ราวสองสามปีที่ผ่านมา อะไรก็ค่อยๆ พากันตายแล้วแทบทั้งสิ้น
"พระเจ้าตายแล้ว" จาก นิทเช่ เป็นต้นแบบมากกว่าร้อยปี และเหล่าคนรุ่นหลังก็ยังประคองสติปัญญาหาวลีใหม่ๆ ไม่ได้สักที
ไม่สำคัญว่า อะไรจะตายหรือไม่ ล้วนไม่ขึ้นอยู่กับวลีและเจ้าของวลีเหล่านั้นเลย...
พ.ศ.2550 ในการประกวดวรรณกรรมรางวัลซีไรต์ ประเภทกวีนิพนธ์ นั้น เมื่อผลคัดเลือกรอบสุดท้ายประกาศรายชื่อหนังสือและผู้ประพันธ์แล้ว กลุ่มที่เคยคาดหวังว่า กวีนิพนธ์รางวัลซีไรต์ต้องยิ่งใหญ่สมเกียรติของรางวัลอันเก่าแก่ สมค่าทั้งผลงานและผู้ประพันธ์นั่นทีเดียว กลุ่มคนเหล่านี้ต่างพากันร้อนอยู่ในอก เหมือนอารมณ์ขัดแย้งเริ่มปะทุ แต่ไม่นานหรอก มันก็ค่อยมอดดับลงอย่างสนิท เพื่อรอฟังคำประกาศผลรอสุดท้าย รอดูใบหน้าของเหยื่อน้ำลายในวงเหล้า...และรอจนกว่าจะถึงรอบของสามปีข้างหน้า ทำราวกับยอมปลงใจได้ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามกรรม เช่นนั้นหรือ...
กับข้อขัดรสนิยมที่ว่า กวีหน้าใหม่เลหลังกันเข้ารอบ หรือ บทกวีฉันทลักษณ์ ประเภทกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ ถูกสต๊าฟไว้ตามกระบะหนังสือขึ้นหิ้งลดเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ในงานตลาดนัดวรรณกรรม จนทำให้ดูเหมือนว่า เกิดอาการตายดับกันไปแล้วจริงๆ จริงหรือ...
กวีตายแล้วจริงหรือนี่...
ดูที่หน้านิตยสารรายสัปดาห์ หรือรายปักษ์ ก็มีบทกวีลงทุกฉบับ ไม่เคยขาด ใครจะรู้บ้างว่า ผู้คัดสรรต้องเลือกบทกวีจากกวีทั่วสารทิศที่ส่งมากองพะเนินอยู่ เลือกแล้ว คัดทิ้ง เพื่อให้ในหนึ่งฉบับมีบทกวีผ่านลงพิมพ์เผยแพร่เพียงหนึ่งบท
หากจะกล่าวถึงบทกวีอย่างเป็นธรรมแล้ว บทกวีต้องมีผลสะท้านใจผู้อ่าน แต่คงไม่ถึงกับบีบกระตุ้นให้ผู้อ่านต้องกระโดดขึ้นมาเปลี่ยนแปลงโลกสังคมหรือแม้แต่ตัวเองในชั่วพริบตาหรอก เพราะแท้แล้ว บทกวีเป็นดั่งเมล็ดพันธุ์แห่งจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ ที่พร้อมจะหยั่งราก รอคอยจะแตกผลิยอดใบในพื้นเนื้อใจของผู้อ่านนั่นเอง ครั้นแล้วเวลาจะล่วงผ่านไปเท่าใด คงไม่มีมนุษย์ใดจะอธิบายเป็นทฤษฎีได้ เนื่องจากยังมีเหตุปัจจัยภายในสภาวะใจของผู้อ่านอีกมากมาย รวมทั้งปัจจัยภายนอกอีกด้วย ทั้งยังต้องพิจารณาจากพื้นเนื้อใจของผู้อ่านเป็นเหตุสำคัญด้วย หากเนื้อใจนั้นอุดมไปด้วยธัญญาหารแห่งความดีงามแล้ว คงไม่ต้องอาศัยเวลามากมายเหมือนกับเนื้อใจที่แห้งกระด้าง ไร้คุณธรรมประจำตน
ดังนั้น วลีประเภท กวีตายแล้ว หรือ บทกวีฉันทลักษณ์ตายแล้ว ฯลฯ ล้วนเป็นเพียงคำโฆษณาที่ไร้คุณค่า ซึ่งมักออกอากาศในช่วงละครหลังข่าวเท่านั้นเอง หนำซ้ำยังอุตส่าห์คาดหวังว่า ผลตอบรับจากผู้ฟังจะทำให้ยอดขายในฝัน ขยับขึ้นมาจนพ้นจุดขาดทุนทางใจ
ทำไมบทกวีขายไม่ได้ (แถมบางกวียังไม่อยากง้อขายด้วย)
จะโทษตัวกวีเองก็พอทำได้บ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมด เพราะในเมื่อสื่อฯไม่เคยคิดนำเสนอกิจกรรมอันเกี่ยวเนื่องกับกวีนิพนธ์เลย ทั้งหน้าจอโทรทัศน์ และหน้าสื่อสิ่งพิมพ์ ดูจะมุ่งหาแต่กำไรขายข่าวฉาวโฉ่ นองเลือดเป็นที่ครึกครื้นอย่างเดียว เคยเห็นไหมในในประเทศนี้ ที่ข่าวหนังสือพิมพ์จะพาดหัวด้วยบทกวีแทนภาพข่าวระเบิดกลางตลาด ทหารขาขาดกระจุย เลือดทิ้งรอยโศกนาฏกรรมเป็นคราบแดงฉาน นั่นก็ถือเป็นการปิดประตูของสื่อผู้ทรงอิทธิพลในประเทศที่หลงคิดไปว่า บทกวีขายไม่ได้สักกระผีกเดียว
หรือบทกวีต้องขึ้นหิ้งเท่านั้น
ถ้าเป็นหิ้งในใจผู้อ่าน ก็ต้องถือเป็นจุดหมายสูงสุดของกวีหลายคน แต่ถ้าหิ้งหนังสือเขรอะฝุ่นนั่งคงต้องพิจารณาว่า บทกวีจำเป็นต่อสภาพชีวิตประจำวันของผู้คนมากน้อยเพียงใด นั่นจึงต้องถามว่า แล้วอะไรกันหนอที่สถิตอยู่ในบทกวี? กวีเขียนถึงอะไรกันหรือ?
ประการนี้เองจึงสมควรจะกล่าวหาว่า ที่บทกวีขายไม่ได้นั้น ต้องโยนบาปให้ตัวกวีเอง..
แล้ว กวีเขียนถึงอะไรหนอ...
เขียนถึงปรัชญาง่ายงาม ปรัชญาตะวันตก ตะวันออก ความทุกข์ สถานการณ์บ้านเมือง หรือเขียนถึงธรรมชาติ ซึ่งก็ล้วนแต่เขียนตามๆ กัน ทั้งท่วงทำนอง ลีลาจังหวะการจัดวางคำ ยกตัวอย่าง กลอน ที่นิยมใช้ลักษณะการซ้ำคำ เพื่อเน้นให้ผู้อ่านเห็นภูมิปัญญาของกวีที่สามารถใช้คำได้อย่างมีมิติหลากหลาย หรือนิยมลงท้ายวรรคด้วยคำเสียงเอก หรือคำตาย เหล่านี้ล้วนจะพบเจอได้จนเอียน นี่เป็นลักษณะการทำงานเขียนบทกวีประเภทหนึ่ง เห็นพยายามเขียนตามกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไร้ศักดิ์ศรี เป็นงานของกวีที่ไม่คิดแม้แต่จะฝึกหัด อาจเพราะกวีไม่มีเวลามากพอให้ฝึกหรือครุ่นคิด เขาต้องทำงานเช้ายันค่ำ ดึกดื่นโน่นค่อยขยับอารมณ์กวี เขียนส่งหน้านิตยสาร เพื่อรอจังหวะสามปีรวมเล่มส่งประกวดรางวัลซีไรต์
เพราะกวีไม่ใช่อาชีพที่จะหาเงินประคองชีวิตได้ กวีไหนหรือจะกล้าเสี่ยงลมหายใจกับการงานอันเป็นที่รัก
มี มีแน่นอน แต่ก็น้อยเหลือเกิน น้อยเกินไป
โดยมากแล้ว มนุษย์เรา หากได้เขียนบทกวีอย่างทุ่มเทจริงจังแล้ว มักจะไม่เหลือพลังชีวิตเผื่อให้การงานอื่นได้ไม่มากนัก หรือใครจะว่าเขียนบทกวีไม่เหนื่อย..
ดังนั้นแล้ว งานกวีเป็นดั่งการงานอันเป็นที่รักยิ่ง ไม่ใช่แค่ทำเพื่อเติมเต็มให้ชีวิตที่ขาดหาย
กวีเขียนถึงทรรศนะใด
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า แนวคิดปรัชญาตะวันตกได้หลอมรวมอยู่ในกระบวนคิดของคนในสังคมไปแล้ว รวมทั้งกลุ่มนักเขียน กวี ที่นิยมเรียกตัวเองว่า กลุ่มสร้างงานสร้างสรรค์
ทั้งนี้ เนื้อหาในบทกวีร่วมสมัยต่างสะท้อนถึงทรรศนะ จากมุมมองของคนที่ไม่ได้ศึกษา หรือไม่รู้จักรากเหง้าของตัวเองอย่างแท้จริง แต่ก็พยายามยิ่งที่จะเขียนอย่างคนที่เข้าใจโลกชีวิตและยังดันทุรังจะโน้มน้าวผู้อ่านให้มองเห็นความสำคัญของรากเหง้า หรือธรรมชาติอีกด้วย ยกตัวอย่าง บทกวีที่บรรยายถึงความงดงามของชีวิตในชนบท ชี้นำผู้อ่านให้กลับไปสู่บ้านเกิด ขณะตัวกวียังย่ำวนอยู่ในเมืองกรุง
เมื่อไม่ลึกซึ้งกับรากเหง้า ไม่จริงใจกับทรรศนะของตัวเอง และไม่เห็นคุณค่าของบทกวีอย่างแท้จริงแล้ว กวีจะคาดหวังอะไรจากผู้อ่าน ...
จุดด้อยอันไม่น่าให้อภัยนี้เอง ที่เป็นตัวลดคุณค่าของบทกวี ทำให้บทกวีขายไม่ได้ คนไม่สนใจอ่าน และพร้อมจะตกเป็นขี้ปากของนักข่าวตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวิ่งเต้นระหว่างกรรมการรอบคัดเลือกกับกวีที่ส่งผลงานเข้าประกวด หรือการแอบซุ่มริษยากันเอง นี่เองที่เปิดช่องให้คนในวงวรรณกรรมบางกลุ่มกระโดดเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ที่เรียกว่าบังหน้าว่าสร้างสรรค์
ฉะนั้น วลีจำพวก "กวีตายแล้ว หรือบทกวีฉันทลักษณ์ตายแล้ว" เพราะไม่สามารถเติมเต็มอารมณ์ร่วมสมัยได้นั้น เป็นเพียงวลีมักง่าย ของคนไร้การศึกษา อันมีสันดานชอบฉวยโอกาส แอบดึงผลประโยชน์แฝงเร้นเข้าหาตัวเองอย่างคนประเภทสิ้นศักดิ์ศรี.
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)