Skip to main content
sharethis





การเมือง


 


รัฐปัดแบน "โฆษณาพปช." ชี้เป็นเรื่องพิจารณาของทีวีแต่ละช่อง


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีพรรคพลังประชาชนร้องเรียนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากโฆษณาหาเสียงถูกงดออกอากาศ ว่า ได้ตรวจสอบเรื่องนี้กับอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ได้ทราบข้อเท็จจริงว่าในปัจจุบันมีคณะกรรมการประจำแต่ละสถานี เรียกว่าคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์แห่งชาติ (กกช.) ที่มีนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ส่วนเธอเป็นรองประธาน


 


โดยได้กระจายอำนาจให้ กกช.แต่ละสถานีเป็นผู้ดำเนินการ สำหรับเรื่องการรณรงค์ออกเสียงเลือกตั้ง และการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการเลือกตั้งนั้น ตามขั้นตอนจะต้องรอให้ กกต.ออกระเบียบมาก่อน หลังมีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดวันเลือกตั้งแล้ว กกต.จะเชิญกรมประชาสัมพันธ์ไปหารือ จากนั้นกกต.จะออกแนวทางเพื่อเป็นหลักปฏิบัติ จากนั้นกรมประชาสัมพันธ์ก็จะออกรายละเอียดเพื่อแจ้งให้แต่ละสถานีรับทราบและถือปฏิบัติต่อไป


 


ส่วนการที่พรรคพลังประชาชน ระบุว่าได้ติดต่อซื้อเวลาจากสถานีโทรทัศน์แล้วนั้น ถือเป็นเรื่องของ กกช.ประจำสถานีนั้นๆ จะพิจารณา ไม่เกี่ยวกับ กกช.ชุดใหญ่ อาจจะเป็นเพราะสถานีนั้นจะกลัวหรือระวังตัวหรือไม่ก็ไม่ทราบ เพราะขณะนี้ยังไม่มีระเบียบอย่างเป็นทางการจาก กกต.


 


ต่อข้อถามว่า เหตุใดพรรคการเมืองอื่น เช่น ประชาธิปัตย์ ชาติไทย จึงสามารถออกอากาศได้ คุณหญิงทิพาวดี กล่าวยืนยันว่าไม่มีการเลือกปฏิบัติแน่นอน การที่พรรคการเมืองอื่นโฆษณาได้นั้น ไม่ใช่ช่อง 11 และทีไอทีวีแน่นอน ดังนั้นต้องไปถามเหตุผลของแต่ละสถานีเอง


 


ด้าน นายชูศักดิ์ ศิรินิล คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า หลังจากที่โฆษณาของพรรคชุดความสุข ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกอากาศ ยังได้รับทราบอีกว่าโฆษณาชุด "30 บาทต่อชีวิต" และโฆษณาชุด "ลูกพ่อ" ซึ่งทั้ง 2 ชุด มีความยาว 30 วินาที ก็ไม่ได้รับอนุญาตเช่นกัน ด้วยเหตุผลเดียวกันคือต้องหารือกับกกต. ดังนั้นพรรคจึงได้ทำหนังสือขออนุญาตส่งภาพยนตร์โฆษณาถึงคณะกรรมการตรวจพิจารณาการโฆษณาทางวิทยุโทรทัศน์ ลงวันที่ 15 ต.ค.นี้ เพื่อชี้แจงว่าโฆษณาดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย การอ้างว่าจะต้องหารือ กกต.ก่อนนั้น จึงน่าจะเป็นความเข้าใจและเป็นมติที่ไม่ถูกต้อง ทั้งที่โฆษณาของพรรคอื่นได้ออกอากาศไปนานแล้ว เห็นว่าเรื่องนี้เป็นการเลือกปฏิบัติไม่ได้รับความเป็นธรรม


 


 นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า ขณะนี้ พ.ร.ฎ.เลือกตั้งยังไม่มีผลบังคับใช้ ก็เปิดโอกาสให้พรรคสามารถดำเนินการได้ โดยในส่วนเนื้อหาทางคณะกรรมการโฆษณาทางวิทยุโทรทัศน์จะเป็นผู้พิจารณา ทาง กกต.คงไม่ห้ามการโฆษณาของพรรคการเมือง แต่เมื่อพ.ร.ฎ เลือกตั้งมีผลบังคับใช้คาดว่าในช่วงปลายเดือนนี้ พรรคการเมืองก็ต้องยุติไม่เช่นนั้นจะเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 60 ของพ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.และส.ว.


 


ขณะที่นายปารเมศร์ รัชไชยบุญ ประธานกิตติมศักดิ์  สมาคมโฆษณาธุรกิจแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขั้นตอนการทำงานของเอเยนซี ที่ผลิตหนังโฆษณาจะต้องส่งเนื้อหาของหนังโฆษณาที่เป็นสตอรี่บอร์ด ให้คณะกรรมการฯ ตรวจสอบเนื้อหาก่อนการผลิตจริง (Pre Censor) เพื่อดูว่าเป็นเนื้อหาที่ขัดกับกฎหมายใดๆ หรือไม่ หากขัดจะต้องมีการปรับแก้เนื้อหา และหลังจากผลิตเป็นหนังโฆษณาแล้วจะต้องส่งให้คณะกรรมการฯ ตรวจสอบอีกครั้ง (Post Censor) จึงอนุญาตให้ออกอากาศทางสถานีทีวีช่องต่างๆ ได้


 


ด้านแหล่งข่าว คณะกรรมการตรวจพิจารณาโฆษณาทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ แจ้งว่า หนังโฆษณาของพรรคพลังประชาชน พบว่าบริษัท ฮาวคัม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด เป็นผู้ผลิต และได้ส่งหนังโฆษณาที่ผลิตเสร็จแล้วมาให้คณะกรรมการฯ ตรวจสอบเมื่อวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยไม่ได้ส่งเนื้อหาที่เป็นสตอรี่บอร์ดมาตรวจสอบในขั้นตอนพรีเซ็นเซอร์ก่อน


 


ทั้งนี้คณะกรรมการฯ เห็นว่าข้อความที่ปรากฏอาจจะมีคำพูดเป็นการโฆษณาเกินจริง หรือการสัญญาว่าจะให้ ซึ่งคณะกรรมการฯ ไม่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกฎหมายการเลือกตั้ง จึงได้แจ้งให้บริษัท ส่งโฆษณาดังกล่าวให้ กกต.ตรวจสอบด้วยว่าขัดกับกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ เพราะคณะกรรมการฯ และสถานีจะต้องรับผิดชอบต่อความผิดพลาดดังกล่าว


 


ในส่วนพรรคประชาธิปัตย์มีปัญหาเช่นเดียวกับพรรคพลังประชาชน ที่เนื้อหาโฆษณาอาจจะเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง คณะกรรมการฯ ได้ดำเนินเช่นเดียวกัน ที่ให้ขอหนังสือยืนยันจาก กกต.ว่า เนื้อหาในโฆษณาไม่ขัดกับกฎหมายเลือกตั้งมายืนยัน ซึ่งกรณีพรรคประชาธิปัตย์ใช้เวลาดำเนินการประมาณ 2 เดือน ส่วนโฆษณาของพรรคชาติไทย คณะกรรมการฯ เห็นว่าไม่มีเนื้อหาที่เข้าข่ายว่าจะผิดกฎหมาย ขั้นตอนการตรวจสอบจึงเร็วกว่าทุกพรรค


 


นายไอยคุปต์ กฤตบุญญาลัย รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาวคัม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ฮาวคัมในฐานะโปรดักชั่นเฮ้าส์ ได้รับการว่าจ้างจากพรรคพลังประชาชน ให้ผลิตหนังโฆษณาเพื่อออกอากาศ แต่พรรคจะเป็นผู้รับผิดชอบในการซื้อสื่อโฆษณาเอง โดยบริษัทได้ส่งหนังโฆษณาให้คณะกรรมการเซ็นเซอร์ตรวจสอบ แต่ได้รับแจ้งกลับมาว่าคำพูดที่ใช้เข้าข่ายเกินจริง ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการแก้ไขหนังโฆษณา ก่อนจะส่งไปให้คณะกรรมการฯ ตรวจสอบอีกครั้ง


 


"เติ้ง" อารมณ์ดีนั่งคู่ "แบม" เปิดแถลงข่าวโต้ย้ายพรรค


ไทยรัฐ - เวลา 08.30 น. วานนี้ (15 ต.ค.) น.ส.จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ โฆษกพรรคชาติไทย ได้เดินทางไปยังสำนักงานส่วนตัว ของนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ย่านบางขุนพรหม เพื่อเข้าพบและพูดคุยทำความเข้าใจ กรณีที่มีข่าวว่าจะย้ายพรรค โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที จากนั้น น.ส.จณิสตา ได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายพรรคชาติไทย ซึ่งมี นายบรรหาร เป็นประธาน ร่วมกับแกนนำพรรคคนอื่นๆ ตามปกติ โดยหารือประมาณ 1 ชั่วโมง


 


ภายหลังการประชุม นายบรรหาร พร้อมด้วย น.ส.จณิสตา แถลงข่าวร่วมกัน โดยนายบรรหาร กล่าวว่า ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับ น.ส.จณิสตา ถึงข่าวการย้ายพรรคยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พรรคมีการประชุมและถ่ายรูป เพื่อนำไปใช้ในการหาเสียง และลงสปอตโฆษณา แต่ น.ส.จณิสตา ยังไม่ได้กลับจากต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นเอกสิทธิ์ และชอบธรรมที่จะทำได้ ข่าวที่ออกไปเป็นคนละเรื่อง เป็นหนังคนม้วน ขาวกลายเป็นดำ


 


"จากการตรวจสอบข่าวที่ออก ก็ไม่ได้มาจากสื่อมวลชนของพรรคชาติไทย แต่มาจากที่อื่น ซึ่งแฝงในคราบของสื่อมวลชน ยืนยันว่า เรื่องต่าง ๆ ไม่เป็นความจริง พรรคชาติไทยให้ น.ส.จณิสตา ลงสมัคร ส.ส.แน่นอน เพราะได้ทำงานมา 2 สมัยแล้ว" นายบรรหาร กล่าว และว่า ข่าวครั้งนี้ทำให้พรรคชาติไทยประหยัดค่าประชาสัมพันธ์ไปมาก


 


ด้าน น.ส.จณิสตา กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้รับความเชื่อมั่น และศรัทธาจากหัวหน้าพรรคเหมือนเดิม และเท่าที่สัมผัสหัวหน้าพรรคมา 6 - 7 ปี ท่านมีความเมตตาไม่ได้เปลี่ยน และดูแลลูกพรรคเป็นอย่างดี ข่าวที่เกิดขึ้นเป็นการเข้าใจผิด และเมื่อพรรคได้พิจารณาให้ลงสมัคร ส.ส.ในเขตดอนเมือง ก็จะเดินหน้าต่อไป และไม่คิดที่จะย้ายพรรคไปไหนแน่


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงข่าวครั้งนี้ นายบรรหาร มีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ โดยก่อนแถลงได้กล่าวว่า "นานๆ จะได้นั่งคู่กับคนสวยสักที" และเมื่อแถลงข่าวจบ ก็พูดว่า "รู้สึกดีใจ และเที่ยงวันนี้คงไม่ได้ทานข้าว ได้นั่งใกล้กับคนสวย และถ้าหากเป็นผู้สมัครผู้ชาย ก็คงขอจับมือไปแล้ว"


 


บิ๊กเหวียง นั่งเก้าอี้หน.พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา


ไทยรัฐ - วานนี้ (15 ต.ค.) ที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ครั้งที่ 1 มีมติเลือก พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร เป็นหัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา คนใหม่ จากการเสนอชื่อเพียงคนเดียว รวมทั้งตั้งกรรมการบริหารพรรคจำนวน 50 คน มีตำแหน่งที่น่าสนใจ คือ ร.ต.ประพาส ลิมปะพันธุ์ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ และนายวิรัช รัตนเศรษฐ เป็นรองหัวหน้าพรรค ขณะที่นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นเลขาธิการพรรค พ.ต.ท.กุลธน ประจวบเหมาะ เป็นรองเลขาธิการพรรค


 


พล.อ.เชษฐา กล่าวว่า จะนำพาพรรคไปตามอุดมการณ์ ทำให้พรรคเป็นสถาบัน และให้ความสำคัญกับปัญหาภาคใต้ ซึ่งยังไกลเกินไปที่จะเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรี หรือแนวร่วมในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ และมั่นใจว่า จะสามารถควบคุมอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่มาจาก 2 กลุ่ม ได้ เพราะมีจุดยืนเดียวกัน คือเพื่อสมานฉันท์ สามัคคี และประโยชน์ของประเทศชาติ


 


ด้านนายเอนก กล่าวว่า พรรคจะเสนอตัว ความเป็นคนเก่ง คนดี ทะเลาะไม่ยุ่ง มุ่งแต่งาน เป็นจุดขายในการหาเสียง  ส่วนนายประดิษฐ์ กล่าวยืนยันว่า นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จะยังให้การสนับสนุนพรรคตามที่กฎหมายเอื้ออำนวยด้วย


 


ประชัยเล็งทาบสพรั่งหลังเกษียณ


โพสต์ทูเดย์ - นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ แกนนำพรรคมัชฌิมาธิปไตย ปฏิเสธกระแสข่าวการทาบทาม พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แกนนำพรรคพลังประชาชนเข้าร่วมงานทางการเมืองกับตน พร้อมระบุในส่วนของพล.อ.สพรั่งนั้น ขณะนี้ยังคงรับราชการอยู่ แต่หากเกษียณราชการ หรือ ลาออกแล้วก็อาจจะมีการพูดคุยกัน แต่ขณะนี้ยังไม่ได้มีการทาบทามแต่อย่างใด


 


ในส่วน ร.ต.อ.เฉลิมนั้น น่าจะเข้าร่วมกับพรรคพลังประชาชนอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้พรรคมัชฌิมาธิปไตย ก็พร้อมและยินดีต้อนรับบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้าร่วมงานการเมือง อย่างไรก็ตาม บ่ายวันนี้จะมีการประชุมกลุ่ม เพื่อขอมติในที่ประชุมในการรับรองชื่อพรรคมัชฌิมาธิปไตย รวมถึงการคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรค


 


คตส.ให้แจ้งจับ "เอม-คนแนะ"


มติชน - เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) นายสัก กอแสงเรือง กรรมการและโฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แถลงภายหลังการประชุม คตส. ชุดใหญ่ ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการติดตามทรัพย์สินของบุคคลที่ คตส.มีคำสั่งอายัดทรัพย์ไว้ มีคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง. และกรรมการ คตส. เป็นประธาน ในการอายัดทรัพย์จำนวน 87 ล้านบาท เพิ่มเติม ซึ่งเงินดังกล่าวเป็นเงินก้อนเดียวกับเงินจำนวน 100 ล้านบาท ที่ คตส.มีคำสั่งอายัดทรัพย์ไว้ในส่วนของบัญชีบริษัท สมพร แอสโซซิเอทส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษากฎหมายของคนในตระกูลชินวัตรที่ คตส.มีคำสั่งอายัดทรัพย์ไว้ก่อนหน้านี้เพราะเป็นเงินที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป หลังพบว่าเงินจำนวนดังกล่าวถูกเคลื่อนย้ายออกไปก่อนที่ คตส.จะมีคำสั่งอายัด


 


"เงิน 87 ล้านบาท ดังกล่าวถูกโยกย้ายเข้าไปอยู่ในบัญชีที่เกี่ยวข้อง 4 บัญชีหลัก แยกเป็น 1.บัญชีคณะบุคคล วิวิธวรแชมเบอร์ กระทำการแทนโดยนางปราณี พงษ์สุวรรณ จำนวน 17 ล้านบาท ของธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาถนนรัชดาภิเษก 2.บัญชีชื่อนายสมพร พงษ์สุวรรณ วงเงิน 20 ล้านบาท ของธนาคารไทยพาณิชย์ สาขามีนบุรี 3.บัญชีชื่อนายสมพร พงษ์สุวรรณ วงเงิน 20 ล้านบาท ของธนาคารกรุงเทพ สาขาราชวัตร 4.บัญชีชื่อนายสมพร พงษ์สุวรรณ วงเงิน 30 ล้านบาท ของธนาคารกสิกรไทย สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์" นายสักกล่าว


 


โฆษก คตส.กล่าวว่า ทั้งนี้คำสั่งอายัดที่ออกในครั้งนี้จะมีผลทำให้ยอดเงินบัญชีรวมถึงดอกเบี้ยไม่สามารถเคลื่อนย้ายต่อไปได้ และให้ทุกสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องจัดส่งรายละเอียดรายงานทางบัญชีและหลักฐานทางการเงินของแต่ละบัญชีให้ คตส.รับทราบด้วย อย่างไรก็ตาม เงินที่เหลือในบัญชีพบว่ามีเพียง 5.23 ล้านบาท จึงยังมีเงินอีกจำนวนหนึ่งที่หายไปที่ต้องติดตามอายัดต่อไป


 


นายสักกล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณาคำร้องเพื่อขอเพิกถอนการอายัดทรัพย์ มีนายอำนวย ธันธรา กรรมการ คตส. เป็นประธาน ที่เสนอขออนุมัติให้เพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์ของมูลนิธิดาวเทียมไทยคม จำนวน 200 ล้านบาท หลังจากการตรวจสอบข้อมูลและเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ปากคำพบว่าการยื่นคำร้องขอดังกล่าวอยู่ภายในกรอบระยะเวลา 60 วัน และการบริจาคเงินดังกล่าวเป็นการดำเนินงานโดยสุจริตตรงตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในการนำเงินบริจาคไปใช้ในกิจการสาธารณประโยชน์ และมูลนิธิไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการกระทำความผิดทางกฎหมาย หรือรับทราบว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยมิชอบ และไม่ใช่ลักษณะการถือทรัพย์สินแทนใคร


 


นายสักกล่าวว่า ส่วนการเพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์ครั้งนี้จะส่งผลทำให้เงินจำนวน 900 ล้านบาท ที่พบว่าคนในครอบครัวชินวัตรนำเงินดังกล่าวซึ่งได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปไปบริจาคให้มูลนิธิก่อนหน้านี้ ไม่ถูกอายัดเช่นกันหรือไม่นั้นยังไม่สามารถระบุได้เพราะยังไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้ ส่วนจะเป็นการเปิดโอกาสทำให้คนในครอบครัวชินวัตรนำเงินจากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปไปบริจาคเพื่อหลบเลี่ยงการอายัดทรัพย์ในอนาคตหรือไม่นั้น ก็ยังไม่ทราบเช่นกัน เพราะการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับมูลนิธิดาวเทียมไทยคมเป็นการตรวจสอบเพียงแค่รายละเอียดของเงินว่ามีการนำไปใช้สาธารณประโยชน์จริงหรือไม่


 


โฆษก คตส.กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการตรวจสอบคดีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป มีนายวิโรจน์ เลาหะพันธุ์ กรรมการ คตส. เป็นประธาน ในการขออำนาจ คตส.แจ้งความดำเนินคดี น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในข้อหาขัดหมายเรียกการให้ถ้อยคำข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปฯ ถือเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 25 (1) มีบทลงโทษตามมาตรา 108 จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ


 


"คตส.ยังเห็นชอบให้แจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการให้คำปรึกษาและคำแนะนำกับ น.ส.พิณทองทาที่ปฏิเสธการให้ปากคำต่อ คตส.ด้วย โดยที่ประชุมมอบหมายให้นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการและเลขานุการ คตส. เป็นผู้ดำเนินการ คาดว่าจะแจ้งความได้ภายในสัปดาห์หน้า" นายสักกล่าว


 


นายสักกล่าวว่า ที่ประชุมยังมีมติให้ยกคำร้องของนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถูกตั้งข้อกล่าวหาคดีการจัดซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิง ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ใช้สิทธิคัดค้านชื่อนายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. เป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีดังกล่าว เนื่องจากคำร้องของนายสมัครมีการอ้างอิงมูลเหตุของการคัดค้านดังกล่าวเพียงสั้นๆ ไม่ได้อธิบายข้อเท็จจริงและข้อมูลประกอบ ถือว่ามีรายละเอียดไม่ครบถ้วนตามข้อกำหนดในระเบียบการไต่สวนของ ป.ป.ช. ข้อ 11 และนายสมัครก็ไม่สามารถทำเรื่องคัดค้านได้อีกแล้วเพราะถือว่าหมดสิทธิคัดค้านไปแล้ว


 


แหล่งข่าวจาก คตส. แจ้งว่า คณะกรรมการ คตส.กำลังพิจารณาว่าบุคคลใดที่เข้าข่ายถูกแจ้งความร่วมกับ น.ส.พิณทองทา โดยจะดูเหตุการณ์วันที่ น.ส.พิณทองทาเดินทางมา คตส.ครั้งล่าสุดที่ปฏิเสธการให้ปากคำ ซึ่งครั้งนั้นมีทีมทนายความของครอบครัวชินวัตร และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อาเขย น.ส.พิณทองทา ร่วมเดินทางไปด้วย


 


ด้านนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ทราบว่าขณะนี้องค์กรสิทธิมนุษยชนของสหรัฐอเมริกา ให้ความสนใจเรื่องที่ คตส.เตรียมแจ้งความ น.ส.พิณทองทาฐานขัดหมายเรียกเป็นอย่างมาก เพราะมองว่าเป็นเรื่องของการรังแกผู้หญิง


 


"เป็นการเอาเด็กผู้หญิงไปนั่งในห้องแล้วมีผู้ใหญ่ปิดล้อม เมื่อไม่ได้ดังใจก็จะมาตามไล่ฟ้องร้อง ซึ่งสหรัฐอเมริกาให้ความสนใจเรื่องนี้มาก และทราบว่าเขาต้องการที่จะมาสอบถามรายละเอียดในเรื่องนี้กับ น.ส.พิณทองทาโดยตรง" นายสมัครกล่าว


 



ศาลรับฟ้อง "ยุทธตู้เย็น" ถล่มบ้านอยุธยา


ไทยโพสต์ - ศาลอยุธยา รับฟ้องคดีถูก "ยุทธ ตู้เย็น" นำกำลังตรวจบุกยิงถล่มบ้าน 2 ตายายตระกูล "ศตะกูรมะ" หวิดม้วย ตั้ง 3 ข้อหาหนัก พยายามฆ่า บุกรุก และเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติมิชอบ ส่วน "จ.ส.อ." หนีมอบตึว ถูกสั่งออกหมายจับทันที


 


ที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ 15 ตุลาคม 2550 เวลา 13.30 น. ศาลออกนั่งบัลลังภ์เพื่อพิจารณาคดีหมายเลขดำที่ 2248/2550 นัดพร้อมคำให้การคดียิงถล่มบ้านตายายตระกูลศตะกูรมะ โดยมีนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมพวกอีก 11 คน ประกอบด้วย ร.ต.อ.มนูญ เศรษฐาจินดา พ.ต.ต.อาสาฬห์ ถมยา ว่าที่ พ.ต.อ.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ พ.ต.ท.โกสินทร์ หินเธาว์ ร.ต.อ.ชัชวาลย์ ทิพย์พิชัย จ.ส.ต.จักรภพ เทพเสนา พ.ต.ท.สมศักดิ์ จันทะพิงค์ พล.ต.ต.ปานศิริ ประภาวัติ (ยศขณะนั้น) พล.ต.ต.วันชัย ถนัดกิจ พล.ต.ท.ปรัชญา สุทธปรีดา และ พ.ต.ท.ปรีชา ชูตินันท์ (ยศในขณะนั้น)เป็นจำเลย


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การฟังคำพิจารณาครั้งนี้มีเพียงนายยงยุทธ และพวกอีก 10 คน มานัดพร้อมสอบคำให้การ ส่วน จ.ส.อ.จักรภพ เทพเสนา จำเลยอีกรายไม่มา ศาลจึงอนุมัติออกหมายจับ โดยฝ่ายโจทก์ คือ นางอุดม ศตะกูรมะ ยื่นฟ้องกลุ่มบุคคลทั้งหมดในข้อหาพยายามฆ่า บุกรุก และเป็นข้าราชการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ


 


ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2547 เวลาก่อนเที่ยงคืน จำเลยทั้ง 12 คนกับพวกอีก 50 คน มีอาวุธปืนครบมือร่วมกันทำลายประตูรั้วบ้านเลขที่ 25/2 ม.4 ต.เชียงรากน้อย อ.บางไทร แล้วใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในบ้านดังกล่าวประมาณ 200 นัด โดยเจตนาฆ่า แต่โจทก์และสามี(นายนิสัย ศตะกูรมะ) หลบอยู่หน้าตู้เย็นขนาด 18 คิว กระสุนปืนจึงไม่ถูกโจทก์และสามี


 


หลังจากนั้นโดยไม่มีเหตุอันควรจำเลยทั้งหมดกับพวกบุกรุกเข้าไปในบ้านอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข แล้วใช้อาวุธปืนจี้บังคับโจทก์และสามีให้นั่งรวมกันแล้วจำเลยทั้งหมดกับพวกร่วมกันค้นหาสิ่งของผิดกฎหมาย โดยวิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทำให้โจทก์และสามีได้รับความเสียหาย


 


ศาลพิเคราะห์พยานและหลักฐานที่โจทก์ยื่นให้ เห็นว่ามีมูลจึงรับฟ้อง จำเลยที่ 1, 2, 3, 4, 6, 7, 11 และ 12 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 90, 91, 288, 289, 309 วรรคสอง, 365, 157 แต่ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 5, 8, 9 และ 10 ประกอบด้วย พ.ต.ท.โกสินทร์ หินเธาว์, พ.ต.ท.สมศักดิ์ จันทะพิงค์, พล.ต.ต.ปานศิริ ประภาวัติ (ยศขณะนั้น) และ พล.ต.ต.วันชัย ถนัดกิจ


 


อย่างไรก็ตาม ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้นัดพร้อมเพื่อบริหารคดี และสอบคำให้การจำเลยที่ 7 ในวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้ เวลา 13.30 น.


 


 






เศรษฐกิจ


 


ยอดผู้ใช้บริการสุวรรณภูมิรอบ 1 ปี สูงเกือบ 42 ล้านคน


ไทยรัฐ - นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าววานนี้ (15 ต.ค.) ถึงจำนวนการใช้บริการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา (ต.ค.49-ก.ย.50) ว่า มีจำนวนผู้โดยสารทั้งสิ้น 41.84 ล้านคน มีการให้บริการการขนถ่ายสินค้ารวม 1.23 ล้านตัน และมีปริมาณเที่ยวบิน 267,480 เที่ยวบิน ซึ่งจำนวนการใช้บริการดังกล่าว ถือว่ามีอัตราการเติบโตน่าพอใจ และเนื่องจากตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ได้มีการย้ายเที่ยวบินภายในประเทศจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิประมาณร้อยละ 40 กลับไปใช้บริการที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อนำจำนวนผู้โดยสารภายในประเทศที่ท่าอากาศยานดอนเมืองมารวมแล้ว มีจำนวนผู้โดยสารภายในประเทศทั้งสิ้น 12,408,699 คน เพิ่มขึ้น 1,245,383 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 11.16 โดยมีจำนวนเที่ยวบินทั้งสิ้น 114,358 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 16,810 เที่ยวบิน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.23


 


สำหรับผู้โดยสารภายในประเทศที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีจำนวนทั้งสิ้น 9.230 ล้านคน ลดลงจากการให้บริการที่ท่าอากาศยานดอนเมืองในปีที่แล้ว 2.02 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 18.02 และเที่ยวบินภายในประเทศ มีจำนวนทั้งสิ้น 76,202 เที่ยวบิน ลดลงจากปีที่แล้ว จำนวน 22,345 เที่ยวบิน หรือคิดเป็นร้อยละ 22.67


 


นายเสรีรัตน์ กล่าวว่า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีศักยภาพรองรับผู้โดยสารในระยะแรก 45 ล้านคน คาดว่าในปีหน้าจำนวนผู้โดยสารน่าจะขยายตัวสูงขึ้นจนเต็มขีดความสามารถในการรองรับของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดังนั้น ทอท.จึงได้ทบทวนแผนแม่บทและแผนพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยขณะนี้ ทอท.ได้ว่าจ้าง องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เป็นผู้ศึกษา โดยคาดว่าน่าจะสรุปผลได้ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งผลที่ได้ ทอท.จะได้นำเสนอให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาต่อไป


 


น้ำมันจ่อขึ้นราคาในสัปดาห์นี้


โพสต์ทูเดย์ - นายศัลยา สุคนธทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายราคา-การตลาดขายปลีกบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ราคาน้ำมันตลาดโลกใน 2 สัปดห์ที่ผ่านมา ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาน้ำมันดดิบเวสต์เท็กซัส สหรัฐ ปรับขึ้น 2.30 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล มาอยู่ที่ 83.40 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ปรับขึ้น โดยเบนซินปรับขึ้น 2.30 ดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 87.62 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ดีเซลขยับขึ้นอีก 1.15 ดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 93.03 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าการตลาดเบนซิน-ดีเซล อยู่ในระดับที่ต่ำมาก ทำใหผู้ค้าประสบภาวะขาดทุน โดยหากราคาน้ำมันสำเร็จรูปยังคงสูงอยู่ในระดับนี้ บริษัทอาจต้องพิจารณาปรับราคาขยายปลีกในประเทศเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก


 


ด้าน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบสหรัฐที่ปรับขึ้นมาในวันศุกร์ เกิดจากข่าวกลุ่มกบฏผู้ก่อการร้าย Kirdistan Wokers Party (PKK) ของประเทศตุรกี ประกาศจะเคลื่อนกำลังจากทางตอนเหนือของอิรัก กลับเข้าสู่ตุรกี โดยมีเป้าหมายการจู่โจมอยู่ที่กลุ่มการเมือง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากที่รัฐบาลตุรกีกำลังพิจารณาการใช้กำลังเข้าทำลายกลุ่มกบฏดังกล่าว และตลาดยังคงกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันที่อาจจะตึงตัวในช่วงฤดูหนาว โดยปริมาณสำรองน้ำมันดิบสหรัฐ ยังคงลดลงต่อเนื่อง และอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2550 และนักวิเคราะห์คาดการณ์ปริมาณสำรองทางการค้าของกลุ่มประเทศ OECD ในไตรมาส 3 ปรับตัวลดลง 410,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าปีก่อนประมาณ ร้อยละ 6.


 


ITVรับเตรียมโละหุ้น


โพสต์ทูเดย์ - วานนี้ (15 ต.ค.) นายสมคิด หวังเชิดชูวงษ์ ประธานกรรมการ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่าตามที่เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ว่า บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด จะขายหุ้นไอทีวี ให้กับมูลนิธิโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติผ่านดาวเทียม บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสมที่จะขายหุ้น ITV


 


อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน เรื่องรายชื่อผู้ที่บริษัทฯ จะขายหุ้นดังกล่าวให้ ตลอดจนข้อสรุปเรื่องมูลค่าที่ซื้อ-ขาย ในกรณีที่มีความคืบหน้าประการใด บริษัทฯ จะแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทราบต่อไป


 


 







สิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต


 


อธิบดีอุทยานฯหารือ ปิดพื้นที่ท่องเที่ยว'เสี่ยง'


ไทยรัฐ/กรุงเทพธุรกิจ - นายเฉลิมศักดิ์ วานิชสมบัติ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวเมื่อวานนี้ (15 ต.ค.) ในรายการ "ข่าวเช้าโมเดิร์นไนน์" ถึงการพิจารณาปิดสถานที่ท่องเที่ยวที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ หลังเกิดเหตุการณ์น้ำป่าถล่มเข้าถ้ำทะลุ อุทยานแห่งชาติเขาสก จ.สุราษฎร์ธานี ทำให้มีผู้เสียชีวิต ว่า นายสุวิทย์ ยอดมณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายบัญญัติ จันทน์เสนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กำชับว่า ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีก หากมีความจำเป็น ก็ต้องหารือกันว่า ควรสั่งปิดพื้นที่ที่มีความเสี่ยงหรือไม่ หรือควรเฝ้าระวังให้เข้มงวดมากขึ้น พร้อมขึ้นทะเบียนนักท่องเที่ยว เพื่อให้ติดตามตัวได้


 


"ได้มอบหมายหัวหน้าอุทยานฯ แต่ละแห่ง พิจารณาและติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด ถ้าคิดว่าไม่ปลอดภัยก็ขอให้ปิด ก่อนหน้านี้ได้สั่งการไปแล้ว ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หากปิดพื้นที่ท่องเที่ยวถาวร ยังไม่มั่นใจว่ามีผลกระทบต่อผู้ประกอบการท่องเที่ยวและมัคคุเทศก์มากน้อยเพียงใด ถ้าปิดจริง ก็มีความห่วงใยในส่วนนี้ ถ้าจะตัดสินใจอย่างไร คงต้องมีการพูดคุยกันก่อน ประกอบกับสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่ง ถ้าไม่มีน้ำ ก็เที่ยวไม่สนุก เช่น การล่องแก่ง ดังนั้น ต้องดูความเหมาะสม" อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าว


 


ขณะที่นายปรีชา จันทร์ศิริตานนท์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า เนื่องจากในช่วงเดือนพ.ค.-พ.ย. ของทุกปีเป็นช่วงฤดูฝน ทำให้การเดินทางเข้าไปในแหล่งท่องเที่ยวของพื้นที่อุทยานแห่งชาติไม่สะดวก และอาจไม่ปลอดภัยต่อนักท่องเที่ยวได้ โดยกรมอุทยานฯ จะมีประกาศปิดการท่องเที่ยว และพักแรมในแหล่งท่องเที่ยวบางพื้นที่เป็นประจำทุกปีแล้ว ซึ่งปี 2550 มีประกาศปิดการท่องเที่ยวรวม 29 อุทยาน โดย ในจำนวนนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวประเภท น้ำตก และแหล่งท่องเที่ยวประเภทถ้ำที่ค่อนข้างมีความเสี่ยงจากน้ำป่าไหลหลาก ดินถล่ม ประมาณ 202 แห่ง


 


รองอธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวด้วยว่า เหตุการณ์ที่มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตในแหล่งท่องเที่ยว ส่วนใหญ่เกิดจากการฝ่าฝืนของนักท่องเที่ยว รวมทั้งบริษัททัวร์ที่มักจะนำลูกทัวร์ฝ่าฝืนเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่ได้เปิด และบางแห่งก็ประกาศปิดในช่วงหน้าฝน โดยเมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ก็มีบริษัททัวร์พา นักท่องเที่ยวมาดำน้ำดูปะการังที่เกาะพีพี และประสบอุบัติเหตุ มีคนเสียชีวิต และอีกรายถูกใบจักรเรือตัดแขนขาดจึงแจ้งขอความช่วยเหลือมาที่อุทยานแห่งชาติเกาะพีพี ที่ต้องประสานขอความช่วยเหลือจากกองทัพเรือออกไปกู้ภัยทันทีทั้งที่ทะเลกำลังมีมรสุม และกรณีที่น้ำตกถ้ำน้ำลอดก็เช่น มาจากการฝ่าฝืน แต่ข่าวที่ออกมาเหมือนกับว่าเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ที่ไม่ดูแลนักท่องเที่ยว ซึ่งเรื่องนี้ถ้าจะใช้มาตรการเข้มงวดอุทยานฯ ก็กลัวจะกระทบบรรยากาศการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการปรับตามกฎหมายที่มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท


 


"ยืนยันว่าที่ผ่านมามีการประกาศปิดการท่องเที่ยวอย่างถาวรในช่วงหน้าฝนเป็นประจำทุกปีส่วนบางพื้นที่จะพิจารณาตามความเหมาะสม เช่น ตามประกาศเตือนของกรมอุตุนิยมกรมทรัพยากรธรณีอยู่แล้ว รวมทั้งขณะนี้ในแหล่งท่องเที่ยวประเภทน้ำตกก็มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลตลอดเวลาแล้ว ยังมีการจัดเตรียมอุปกรณ์กู้ชีพ เช่น ห่วงยาง เสื้อชูชีพ เปลสนาม เชือกเอาไว้แล้ว เช่น น้ำตกสายรุ้ง จ.ตรัง น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ที่อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ เป็นต้น ดังนั้น จึงอยากให้นักท่องเที่ยวปฏิบัติ ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัดจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก" นายปรีชา กล่าว


 


ศาลปกครองกลางยังไม่มีคำสั่งระงับขึ้นค่ารถโดยสาร


ไอ.เอ็น.เอ็น - วานนี้ (15 ต.ค.) ศาลปกครองกลางได้เปิดการไต่สวนฉุกเฉิน การยับยั้งการขึ้นค่าโดยสาร เครื่อข่ายการคัดค้านการขึ้นค่าโดยสารสาธารณะ ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมซึ่งการไต่สวนฉุกเฉินวานนี้นั้น ศาลยังไม่มีคำสั่งยับยั้งการขึ้นค่าโดยสาร ของรถร่วมบริการ โดยศาลแจ้งว่าจะเร่งพิจารณาโดยเร็ว ทั้งนี้ในระหว่างการไต่สวน นายรณยุทธ์ ตั้งรวมทรัพย์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ฝ่ายวิชาการ ผู้รับมอบอำนาจจากผู้ฟ้องคดี ได้แจ้งต่อศาลถึงต้นทุนเชื้อเพลิงที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จนทำให้ผู้ประกอบการแบกรับภาระไม่ได้ จนต้องปรับเพิ่มราคาค่าโดยสาร ในระดับราคาที่เป็นจริงต่อต้นทุนการดำเนินการ


 


ขณะที่ นายบุญชัย รุ่งเรืองไพศาลสุข ประธานเครื่อข่ายคัดค้านการขึ้นค่าโดยสารรถโดยสารสาธารณะ ผู้ฟ้องคดีได้มีการชี้แจ้งข้อมูลต่อศาล โดยมีพยานเป็นซีดี จากผู้ปฏิบัติงานจริงทั้งในส่วนของผู้ขับรถโดยสาร และพนักงานเก็บค่าโดยสาร ที่มีการเปิดเผยสข้อมูลในส่วนของรายได้ และค่าเชื้อเพลิงที่ใช้ในการเดินรถซึ่งจากข้อมูลได้พบว่ามีการขาดทุนจากราคาน้ำมัน


 


พาณิชย์สอบต้นทุนสินค้า 13 ชนิด


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า อยู่ระหว่างพิจารณาผลกระทบต้นทุนสินค้าอุปโภคบริโภค จากการที่ผู้ประกอบการแจ้งขอปรับราคามาในช่วงปลายปี 2549 จำนวน 13 รายการสินค้า จากผู้ประกอบการ 30 ราย ประกอบด้วย ยางรถยนต์ มีผู้ประกอบการขอปรับราคา 2 ราย แบตเตอรี่ 2 ราย ปุ๋ยเคมี 2 ราย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 1 ราย ปลากระป๋อง 3 ราย ยารักษาโรค 3 ราย น้ำมันพืช 1 ราย ผงซักฟอก 1 ราย ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืช 1 ราย ผลิตภัณฑ์ล้างจาน 1 ราย น้ำอัดลม 1 ราย ผลิตภัณฑ์นม ได้แก่ นมผง นมแปลงไขมัน นมเปรี้ยว 5 ราย และรถยนต์นั่ง รถจักรยานยนต์ รถบรรทุกเล็ก 1 ราย โดยทั้ง 13 รายการ เป็นสินค้าอยู่ระหว่างการพิจารณาต้นทุน และตรวจสอบย้อนหลังยังไม่มีการอนุมัติให้ขึ้นราคาสินค้า ดังนั้น สินค้าทั้ง 13 รายการ ยังขึ้นราคาสินค้าไม่ได้



ทั้งนี้ ยอมรับว่าต้นทุนสินค้าบางรายการอาจขยับขึ้นไปบ้าง แต่โดยรวมเห็นว่ากระทบต่อต้นทุนเล็กน้อย ผู้ประกอบการยังแบกรับภาระต้นทุนต่อได้ ดังนั้น การเชิญผู้ผลิตสินค้า 220 รายการ รวมทั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประชุมร่วมกันวันที่ 17 ต.ค.นี้ เป็นการเน้นให้ผู้ประกอบการตระหนักวิธีการปรับตัวบริหาร และจัดการทางธุรกิจในช่วงที่ต้นทุนสูงอย่างไร ทดแทนการปรับราคา


 


การปรับราคาไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง อาจทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อนกระทบต่อค่าครองชีพ ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายใช้สอยลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจได้ เชื่อว่าผู้ประกอบการทุกรายน่าจะเข้าใจปัญหาเหล่านี้ดี โดยกรมการค้าภายในไม่ปิดกั้น หากเห็นว่าได้รับผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต แต่เท่าที่ได้วิเคราะห์ต้นทุนยังเห็นว่า ทั้ง 13 รายการสินค้า ยังอยู่ในภาวะที่รับต้นทุนได้



นอกจากนี้ แม้ว่ารถร่วมบริการของขสมก.และบขส.จะปรับราคาค่ารถโดยสารขึ้น มีผลตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. กระทบต่อผู้ใช้บริการมาก ได้มีการวิเคราะห์การปรับอัตราค่าโดยสารขึ้น โดยรถร้อนปรับเพิ่มอีก 50 สตางค์ รถปรับอากาศขึ้นอีก 1 บาท ตามระยะทาง ส่วนรถ บขส. ปรับอีก 3 สตางค์ต่อกิโลเมตรนั้น ซึ่งกระทบต่อเงินเฟ้อทันทีประมาณ 0.23%


 


เป็นรถเมล์ร่วมบริการ 0.15% รถมินิบัส 0.22% บขส.ทั้งชั้น 1 และ 2 กระทบ 0.3-0.5% ซึ่งผลกระทบดังกล่าวน่าจะทำให้เงินเฟ้อในเดือนนี้ ปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 2.2% แต่ไม่สูงมากนัก หากเทียบในช่วงที่ผ่านมา ส่วนเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีคาดยังคงอยู่ที่ 2.5%


 


ยำยำจัมโบ้ขอปรับราคาซองละบาท - แต่มาม่ากลับลำตรึงราคารอเจรจาพาณิชย์


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้ มีผู้ผลิตสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพียงรายเดียว ที่ได้ยื่นขอปรับราคาสินค้าเพิ่มเข้ามา ในส่วนของผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มาม่า ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด ยังไม่ยื่นหนังสือขอปรับขึ้นราคาอย่างเป็นทางการ เร็วๆ นี้ จะหารือกับผู้บริหารของมาม่า เพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในวงกว้าง หากมีการปรับราคาสินค้าขึ้น มั่นใจว่าทั้งสองฝ่ายจะมีข้อสรุปร่วมกันได้


 


รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้ กลุ่มบะหมี่สำเร็จรูป เช่น ยำยำจัมโบ้ ได้ทำเรื่องขออนุมัติปรับราคาสินค้าโดยขอปรับเพิ่มราคาอีกซองละ 1 บาทกับกรมการค้าภายใน สำหรับส่วนแบ่งตลาดสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ได้แก่ มาม่า 52% ไวไว 25% ยำยำ 21% เมื่อรวมกัน 3 ราย จะทำให้มีส่วนแบ่งตลาดสูงเกิน 90% หากปรับราคาพร้อมกันทำให้ประชาชนไม่มีทางเลือก จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และให้เกิดผลกระทบต่อภาคประชาชนน้อยที่สุด


 


นายยรรยง กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ทางสมาคมยาได้ทำหนังสือถึงกรมการค้าภายใน ให้พิจารณาถึงต้นทุนยาในบัญชียาหลัก ที่มีการนำเข้าวัตถุดิบมาผลิตยาในบัญชียาหลักสูงขึ้น ซึ่งเพดานราคาค่ายากลางในการประมูลตามโรงพยาบาลกลางของรัฐ เป็นอัตราราคากลางที่ต่ำเกินไป จึงอยากให้กรมการค้าภายในช่วยพิจารณาอัตราราคาค่ายากลางในบัญชียาหลัก ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้าน และใช้กันเป็นประจำด้วย ตามหลักการประกาศราคาค่ายากลางจะอยู่ในการดูแลของกระทรวงสาธารณสุข ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางกรมการค้าภายใน จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์ต้นทุนหารือกับสมาคมยาเพื่อพิจารณาต้นทุนที่แท้จริง ก่อนนำผลเสนอกระทรวงสาธารณสุข


 


นายยรรยง กล่าวว่า เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบต่อผู้บริโภค ที่อาจจะได้รับผลกระทบทางอ้อม กรมการค้าภายในเตรียมจัดโครงการธงฟ้าราคาประหยัดขึ้น โดยในระหว่างวันที่ 30 ต.ค.-2 พ.ย.นี้ ที่บริเวณท้องสนามหลวง และระหว่างวันที่ 28 พ.ย.-2 ธ.ค.นี้ ที่จังหวัดอุดรธานี โดยกรมการค้าภายในจะร่วมกับผู้ประกอบการ และกลุ่มสินค้าโอท็อปนำสินค้าต่อการดำรงชีพมาลดราคาต่ำกว่าท้องตลาด ตั้งแต่ 20-40% เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค



รายงานข่าวจากการประชุมคณะกรรมการบริหาร บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) วานนี้ (15 ต.ค.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติให้คงราคาผลิตภัณฑ์ "มาม่า" ชนิดซองราคา 5 บาทต่อไปอีกระยะ หลังเคยประกาศจะปรับราคาเพิ่มขึ้นซองละ 1 บาทเป็น 6 บาทหรือเพิ่มขึ้น 20% เพื่อรอผลการหารือเรื่องต้นทุนกับกระทรวงพาณิชย์ ในวันที่ 17 ต.ค.ก่อน อย่างไรก็ตาม ยังยืนยันว่าต้นทุนวัตถุดิบได้ปรับเพิ่มขึ้นมาก และการขอปรับขึ้นราคาเป็นไปตามภาวะต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ไม่ได้หวังผลกำไร ซึ่งจะชี้แจงรายละเอียดอีกครั้งเร็วๆ นี้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net