Skip to main content
sharethis

นายไชยา ยิ้มวิไล โฆษกรัฐบาล พร้อมด้วยนายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาล ได้ร่วมกันแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี มีสาระสำคัญดังนี้


 


ครม.อนุมัติแยกบัญชีเงินเดือนทหารเป็นอิสระ


นายโชติชัย สุวรรณภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (9 ต.ค.) ว่า ที่ประชุม ครม.ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ที่กระทรวงกลาโหม เสนอ จำนวน 5 ฉบับ และเห็นชอบจำนวน 4 ฉบับ


 


กฎหมายทั้ง 4 ฉบับที่ครม.เห็นชอบ ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง ร่าง พ.ร.บ.เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการทหาร ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการทหาร และร่าง พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ ส่งคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาก่อนที่จะส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป มีสาระสำคัญ คือจะแยกบัญชีเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และเงินเพิ่มอื่นๆ ของข้าราชการทหารไว้เป็นการเฉพาะ ไม่ขึ้นตรงต่อคณะกรรมการเงินเดือนแห่งชาติอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้การจัดทำบัญชีเงินเดือนทหาร และการกำหนดโครงสร้างเงินเดือนมีความเป็นอิสระ เหมือนอย่างเช่นข้าราชการครู หรือข้าราชการตุลาการ


 



พร้อมกันนี้ยังต้องการที่จะปรับยุบรวมแท่งเงินเดือนในกลุ่มชั้นยศต่างๆ เพื่อเปิดเพดานให้กำลังพลระดับล่างของแต่ละกลุ่มที่มีเงินเดือนเต็มขั้น ได้มีโอกาสเลื่อนไหลได้อีก เนื่องจากต้องการปรับเงินเดือนทหารกองประจำการที่ผ่านการฝึกแล้วให้เท่าหรือใกล้เคียงกับค่าจ้างขั้นต่ำ และใช้เป็นจุดอ้างอิงในการปรับในแต่ละระดับชั้นของแท่งเงินเดือน ทั้งนี้ยังได้กำหนดให้ข้าราชการทหาร ทหารกองประจำการ และนักเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการทหารได้รับเงินเดือนตามชั้นยศในระดับตามที่กำหนด และกำหนดให้มีเงินประจำตำแหน่งวิชาชีพเฉพาะ หรือเชี่ยวชาญเฉพาะตำแหน่งด้วย



ร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 4 ฉบับดังกล่าว เป็นการปรับปรุงกฎหมายสิทธิประโยชน์ของข้าราชการทหาร พลทหารประจำการ ทหารกองประจำการ และครอบครัว ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงระบบค่าตอบแทนภาครัฐ และทำให้ข้าราชการทหารมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีหลักประกัน มีรายได้ ไม่เป็นภาระกับสังคม


 


 


ค้านแยกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการทหารออกจาก กบข.


ในกรณีร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กฎหมายฉบับที่ 5 ซึ่งเป็นฉบับที่ไม่ผ่านการเห็นชอบนั้น โดยคณะรัฐมนตรีมีมติไม่ให้แยกไปจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการทหาร ออกจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือ กบข. โดยเห็นว่าไม่มีความจำเป็น


 


เพราะหากแยกไปแล้ว จะทำให้การบริหารจัดการยากขึ้น และมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดการที่สูง อาจจะทำให้ข้าราชการได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนน้อยกว่าที่เป็นอยู่ อย่างไรก็ตาม หากการขอจัดตั้งกองทุนมีสาเหตุมาจากสูตรคำนวณบำนาญไม่เหมาะสม กระทรวงกลาโหมสามารถขอแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการได้ ซึ่งกระทรวงกลาโหมก็ไม่ขัดข้อง และจะไปพิจารณาแก้ไขมาตรา 63 ของร่าง พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ



"ดังนั้น ครม. จึงมีมติให้กระทรวงการคลัง ไปพิจารณาในภาพรวม และแก้ไข ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่จะให้มีระบบค่าตอบแทนพิเศษ สวัสดิการ ให้สอดคล้องกับสิทธิประโยชน์ของข้าราชการทหารที่ดีขึ้น" นายโชติชัย กล่าว


 


 


ครม.อนุมัติ1,930 ล้านช่วยโครงการจำนำข้าว


นายโชติชัย แถลงว่า เรื่องโครงการจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2548/2549 และโครงการจำนำข้าวเปลือกนาปี ปี 2547/2548 และ 2548/2549 ในวันนี้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้อนุมัติเงินช่วยเหลือให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และ อคส.เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ในโครงการดังกล่าว ในวงเงินรวม 1,930 ล้านบาท อันนี้สืบเนื่องมาจากการที่ทางโครงการในการรับจำนำข้าวในปีก่อนหน้านี้มีภาระที่เกิดขึ้นทำให้มีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นจะต้องใช้จ่ายในเรื่องของการจ่ายเงินให้กับโรงสีหรือคลังสินค้าต่างๆ และเพื่อเป็นการที่จะทำให้โครงการในปีถัดๆ ไป ในปีนี้และปีหน้าเรื่องของการรับจำนำข้าว สมมุติ จำเป็นที่ต้องให้การสนับสนุนรัฐบาลในส่วนนี้ซึ่งรายละเอียดมีเอกสารแจกต่อไป


 


 


นายไชยา กล่าวเสริมว่า ขณะเดียวกัน นายกฯ ก็ให้มีการศึกษามีการพิจารณาเพิ่มเติมในเรื่องของการที่จะทำให้ครบวงจร กล่าวคือในเรื่องของวิถีชีวิตของพี่น้องเกษตรกรชาวไร่ชาวนา ผู้ประกอบการต่างๆ ที่จะมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อที่จะไปดูในเรื่องของข้าวนาปรังกับนาปีที่อยากให้มีการศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องของวิถีชีวิตที่ครบวงจรและผู้ประกอบการ พี่น้องเกษตรกรด้วย


 


 


ครม.เห็นชอบปรับอัตราค่าตอบแทนอสม.ทหารพราน


นายโชติชัย แถลงว่า ครม.มีมติเห็นชอบการปรับอัตราค่าตอบแทนและเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวอาสาสมัครทหารพราน โดยประมาณความต้องการเพื่อการนี้จำนวน 1,292 ล้านบาท โดยที่งบประมาณที่เพิ่มเติมที่วันนี้ ครม.อนุมัติคือจำนวนเงิน 49.5 ล้านบาท เพื่อที่จะช่วยให้กับกองทัพบกและกองทัพเรือในการปรับอัตราเงินตอบแทนและการเพิ่มค่าครองชีพแก่อาสาสมัครทหารพราน ซึ่งอันนี้ก็จะเป็นไปตามการปรับค่าตอบแทนที่ ครม.เคยมีมติเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ให้ปรับอัตราค่าตอบแทนภาคราชการไปแล้วร้อยละ 4 สำหรับข้าราชการโดยทั่วไป


 


 


อนุมัติบ.ผาแดง ใช้ป่าไม้พื้นที่อ.แม่สอด


นายโชติชัย แถลงว่า ครม.มีมติอนุมัติข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรมในเรื่องของการอนุมัติให้บริษัทผาแดงอินดัสตรีใช้พื้นที่ป่าไม้ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เพื่อทำเหมืองแร่ ท้องที่ อ.แม่สอด จ.ตาก โดยที่ ครม.มีมติให้รับสังเกตของกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กระทรวงสาธารณสุข ในประเด็นเรื่องของการให้คืนสิทธิประโยชน์ให้กับประชาชนผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการทำเหมืองแร่ และในประเด็นเรื่องของการดูแลประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากโลหะที่อาจจะมีการปล่อยออกมา นั่นคือโลหะแคดเมียม ซึ่งได้มีมติให้มีการเฝ้าระวังภาวะสุขภาพอนามัยของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ ให้มีการสื่อสารทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงให้กับชุมชน ให้ตรวจและรักษาพยาบาลผู้ป่วย และวัดระดับแคดเมียมอยู่ตลอดเวลา ประการต่อไป ให้จัดทำระบบฐานข้อมูลความเสี่ยงต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน และประการสุดท้าย ให้มีการสร้างกระบวนการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมของชุมชนและการเฝ้าระวังความเสี่ยงที่อาจจะกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน อันเกิดจากการทำเหมืองแร่ในโครงการนี้


 


 


อนุมัติ 1.5 พันล้าน ตั้งคปภ.


คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติทุนประเดิมจำนวน 1,500 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่าย ในการจัดตั้ง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) พ.ศ.2550 ขึ้นเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการและไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ เป็นนิติบุคคล มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับ ส่งเสริม และพัฒนา การประกอบธุรกิจประกันภัย โดยจะได้รับเงินงบประมาณประจำปี 2551 ตาม พ.ร.บ.งบประมาณปี 2551 ในส่วนหมวดเงินเดือน ค่าจ้างประจำ และเงินต่าง ๆ ที่จ่ายควบกับเงินเดือนสำหรับข้าราชการและลูกจ้างที่ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานของสำนักงาน คปภ.



คณะรัฐมนตรี ยังเห็นชอบให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน คปภ. ประกอบด้วย ด้านกฎหมาย นายสมัคร เชาวภานันท์ ด้านบัญชี นางเกษรี ณรงค์เดช ด้านบริหารธุรกิจ นายดุสิต นนทะนาคร ด้านการเงิน นายโกวิทย์ โปษยานนท์ ด้านเศรษฐศาสตร์ นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ด้านการประกันภัย นายชูเกียรติ ประมูลผล และนายการุณ กิตติสถาพร



ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลงนามในหนังสือกระทรวงการคลังเลขที่ กค 0100/18634 เสนอต่อเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อขอทุนประเดิมให้แก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) พ.ศ.2550 ในวงเงินจำนวน 1,500 ล้านบาท โดยอ้างเหตุผลและความจำเป็นใน2 ประการกล่าวคือ



ประการแรก สำนักงาน คปภ. เป็นหน่วยงานรับโอนอำนาจ หน้าที่ ทรัพย์สิน หนี้สินและบุคลากร จากกรมการประกันภัย กระทรวงพาณิชย์ โดยจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านการกำกับดูแล พัฒนาส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และในด้านการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยและประชาชน รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ ความชำนาญการให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ในรูปแบบองค์กรใหม่ และแนวทางกำกับตามมาตรฐานสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายลงทุนในการจัดซื้ออาคารที่ทำการใหม่ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน อีกทั้งงบสำรองกรณีฉุกเฉินที่เพียงพอ เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้



ประการที่สอง พระราชบัญญัติคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย พ.ศ. 2550 กำหนดให้บริษัทประกันภัยนำส่งเงินสมทบให้แก่สำนักงาน คปภ. ทุกรอบสามเดือน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของคณะกรรมการและสำนักงาน คปภ. ซึ่งด้วยเหตุผลด้านรอบปีบัญชี และการเตรียมความพร้อมของบริษัทประกันภัย สมควรที่จะกำหนดให้บริษัทประกันภัยเริ่มส่งเงินสมทบงวดแรกในเดือนเมษายน 2551 ซึ่งจะมีผลให้สำนักงาน คปภ. ไม่มีเงินทุนสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในระยะแรก โดยจะได้รับเงินงบประมาณประจำปี 2551 ตามพระราชบัญญัติงบประมาณ พ.ศ. 2551 ในส่วนหมวดเงินเดือน ค่าจ้างประจำ และเงินต่างๆ ที่จ่ายควบกับเงินเดือนสำหรับข้าราชการและลูกจ้างที่ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานของสำนักงาน คปภ.


 


 


ครม.อนุมัติส่งทหารรักษาสันติภาพในแอฟริกาและสหประชาชาติในดาร์ฟูร์


นายโชติชัย แถลงว่า ครม.อนุมัติให้ส่งทหารไทย จำนวน 1 กองพันทหารราบผสม เข้าร่วมภารกิจหลัก รักษาสันติภาพผสมระหว่างสหภาพแอฟริกาและสหประชาชาติในดาร์ฟูร์ รวมทั้งการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และบุคลากรด้านอื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคต เมื่อมีคำขอจากสหประชาชาติ ในเรื่องเดียวกัน รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงการจัดกำลังที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติภารกิจการสับเปลี่ยนกำลังตามกรอบ จนกว่าจะสิ้นสุดภารกิจตลอดห้วงที่สหประชาชาติยังคงขอร้องการสนับสนุนจากไทย 2. อนุมัติให้เจ้าหน้าที่เข้าร่วมภารกิจรักษาสันติภาพผสมระหว่างสหภาพแอฟริกาและสหประชาชาติ ในดาร์ฟูร์ ให้ได้รับสิทธิ์ในการนับเวลาราชการเป็นทวีคูณ ตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญ 2494 รวมทั้งสิทธิ์ในการพิจารณาบำเหน็จพิเศษในเวลาฉุกเฉิน ตามข้อบังคับของกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการพิจารณาบำเหน็จพิเศษในเวลาฉุกเฉิน 2549 และให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ถือเป็นการปฏิบัติราชการพิเศษตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด โดยให้ครอบคลุมถึงเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมที่เข้าไปยังพื้นที่ปฏิบัติการ และอนุมัติหลักการสนับสนุนเงินทดรองราชการ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ในกรอบวงเงินประมาณ 250 ล้านต่อวงรอบ 6 เดือน


 


 


ครม.อนุมัติร่าง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์


นายโชติชัย แถลงว่า เรื่องการแก้ไขกฎหมายกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ ซึ่งสืบเนื่องมาจากเมื่อปี 2540 ที่เรามีความพยายามที่จะออกกฎหมายตัวนี้เพื่อช่วยในเรื่องของการออกหุ้นกู้ ในเรื่องของการทำธุรกรรม แปลงสินทรัพย์ให้เป็นหลักทรัพย์ เพื่อช่วยในการระดมทุนให้กับบริษัท ให้กับสถาบันการเงิน โดยใช้กระบวนการในกองทุนและแปลงสินทรัพย์ที่หนุนหลังให้เป็นหลักทรัพย์เพื่อออกขายระดมทุนกับประชาชน แต่สืบเนื่องจากกฎหมายที่ออกไปแล้วเมื่อปี 2540 มีความบกพร่องบางประการ มีความไม่ชัดเจนบางประการ จำเป็นที่จะต้องแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป จึงได้มีการแก้ไขปัญหาในเรื่องของการตีความหรืออุปสรรคต่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ ประการที่ยังไม่ได้รองรับการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ในบางลักษณะอย่างครบถ้วน อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ธุรกรรมการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ที่ผ่านมาไม่ค่อยเกิดขึ้น ถึงแม้เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีประสิทธิภาพ จึงอนุมัติ พ.ร.ก.ตัวนี้ โดยการแก้ไขเพิ่มเติมนิยามที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ชัดเจน ครอบคลุมการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ในรูปแบบต่างๆ และรองรับการโอนในลักษณะอื่นด้วย เช่น ในเรื่องของการเพิ่มการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ ในลักษณะที่ใช้สินทรัพย์เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน จากนิติบุคคลเฉพาะกิจ จากเดิมที่รองรับเฉพาะการโอนขาดเท่านั้น


 


2. เพิ่มประเภทสินทรัพย์ที่จะแปลงหลักทรัพย์ โดยให้เป็นไปได้ทั้งสิทธิ เรียกร้องที่จะมีในอนาคต และสิทธิเรียกร้องที่เป็นคดีความอยู่ในศาล อย่างเช่นโครงการศูนย์ราชการที่แจ้งวัฒนะ ก็จะสามารถใช้วิธีการนี้ได้ คือใช้ตัวสิทธิเรียกร้องขอรายได้ในอนาคตมาเป็นหลักประกันหนุนหลังในการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทร้พย์ได้ 3. คือเพิ่มรูปแบบการจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ โดยให้สามารถจัดตั้งในรูปแบบ tough ได้ และจัดตั้งแบบหลายชั้นได้ ประเด็นที่สองที่สำคัญ คือแก้ไขบทบัญญัติที่ว่าด้วยการผลกระทบจากการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ล้มละลายปี 2483 โดยกำหนดให้การโอนสินทรัพย์จากผู้จำหน่ายสินทรัพย์ ไปยังนิติบุคคลเฉพาะกิจ ด้วยมูลค่าทางบัญชี หรือมูลค่าสิทธิทางบัญชี หรือมูลค่ายุติธรรม โดยให้ถือว่าเป็นการโอนโดยมีค่าตอบแทนน้อยเกินไป เลยทำให้เจ้าหน้าที่ของผู้จำหน่ายสินทรัพย์เสียเปรียบ และยังมีรายละเอียดอยู่หลายประการ ประมาณ 10 ประการด้วยกัน ซึ่งจะจัดทำเอกสารแจกต่อไป


 


ครม.ได้มีมติอนุมัติร่าง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยที่พูดในเรื่องของการกำหนดบทลงโทษในความผิดเกี่ยวกับการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบครองกิจการ หรือเทคโอเวอร์ โดยให้กลับไปยึดบทลงโทษทางอาญาและทางแพ่งเท่ากับกฎหมายเดิมที่มีอยู่ โดยการแก้ไขบทลงโทษเพื่อรองรับหลักเกณฑ์ที่กำหนดเพิ่มในร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ โดยอนุมัติให้ทำ 2 ประการ คือ


 


1. ตัดร่างมาตรา 298 ออกทั้งมาตรา เพื่อให้การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 246 249 และ 251 256 ยังคงมีบทกำหนดโทษตามอัตราโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายปัจจุบัน คือ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวัน 10,000 บาท


 


2. แก้ไขเพิ่มเติมร่างมาตรา 299 โดยกำหนดว่า ผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรา 250 250/1 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 300,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่อให้สอดคล้องกับการตัดร่างมาตรา 298 ออก


 


สำหรับประเด็นเรื่องที่สภาวิชาชีพทางบัญชีมีความเห็นแย้งเกี่ยวกับพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฉบับนี้ ในประเด็นนี้ ผู้สอบบัญชีเห็นว่า ในกรณีที่พบเหตุการณ์ที่ควรสงสัยว่ากรรมการผู้บริหารบริษัทเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน และบริษัทหลักทรัพย์กระทำความผิด มีหน้าที่ต้องแจ้งต่อ ก.ล.ต. โดยไม่ต้องสรุปว่ามีความผิดหรือไม่ และผู้สอบบัญชีไม่ต้องแจ้งทุกเรื่อง แต่ต้องแจ้งเฉพาะพฤติการณ์อันควรสงสัย ที่มีการระบุความผิดไว้อย่างชัดแจ้ง กล่าวคือ กรณีที่กรรมการหรือผู้บริหารไม่บริหารกิจการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ระมัดระวัง และไม่รักษาผลประโยชน์ของบริษัทเป็นสำคัญ การกระทำความผิดในลักษณะที่เป็นการฉ้อฉลหรือทุจริต เป็นซึ่งลักษณะความผิดที่กำหนดไว้ เป็นพฤติกรรมที่อาจมีผลกระทบต่อผู้ลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ จึงไม่น่าถือเป็นข้อมูลที่ผู้สอบบัญชีพึงสงวนไว้ ไม่เปิดเผย แต่หากผู้สอบบัญชีพบพฤติกรรมดังกล่าวแล้วไม่แจ้งต่อ ก.ล.ต. ซึ่งอาจมีอำนาจตามกฎหมายในการกำกับตลาดทุน เพื่อให้มีการดำเนินตามกฎหมาย และเพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลในการใช้สิทธิเยียวยาความเสียหายนั้นได้ กลับจะมีผลกระทบในทางลบต่อความเชื่อถือของผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในประเด็นนี้ คณะรัฐมนตรียังไม่เห็นชอบกับข้อเสนอของกระทรวงการคลัง แต่ให้กระทรวงการคลังไปทำความเข้าใจ ไปชี้แจงกับสภาวิชาชีพทางบัญชี แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง


 


 


ครม.พิจารณาเรื่องการเตรียมเลือกตั้ง


นายไชยา แถลงว่า สืบเนื่องมาจากที่ท่านนายกรัฐมนตรีร่วมประชุมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประเด็นที่จะขอให้ออกเป็นมติ ครม. มีทั้งหมด 5 ข้อ คือ (1) ประกาศให้การแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียงอีกครั้งหนึ่ง เป็นการตอกย้ำให้เป็นวาระแห่งชาติ และให้ทุกภาคส่วนเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว (2) ให้รวมกำลังกันระหว่าง ทหาร ตำรวจ และพลเรือน พร้อมทั้งอาสาสมัครด้านความปลอดภัย เพื่อให้มีการคุ้มครองประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เจ้าหน้าที่ และความปลอดภัยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (3) ขอรับการสนับสนุนด้านบุคลากร สถานที่ จากหน่วยงานของรัฐในการจัดการเลือกตั้ง ซึ่งคณะรัฐมนตรีเคยมีมติไปแล้วเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ให้กระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจต่างๆ พร้อมทั้งท้องถิ่น ให้ความร่วมมือ (4) ให้กระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ และท้องถิ่น ให้การสนับสนุนเกี่ยวกับสถานที่ปิดประกาศ และที่ติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ในสถานที่สาธารณะส่วนที่เป็นของรัฐ พร้อมทั้งสถานที่สำหรับให้ผู้สมัครพรรคการเมืองใช้ในการโฆษณาหาเสียง ออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียง และวิทยุโทรทัศน์


 


ข้อสุดท้ายที่จะให้เป็นมติ ครม. คือ ให้คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง ในหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสากิจนั้นวางตัวเป็นกลางทางการเมือง ในส่วนของที่จะมีการกำหนดวันเลือกตั้ง ยังเป็นเช่นเดิม คือ วันที่ 23 ธันวาคม ส่วนงบประมาณที่ได้รับจัดสรรให้จัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 1,900 ล้านบาท ทาง กกต.แจ้งมาว่าน่าจะไม่เพียงพอ เนื่องจากค่าใช้จ่ายต่างๆ จำนวนบุคลากร เบี้ยเลี้ยง วัสดุอุปกรณ์ เพราะฉะนั้นหน่วยงานต่างๆ อาจจะได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติม เป็นที่ยอมรับในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่าขาดเหลือประการใดพร้อมให้การสนับสนุน ในขณะเดียวกัน มีการเสนอว่า วันที่ 23 ธันวาคมนั้นเป็นวันอาทิตย์ น่าจะกำหนดให้วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม เป็นวันหยุด เพื่อฉลองคริสต์มาส นายกรัฐมนตรีจึงขอไว้พิจารณาในช่วงต้นเดือนธันวาคม


 


 


แบ่งงาน "สนธิ" ดูกลาโหม-มหาดไทย ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี


นายโชติชัย แถลงว่า ในเรื่องของการแบ่งงาน สำหรับท่านรองนายกฯ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการ และปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้


 


1. กำกับการบริหารราชการในส่วนราชการ ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน


 


2. กำกับการบริหารราชการและสั่ง และปฏิบัติราชการของส่วนราชการ ดังนี้ คือ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำหรับการมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 ตุลาฯ ให้ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. และมอบหมายให้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการ ในเรื่องตามที่กล่าวมาข้างต้น


 


 


 


ที่มา : กรมประชาสัมพันธ์, คมชัดลึก, ผู้จัดการ, โพสต์ทูเดย์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net