็บไซต์เดลินิวส์ - นายกร ทัพพะรังสี รองหัวหน้าพรรคประชาราช เป็นตัวแทนชี้แจงเหตุผลภายหลังการหารือร่วมกับตัวแทน 3 พรรคประกอบด้วย นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน ตัวแทนพรรคมัชฌิมาธิปไตย นายเสนาะ เทียนทองตัวแทนพรรคประชาราช และ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ตัวแทนพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา



 


โดยจะรวมตัวกันสู้ศึกเลือกตั้งในนามพรรคเดียวกัน พร้อมกับจะมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อเปลี่ยนแปลงชื่อพรรค คณะผู้บริหารพรรค ก่อนที่จะพิจารณารายชื่อ ส.ส.ทั้ง 480 คน โดยนายเสนาะ เทียนทอง ส่วนตัวหัวหน้าพรรคนั้น จะประชุมสรุปภายใน 24 ชั่วโมง อย่างไรนั้นการรวมตัวกันในครั้งนี้ นายประชัย เป็นผู้ริเริ่ม โดยอ้างว่า ดวงวิญญาณ ของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหวัน อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ดลใจ



ทั้งนี้ในวันพรุ่งนี้เวลา 11.00 น. จะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้งที่บ้านเมืองทองธานี


 


 


เศรษฐกิจ


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดอีก 3-6 เดือน ทยอยปรับราคาสินค้า


ไอ.เอ็น.เอ็น.-บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์ว่า การปรับขึ้นของราคาน้ำมันที่ขึ้นมาอยู่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต การขนส่งที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ค่ารถโดยสารประจำทางได้ทำการปรับขึ้นมา 50 สตางค์ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา


 


นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังได้มีการขอปรับขึ้นราคาสินค้าต่อกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งหากราคาน้ำมันยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคน่าจะทยอยปรับเพิ่มขึ้นในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า เนื่องจากภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าผู้ประกอบการจะพยายามพยุงราคาสินค้าในช่วงนี้ก็ตาม นอกจากนี้ ราคาก๊าซหุงต้มยังได้มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นเช่นกัน แน่นอนว่าการปรับขึ้นราคาสินค้า แต่ระดับรายได้คงที่ย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภค เนื่องจากภาระรายจ่ายในชีวิตประจำวันที่เพิ่มขึ้น


 


 


ต่างประเทศ


บุชเพิ่มคว่ำบาตรอายัดทรัพย์ผู้นำบีบพม่ายุติรุนแรง


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - ผู้นำสหรัฐประกาศเพิ่มการคว่ำบาตรพม่า พร้อมอายัดทรัพย์ผู้นำทหารอีก 11 ราย ด้านผู้เขียนรายงานยูเอ็นเผย พม่ามีนักโทษการเมืองเกือบ 1,200 คน



นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศมาตรการคว่ำบาตรพม่ามากขึ้นกว่าเดิมเมื่อวันศุกร์ (19 ต.ค.) พร้อมกระตุ้นจีนและอินเดียให้กดดันรัฐบาลทหารพม่า เพื่อยุติการปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงอย่างรุนแรง



 


"ผู้ปกครองพม่ายังดื้อดึงต่อข้อเรียกร้องของโลกเพื่อหยุดการประหัตประหารอันชั่วร้าย การดำเนินธุรกิจแบบปกติเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้" นายบุชกล่าวพร้อมเตือนว่า อาจมีมาตรการคว่ำบาตรมากกว่าเดิม หากผู้นำพม่าไม่ยอมเปลี่ยนแนวทาง



 


ประธานาธิบดีสหรัฐระบุว่า สหรัฐจะพิจารณานโยบายและมาตรการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากผู้นำพม่าไม่หยุดการกระทำที่โหดร้ายต่อประชาชน ขณะแสดงความชื่นชมปฏิกิริยาของออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ต่อเหตุรุนแรงทางการเมืองในพม่า แต่เรียกร้องว่า ชาติมหาอำนาจในภูมิภาคอย่าง จีน และอินเดีย ควรแสดงปฏิกิริยามากกว่าที่เป็นอยู่



 


"ผมขอให้ประเทศต่างๆ พิจารณากฎหมายและนโยบายของตัวเอง โดยเฉพาะเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดของพม่า อย่างจีน อินเดีย และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค การทารุณของกลุ่มคนเหล่านี้ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และในขณะนี้สหรัฐได้มีมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มขึ้น" นายบุชกล่าวและว่า กระทรวงการคลังสหรัฐเพิ่มการอายัดทรัพย์ในสหรัฐต่อกลุ่มผู้นำทหารพม่าอีก 11 ราย



 


ผู้นำสหรัฐกล่าวด้วยว่า เขามีมาตรการคว่ำบาตรพม่าครั้งใหม่อีก 12 ประเด็น และมีคำสั่งให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐควบคุมการส่งออกไปพม่าอย่างเข้มงวด



 


ขณะเดียวกัน นายเปาโล เซอร์จิโอ ปินเยโร ผู้เขียนรายงานการประชุมพิเศษแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า ทางการพม่าดำเนินการจับกุมนักโทษทางการเมืองเกือบ 1,200 คน ก่อนเกิดการปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงอย่างรุนแรงเมื่อเดือนที่แล้ว โดยจำนวนนักโทษทางการเมืองเพิ่มขึ้นจาก 1,100 คนในปี 2548 เป็น 1,192 คนเมื่อวันที่ 27 ก.ค.


 


 


สิงคโปร์มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทในพม่าที่ถูกสหรัฐขึ้นบัญชีดำ


ศูนย์ข่าวแปซิฟิค -สหรัฐขึ้นบัญชีดำบริษัทในพม่า 7 แห่ง ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรล่าสุดที่ประกาศวานนี้ และปรากฏว่า มีบริษัท 3 แห่งมีความเชื่อมโยงกับสิงคโปร์  มาตการคว่ำบาตรดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อดำเนินการกับบริษัทหรือองค์กรที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลทหารพม่า และเพื่อเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อรัฐบาลทหารพม่ายิ่งขึ้น สำหรับบริษัททั้งสามที่ถูกระบุว่า เกี่ยวโยงกับสิงคโปร์ ได้แก่ บริษัท ปาโว เทรดดิ้ง ทำธุรกิจส่งออกไม้สักและผลิตภัณฑ์จากไม้สักจากพม่า สายการบินแอร์พุกาม โฮลดิ้งส์ และบริษัท ตู วู้ด โปรดักส์


         


สิงคโปร์เป็นประธานกลุ่มชาติสมาชิกอาเซียน และมีบทบาทนำในการวิจารณ์การปราบปรามพระสงฆ์และผู้ชุมนุมประท้วงอย่างรุนแรงของทางการพม่าเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 13 คน และถูกควบคุมตัวกว่า 3,000 คน ผู้สังเกตการณ์ตั้งข้อสังเกตว่า การวิจารณ์อย่างจริงจังของสิงคโปร์ จะต้องตามมาด้วยการตอบโต้ทางเศรษฐกิจ ขณะที่นักสิทธิมนุษยชนและผู้เชี่ยวชาญกล่าวหาว่า รัฐบาลทหารได้รับเงินจากสิงคโปร์ ที่ยินยอมให้ธนาคารรับฝากเงินของนายทหารระดับสูงของพม่า ซึ่งถูกระบุว่าเป็นเงินสกปรก ผิดกฎหมาย และมาจากการฟอกเงิน ด้านรัฐบาลสิงคโปร์ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว


 


 


ประท้วงรุนแรงระหว่างการประชุมจี 7 และ IMF ที่สหรัฐ


เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น -กลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านโลกาภิวัฒน์ซึ่งรวมตัวกันตั้งแต่คืนวันศุกร์ ได้เดินขบวนไปตามท้องถนน ในเมืองจอร์จ ทาวน์ของกรุงวอชิงตัน ดีซีของสหรัฐ เพื่อประท้วงต่อต้านนโยบายด้านการเงิน ของการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก 7 ชาติหรือจี 7 รวมถึงการประชุมของกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF และธนาคารโลกในวันนี้


         


กลุ่มผู้ประท้วง ซึ่งเดินขบวนอยู่ห่างจากสถานที่ประชุมไปทางตะวันออกราว 10 บล๊อกถนน ได้ก่อเหตุรุนแรงขึ้นด้วยการทุบหน้าต่างร้านค้าแตกเสียหาย ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมหน้ากากและกระบอง ต้องออกไปควบคุมสถานการณ์และสั่งให้กลุ่มผู้ประท้วงสลายตัวไป


         


มีรายงานว่า ตำรวจได้จับกุมกลุ่มผู้ประท้วงไปหลายคน ขณะที่โฆษกของตำรวจท้องถิ่นบอกว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งได้รับการนำตัวส่งโรงพยาบาล หลังถูกอิฐทุบเข้าที่หน้า จนได้รับบาดเจ็บ ด้านสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นรายงานว่า หน้าต่างร้านเสื้อผ้า 2 ร้านถูกทุบแตกเสียหาย




 


 


จี-7 ลั่นคุมผลกระทบเศรษฐกิจโลก


เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น - ที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ (จี-7) ออกแถลงการณ์ร่วม ระบุว่า ทางกลุ่มยังคงพยายามดำเนินการในส่วนของตัวเอง เพื่อทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป และว่าตลาดการเงินโลกยังคงมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ยังต้องมีการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด


         


แถลงการณ์ชี้ว่า ตลาดการเงินทั่วโลกเริ่มปรับตัวดีขึ้นจากเมื่อเดือนส.ค. ที่เกิดความปั่นป่วนเนื่องจากวิกฤติสินเชื่อในสหรัฐ แต่ความตึงเครียดที่ยังหลงเหลืออยู่ ภาวะน้ำมันแพง และความยุ่งเหยิงในตลาดที่อยู่อาศัย จะถ่วงการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจี-7 จะพยายามควบคุมความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ขณะที่นายเฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ กล่าวว่า ประเทศต่างๆ เผชิญความท้าทายในขณะเศรษฐกิจทั่วโลกแข็งแกร่งน้อยลง


         


นอกจากนี้ บรรดารัฐมนตรีคลังที่เข้าร่วมประชุมยังเรียกร้องให้ตลาดการเงินทั่วโลกตรวจสอบตัวเอง หลังเกิดปัญหาจากหลักการปล่อยกู้ที่หละหลวม และนายเจมส์ ฟลาเฮอร์ตี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแคนาดา แสดงความหวังว่า ตลาดจะได้รับบทเรียนจากความไร้เสถียรภาพในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่แถลงการณ์ของจี-7 ไม่ได้เอ่ยถึงบทบาทของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ที่ทำหน้าที่ประเมินความเสี่ยงของเครื่องมือทางการเงิน


         


ขณะเดียวกัน จี-7 แสดงความยินดีกับการตัดสินใจของจีนที่จะเพิ่มความยืดหยุ่นแก่ค่าเงินหยวน แต่กล่าวด้วยว่า เมื่อพิจารณาถึงการได้เปรียบดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้อในประเทศเพิ่มขึ้น ก็เห็นว่าจีนจำเป็นต้องปล่อยเงินหยวนแข็งค่าขึ้นอีก


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net