วอนสนช. หยุดออกกฎหมาย หลังเห็นผลจาก "ก.ม. คอมพิวเตอร์"

จากกรณีการจับเงียบนักเล่นเน็ต 2 ราย คปส. และ FACT เรียกร้องประชาชนร่วมกันยับยั้งสนช. ในการผลักดันกฎหมายที่ขัดสิทธิเสรีภาพ โดยที่ผ่านมา มีกฎหมายฉบับแรกทีเข้าสภา คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซึ่งประกาศใช้อย่างรวดเร็ว แต่เนื้อหายังมีความคลุมเครือ และความคลุมเครือดังกล่าว ก็เกิดขึ้นในกรณีการจับเงียบคนเล่นเน็ต 2 คน

 

 

เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 50 คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส) และ เครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย (FACT) ร่วมกันออกแถลงการณ์กรณีผู้ถูกจับกุมภายใต้พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550

 

ทั้งสององค์กรสื่อระบุว่า กรณีที่มีการจับกุมคนไทย 2 คน หลังจากแสดงความเห็นอันอาจจะเข้าข่ายข้อมูลอันเป็นเท็จ และส่งผลต่อความมั่นคง หรือความตื่นตระหนกของประชาชน ผ่านทางห้องสนทนาในอินเตอร์เน็ต ซึ่งยังไม่มีคำตอบเป็นทางการจากรัฐบาลไทยเกี่ยวกับที่มา ที่ไป และรูปแบบของกระบวนการดำเนินคดีที่เกิดขึ้น ซึ่งกรณีดังกล่าว จำเป็นที่รัฐบาลต้องให้ข้อเท็จจริงและแสดงจุดยืนในกรณีนี้ต่อสาธารณะชน

 

"โดยเฉพาะการต้องมีหลักประกันว่า ผู้ถูกดำเนินคดีจากพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ต้องได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม และได้รับการคุ้มครองสิทธิโดยไม่ถูกข่มขู่คุกคาม หรือ ถูกทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ" ตอนหนึ่งในแถลงการณ์ระบุ

           

ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของการประกาศใช้พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ตามมาตรา 14 วรรค 2 ที่มีเนื้อหาความผิด เกี่ยวกับ "การนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิด ความตื่นตระหนกแก่ประชาชน"

 

โดยกฎหมายนี้เป็นกฏหมายฉบับแรกที่ผ่านการพิจารณาของ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สะท้อนเจตนาในการควบคุมสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การแสดงออกทางความคิด และความรู้สึกของประชาชน อีกทั้งมาตรการในการใช้กฎหมาย กฎกระทรวง และประกาศระเบียบต่างๆ ยังขาดความชัดเจน มีความคลุมเครือ เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้กฎหมายไปในทางที่มิชอบได้

 

คปส. และ FACT จึงเรียกร้องให้รัฐบาลและรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง จำเป็นต้องทบทวนกฎหมายดังกล่าวในอนาคต อีกทั้งประชาชนต้องแสดงพลังยับยั้ง สนช. ในการผลักดันร่างกฎหมายอื่นๆ ที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน เช่น พ.ร.บ.ความมั่งคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ…. และ พระราชบัญญัติปราบปรามวัตถุยั่วยุพฤติกรรมอันตราย พ.ศ….. เป็นต้น

 

ทั้งนี้ คปส และ FACT ได้ขอให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในพื้นที่ไซเบอร์เฝ้าระวังความปลอดภัยในชุมชน ออนไลน์ เพราะหลังพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ (19 ก.ค. 50) เพียง 40 วัน ข่าวการจับกุมกลุ่มคนที่แสดงออกทางการเมืองในชุมชนออนไลน์ (Cyber-dissidents) อย่างเงียบงันได้เกิดขึ้นแล้วเป็นครั้งแรกและคาดว่าจะมีรายต่อไป

 

โดยทาง คปส. และ FACT เตรียมทำจดหมายเปิดผนึก ยื่นถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงไอซีทีอย่างเป็นทางการ เพื่อถามถึงกรณีดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะยื่นหนังสือภายในต้นสัปดาห์หน้า

 

 

 

 

แถลงการณ์
กรณีผู้ถูกจับกุมภายใต้ พระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550

 

 

            จากกรณีหนังสือพิมพ์ไฟแนนซ์เชียลไทมส์ ฉบับสุดสัปดาห์ วันที่ 1-2 กันยายน พ.ศ. 2550 รายงานข่าว ประเทศไทยเลิกแบนเว็บไซต์ยูทิวบ์ โดยความตอนหนึ่งอ้างถึงคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงที่ระบุว่า เมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้ รัฐไทยได้ใช้ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 จับกุมคนไทย 2 คน เนื่องจากแสดงความเห็นเข้าข่ายหมิ่นพระมหากษัตริย์ในห้องสนทนาบน อินเทอร์เน็ต ในขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้ปฏิเสธข่าวดังกล่าวและทางรัฐบาลไทยก็ไม่ได้ให้คำตอบอย่างเป็นทางการ หนังสือพิมพ์ประชาไท (www.prachatai.com) ได้รายงานว่าพบการจับกุมจริงโดยมีหนึ่งคนอยู่ระหว่างการถูกคุมขังและอีกหนึ่งคนได้รับการประกันตัวแล้ว ในขณะเดียวกันองค์กรสื่อและสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหลายแห่งได้ออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยต่อเรื่องนี้อย่างมาก

           

            คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส) และ เครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย (FACT) เห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน จำเป็นที่รัฐบาลต้องออกมาให้ข้อเท็จจริงและแสดงจุดยืนในกรณีนี้ต่อสาธารณชน ไทยและประชาคมโลก โดยเฉพาะการต้องมีหลักประกันว่า ผู้ถูกดำเนินคดีจากพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ต้องได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม และได้รับการคุ้มครองสิทธิโดยไม่ถูกข่มขู่คุกคาม หรือ ถูกทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ

           

            กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการก ระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ตามมาตรา 14 วรรค 2 ที่ว่า "การ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิด ความตื่นตระหนกแก่ประชาชน"

 

            กฎหมายนี้เป็นกฏหมายฉบับแรกที่ผ่านการพิจารณาของ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งเต็มไปด้วยข้อกังวลหลายประการ เพราะสะท้อนเจตนาในการควบคุมสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การแสดงออกทางความคิด และความรู้สึกของประชาชน อีกทั้งมาตรการในการใช้กฎหมาย รวมถึงกฎกระทรวงและประกาศระเบียบต่างๆ ยังขาดความชัดเจน มีความคลุมเครือ เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้กฎหมายไปในทางที่มิชอบได้

 

            ดังนั้น รัฐบาลและรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งจำเป็นต้องทบทวน กฎหมายดังกล่าวในอนาคต อีกทั้งประชาชนต้องแสดงพลังยับยั้ง สนช. ในการผลักดันร่างกฎหมายอื่นๆ ที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน เช่น พระราชบัญญัติความมั่งคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ…. และ พระราชบัญญัติปราบปรามวัตถุยั่วยุพฤติกรรมอันตราย พ.ศ….. เป็นต้น

 

            ทั้งนี้ คปส และ FACT ขอให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในพื้นที่ไซเบอร์เฝ้าระวังความปลอดภัยในชุมชน ออนไลน์ เพราะหลังพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ (19 กรกฎาคม พ.ศ. 2550) เพียง 40 วัน ข่าวการจับกุมกลุ่มคนที่แสดงออกทางการเมืองในชุมชนออนไลน์ (Cyber-dissidents) อย่างเงียบงันได้เกิดขึ้นแล้วเป็นครั้งแรกและคาดว่าจะมีรายต่อไป

คปส และ FACT ขอเรียกร้องให้ องค์กรสิทธิมนุษยชนและประชาคมนานาชาติติดตามผลกระทบต่อเรื่องนี้อย่างใกล้ ชิด เนื่องจากเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่าง มีนัยยะสำคัญ อีกประการคือสื่ออินเทอร์เน็ตถือเป็นสื่อสากล ที่ปราศจากเส้นแบ่งเขตแดน ดังนั้นรัฐไทยจำเป็นต้องพลวัตการยอมรับการใช้สิทธิเสรีภาพของพลเมืองในสื่อ อินเทอร์เน็ต (Cyber citizens) ตามมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากล

 

 

คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส)
เครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย (FACT)
11 กันยายน 2550

 

 

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท