Skip to main content
sharethis

หากมองด้วยสายตาของคนนอกพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว การที่บุคลากรทางสาธารณสุข โดยเฉพาะแพทย์และพยาบาลแทบจะยังไม่เคยตกเป็นเหยื่อประทุษร้ายของกลุ่มก่อความไม่สงบเลยนั้น ดูจะเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอยู่ไม่น้อย


 


แต่ถ้าลองเลียบเคียงเข้าไปสอบถามความรู้สึกของพวกเขาที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่อย่างขะมักเขม้นในดินแดนด้ามขวาน จะพบความจริงว่าแม้การไม่ตกเป็นเป้าของขบวนการก่อความไม่สงบจะเป็นเรื่องน่ายินดีอยู่บ้างก็ตาม แต่ขณะนี้พวกเขากลับต้องเผชิญปัญหาใหม่ที่น่าหนักใจยิ่งกว่า นั่นก็คือแรงกดดันจากฝ่ายความมั่นคงที่กำลังจะทำให้พวกเขา "สูญเสียความเป็นกลางของสาธารณสุข" ไป


 


น.พ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ หนึ่งในสี่อำเภอของ จ.สงขลา ที่ถูกจัดกลุ่มอยู่ในขอบเขตปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ เล่าให้ฟังว่า โจทย์ใหญ่ที่กำลังท้าทายบุคลากรทางสาธารณสุขอยู่ในปัจจุบัน คือความเป็นกลางของสถานีอนามัยและโรงพยาบาลในพื้นที่ เพราะเมื่อใดที่บุคลากรเหล่านี้เอนเอียงหรือแม้แต่ถูกมองว่าเอนเอียงเข้าข้างใดข้างหนึ่งแม้เพียงนิดเดียว อันตรายก็จะมาเยือนทันที


 


"ปัจจุบันมีเพียงครูกับหมอเท่านั้นที่เป็นข้าราชการที่สามารถอยู่ในพื้นที่ระดับตำบลได้ แต่ความต่างก็คือหมออนามัยตำบลตกเป็นเป้าน้อยกว่าครูมาก เนื่องมาจากกลุ่มขบวนการไม่ชอบครู เพราะคิดว่าครูสอนลูกของพวกเขาให้เป็นไทย ในขณะที่เขาอยากให้ลูกเป็นมลายู ส่วนแพทย์นั้นรักษาทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติ จึงทำให้พออยู่ได้อย่างปลอดภัย แต่วันนี้กำลังมีปัจจัยที่ทำให้ความเป็นกลางสูญเสียไป"


 


น.พ.สุภัทร อธิบายว่า ปัจจัยที่กระทบต่อความเป็นกลางของสาธารณสุข จากการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของคณะกรรมการที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมี น.พ.ธาดา ยิบอินซอย เป็นประธาน และมีเขาร่วมเป็นกรรมการนั้น ประกอบด้วย


 


1.กรณีทหารชอบเข้าไปตั้งค่ายในสถานีอนามัย เนื่องจากมีความพร้อมในเรื่องน้ำ-ไฟ ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ก็พยายามคัดค้านมาตลอด แต่ทหารบางหน่วยจะใช้วิธีแอบเข้าไปตั้งแคมป์ช่วงเย็นวันศุกร์ซึ่งเจ้าหน้าที่กลับบ้าน พอถึงเช้าวันจันทร์ เจ้าหน้าที่กลับมา ก็ไม่สามารถห้ามปรามอะไรได้แล้ว


 


ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวทำให้เกิดภาพที่ไม่ดี และเมื่อทหารถอนกำลังออกไป ก็มีความเสี่ยงที่อนามัยจะถูกเผา หรืออาจจะถูกยิงเข้ามาในอนามัยเพื่อหวังทำร้ายทหารได้


 


จากข้อมูลที่คณะกรรมการรวบรวมได้ระหว่างลงพื้นที่ พบว่าที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส มีสถานีอนามัยอย่างน้อย 2 แห่งที่ทหารเข้าไปตั้งค่ายอยู่ภายใน คือสถานีอนามัยกาลีซา และบองอ


2.กรณีที่ทหารหรือตำรวจชอบเดินคุยกับเจ้าหน้าที่อนามัย ซึ่งแม้จะเข้าใจว่าหลายๆ ครั้งเป็นการทักทายกันธรรมดา แต่ภาพที่ออกมาทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่อนามัยแอบให้ข้อมูลกับทหารหรือไม่


 


3.กรณีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงชอบขอข้อมูลประชากรในพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลและสถานีอนามัย เพราะสถานพยาบาลทุกแห่งจะมี "แผนที่" ในพื้นที่รับผิดชอบของตน ไม่ว่าจะเป็นระดับตำบล อำเภอ หรือจังหวัด มีเลขที่บ้าน สถานที่ตั้ง และบุคคลในบ้านทุกคน


 


กรณีนี้หน่วยสาธารณสุขในพื้นที่มีแนวปฏิบัติชัดเจนว่า ไม่ว่าเจ้าหน้าที่หน่วยไหนมาขอ ก็จะไม่ให้ข้อมูล แต่เมื่อไม่ให้ ฝ่ายความมั่นคงก็ไม่พอใจ และมีคำถามประชดประชันในลักษณะว่า "เป็นข้าราชการหรือเปล่า" หรือไม่ก็กล่าวหาว่าเป็นแนวร่วมของฝ่ายขบวนการไปเลย



4.กรณีเจ้าหน้าที่รัฐปะทะกับกลุ่มก่อความไม่สงบ และฝ่ายคนร้ายถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ก็เข้ามารักษาตัวที่อนามัย แต่เจ้าหน้าที่รัฐพยายามจะให้เจ้าหน้าที่อนามัย หรือแพทย์ พยาบาล แจ้งความกับตำรวจ ทำให้บุคลากรทางสาธารณสุขตกอยู่ในสภาวะไม่ปลอดภัย


 


เรื่องนี้ที่ผ่านมาเคยมีกรณีตัวอย่างมาแล้ว คือมีแนวร่วมก่อความไม่สงบถูกยิงที่ข้อเท้า กระสุนฝังใน จึงเข้ามารักษาที่สถานีอนามัย แต่เจ้าหน้าที่เห็นว่าอาการหนัก ก็แนะนำว่าจะส่งต่อไปโรงพยาบาลศูนย์ยะลา ผู้บาดเจ็บก็ถามทันทีว่า ถ้าส่งตัวไปจะถูกจับหรือไม่ เจ้าหน้าที่อนามัยตอบว่าหมอคงไม่แจ้งตำรวจ


 


ทว่าเมื่อส่งตัวไปจริงๆ ผู้บาดเจ็บรายนี้กลับถูกตำรวจมารอจับกุมถึงหน้าห้องรับยา วันรุ่งขึ้นญาติของเขาจึงบุกไปที่สถานีอนามัย และข่มขู่ว่า ถ้าช่วยให้ผู้บาดเจ็บออกมาจากคุกไม่ได้ จะต้องตาย เพราะไปรับรองว่าจะไม่ถูกจับ


 


5.กรณีผู้ต้องสงสัยเป็นแนวร่วมก่อความไม่สงบถูกกระสุนปืนเสียชีวิต และกระสุนฝังอยู่ในศพ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะพยายามเร่งให้แพทย์ผ่าศพเพื่อนำหัวกระสุนออกมาตรวจพิสูจน์ ขณะที่ฝ่ายญาติผู้ตายก็จะไม่ยินยอม เพราะตามหลักศาสนาอิสลามจะต้องนำศพไปฝังทันที และไม่ต้องการให้ใครทำอะไรกับศพอีก


 


ปัจจุบันจุดยืนของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขคือ ถ้าเป็นผู้ป่วย ก็จะให้ผู้ป่วยตัดสินใจเอง แต่ถ้าเป็นคนตาย ก็จะให้ญาติตัดสินใจ แต่นั่นก็ทำให้ฝ่ายตำรวจไม่ค่อยจะพอใจเช่นเดียวกัน


 


"นี่คือความยากลำบากของผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์และพยาบาลว่าจะอยู่ในพื้นที่อย่างไรให้ปลอดภัย แต่หลายครั้งที่เรารักษาความเป็นกลาง กลับถูกตีความจากหน่วยงานรัฐด้วยกันว่าเราอยู่ฝ่ายโจร อยู่ฝ่ายขบวนการ เหล่านี้คือความเจ็บปวด" น.พ.สุภัทร กล่าว


 


น่าสนใจว่า เหตุการณ์บุกยิงเจ้าหน้าที่เสียชีวิตถึงในสถานีอนามัย ต.ประจัน อ.ยะรัง จ.ปัตตานี สดๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา คือจุดเริ่มต้นที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงจากการถูกกดดันให้เสียความเป็นกลางหรือไม่...เป็นคำถามที่ฝ่ายความมั่นคงต้องเร่งหาคำตอบโดยพลัน!


 


ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net