Skip to main content
sharethis

 


 






การเมือง - สังคม


 


กฤษฎีกาเผย"กม.มั่นคง" อยู่"บัญชีด่วน" ต้องเสนอ สนช.ใน 30 ก.ย.


เว็บไซต์มติชน :  เลขาธิการกฤษฎีกาเผยร่าง พ.ร.บ.มั่นคงอยู่บัญชี "ก." เป็น กม.เร่งด่วนรอคิวเข้า สนช.ภายใน 30 ก.ย. ยังไม่หยิบพิจารณา นายกฯให้เปิดฟังความคิดเห็นก่อน ชี้จำเป็น รบ.ชั่วคราวพิจารณาได้ เล็งยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินหากซ้ำซ้อน ผบ.ทร.ลั่นร่าง กม.ไม่ผ่าน ทหาร-ตำรวจทำงานไม่ได้ เปรียบเหมือนจ้างยามไร้อำนาจ ประเทศชาติล่มแน่


 



สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเผยร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ....  เป็นกฎหมายเร่งด่วนรอเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ ภายหลังร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไป ตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ คุณพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ตรวจพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวเลย เพราะต้องรอคิว แต่ร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในอยู่ในบัญชี ก. คือ กฎหมายเร่งด่วนที่ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.ภายในวันที่ 30 กันยายน ดังนั้น ต้องดำเนินการให้เสร็จก่อนเวลาแน่นอน


 



โบ้ยเจรจา'ทักษิณ' เป็นเรื่องเข้าใจผิด


ไทยรัฐออนไลน์ : กรณีที่นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. เคยติดต่อนัดเจรจากับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหาแนวทางสมานฉันท์ แต่ก็เกิดเหตุทำให้แผนการเจรจาต้องล้มไปก่อน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้หลายฝ่ายคิดว่ารัฐบาลเริ่มส่งสัญญาณที่จะเปิดเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ล่าสุดนายไพบูลย์ออกมาชี้แจงว่า การพูดเรื่องดังกล่าวเป็นเพียงการยกตัวอย่างในวงสัมมนาเท่านั้น และยืนยันว่าตอนนี้รัฐบาลไม่คิดที่จะต่อสายเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ


 


เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 17 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาลนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้สัมภาษณ์ ภายหลังการประชุม ครม. ว่า ได้รายงานชี้แจงต่อนายกรัฐมนตรีถึงกรณีที่สื่อมวลชนลงข่าวตนไปบรรยายเรื่องสันติวิธีในวงสัมมนาการสร้างสมานฉันท์ โดยระบุว่า พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. เคยติดต่อเพื่อเจรจากับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนเพียงแค่เล่าเรื่องในอดีตหลายเดือนที่ผ่านมาแล้วที่มีการโทรศัพท์ ติดต่อกัน โดยยกตัวอย่างให้ฟังว่าเรื่องการสร้างสมานฉันท์ มีการใช้ในทุกวงการ ทั้งเรื่องการเมือง เรื่องปัญหาแฟลตดินแดง สิ่งที่ยกตัวอย่างก็เป็นสิ่งที่รู้กันว่ามีความพยายาม แต่เนื่องจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงหมุนไปเร็วมาก ในทางการเมืองก็มีการยุบพรรคและอายัดทรัพย์ไปแล้ว ตอนนี้เรื่องนี้จึงไม่เป็นประเด็นอีกต่อไป 

นายไพบูลย์กล่าวต่อว่า ส่วนที่สื่อระบุว่าเคยมีการมอบหมายให้รัฐมนตรีคนหนึ่งไปเป็นมือประสานการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะตนเพียงยกตัวอย่างเรื่องการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและ คมช.ขึ้นมาอธิบาย ในช่วงนั้นมีความคิดที่จะให้รัฐมนตรีไปพูดคุยทำความเข้าใจกับม็อบจริง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดคุยกัน เพราะสถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นไม่ได้หมายความว่าขณะนี้รัฐบาลมีความคิดที่จะส่งใครไปเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณแต่อย่างใด เรื่องทั้งหมดน่าจะเป็นความเข้าใจผิดของสื่อมวลชนที่พยายามนำประเด็นมาพาดหัวข่าว


ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้จะมีทางสานต่อเปิดเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณอีกหรือไม่ นายไพบูลย์ตอบว่า เรื่องสมานฉันท์เป็นเรื่องที่ดีในสถานการณ์ทั่วไป เพราะการพูดจากันเป็นวิธีที่ดีที่สุดให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน ความขัดแย้งทั้งหลายหากฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาหารือหาจุดมุ่งหมายร่วมกันก็มักจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่เรื่องการเมืองขณะนี้เราก็กำลังเดินหน้าไปสู่การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ถือว่าใช้สันติวิธีอยู่ มีการพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ กันได้ เมื่อลงคะแนนผลออกมาอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น ถ้ารัฐธรรมนูญผ่านก็จะนำไปสู่การเลือกตั้ง


น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ สมาชิก สนช. ให้สัมภาษณ์ว่า การสร้างความสมานฉันท์หากผู้ที่จะคุยด้วยมีความตั้งใจที่จะพูดจากันด้วยความสมานฉันท์ก็ถือเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเป็นความต้องการของเราเพียงฝ่ายเดียว โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ต้องการสมานฉันท์ หรือพยายามเล่นเกม คงเสียเวลาเปล่าขณะนี้ถือว่าเลยเวลาที่จะมาเจรจากันแล้ว เพราะความผิดต่างๆกำลังเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ดังนั้น การพูดจากันคงไม่มีประโยชน์อะไร แต่ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นฝ่ายร้องขอเข้ามา รัฐบาลอาจพิจารณาได้ แต่ตนเชื่อว่าหมดเวลาแล้ว เพราะประชาชนกำลังจับตาดูอยู่ อาจเกิดความสงสัยว่าในเมื่อปฏิวัติขับไล่เขาออกไป แล้วจะไปเจรจาต่อรองอะไรกับเขาอีก อย่าไปดิ้นรน ให้เขาเป็นฝ่ายขอมาเอง และปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการศาล


สนช.เห็นชอบร่างกม.แก้ไขประกาศ คปค.15 ตั้งพรรคการเมืองได้


เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น : ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศ คปค.ฉบับที่ 15 วาระ 2 และ 3 แล้ว ซึ่งจะมีผลให้พรรคการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่ได้


 


ทั้งนี้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา สนช.รับหลักการในวาระแรก และตั้งกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นมาพิจารณารายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศ คปค. ฉบับ 15 หลังจากเมื่อต้นเดือนมิถุนายน คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้แก้ไขประกาศดังกล่าว เรื่องให้จดทะเบียนพรรคการเมืองและดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้


 


"สนธิ"แจงยกเลิกคปค.15 ปูทางพรรคการเมืองหาเสียง ปัดเล่นการเมืองย้อนสื่อหลอกถาม


เว็บไซต์แนวหน้า :  พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะพิจารณาการประกาศยกเลิก คปค.ฉบับที่ 15 จะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์การเมืองอย่างไร ว่า ถ้าเผื่อเสร็จแล้วพรรคต่าง ๆ ก็สามารถดำเนินการในการจดทะเบียนพรรค มีการประชุม หรือ หาเสียงก็คงจะเริ่มได้ เมื่อถามว่า หากมีการประกาศยกเลิกแล้วภาพการต่อต้าน คมช. จะลดลงหรือไม่  พล.อ.สนธิ กล่าวว่า การต่อต้าน คมช. และ คปค. มันไม่ได้เกี่ยว มันเป็นเรื่องการเมืองคนละเรื่อง จะต้องอ่านให้ออก


 


เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.อ.สนธิ จะลงเล่นการเมืองภายหลังเกษียณอายุราชการปลายเดือนก.ย.นี้ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า "ยังไม่ได้บอกเลย" เมื่อถามว่า การลงเล่นการเมืองจะสามารถทำได้หรือไม่ เนื่องการที่ผ่านมา ท่านไม่ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาครั้งล่าสุด พล.อ.สนธิ กล่าวว่า "ปัญหาคือชื่อของผมไปอยู่ที่ปักษ์ใต้  และผมก็เดินทางไปลงคะแนนเลือกตั้งที่ จ.ลพบุรี  ปรากฎว่าชื่อไม่มี และทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าให้ไปเลือกที่ จ.ปัตตานี แต่ชื่ออยู่จ.ยะลา ปรากฎว่าไปไม่ทัน ตนจึงทำหนังสือชี้แจงซึ่งมีหลักฐานอยู่เรียบร้อยไม่มีปัญหาอะไร  เมื่อถาทว่า แสดงว่าจะลงเล่นการเมืองก็สามารถทำได้ใช่หรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เล่นการเมืองกับตอนนี้ ซึ่งรัฐธรรมนูญใหม่ไม่เกี่ยวกัน จากนั้น พล.อ.สนธิ ได้ย้อนถามผู้สื่อข่าวด้วยสีหน้ายิ้มและอารมณ์ดีว่า "หลอกถามเรา"


 


รอง มทภ.2 ระบุรู้ตัวนักการเมืองร่วมต้าน รธน.แล้ว


ไทยรัฐออนไลน์ : พล.ต.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าววันนี้ (18 ก.ค.) ว่า กองทัพภาคที่ 2 จะเร่งออกให้ความรู้เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ และเชิญชวนให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติในวันที่ 19 ส.ค.นี้ อย่างพร้อมเพรียงกัน โดยประชาชนจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล


 


ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญ และโจมตีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น รองแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากนักการเมืองกลุ่มอำนาจเก่าและกลุ่มที่มีผลประโยชน์ขัดแย้งที่พยายามชักจูงประชาชนไม่ให้รับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งขณะนี้ได้พูดคุยขอความร่วมมือกับนักการเมืองกลุ่มอำนาจเก่าไปแล้ว โดยขอให้คิดถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ส่วนกรณีมีมือดีพ่นสีสเปรย์ข้อความขับไล่ คมช. และไม่เอา รธน. ตามสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ทราบแล้วว่า เป็นกลุ่มวัยรุ่นคึกคะนอง และมีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจเก่า โดยทหารทราบตัวและเรียกมาทำความเข้าใจแล้ว


 


นปก.โวยเครือข่ายมท.สกัดดาวกระจาย


เว็บไซต์มติชน : กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการหรือ นปก.ยังคงปักหลักชุมนุมที่ท้องสนามหลวงอย่างต่อเนื่อง โดยการชุมนุมเมื่อเย็นวันที่ 17 กรกฎาคม เริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลา 18.30 น. ท่ามกลางผู้ร่วมชุมนุมบางตาประมาณ 500 คน โดยนายชินวัตร หาบุญพาด แกนนำ นปก. กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า ขอเรียกร้องให้ประชาชนอย่าไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอดีต ส.ส.ไทยรักไทย ที่แยกย้ายไปตั้งพรรคอื่นหรือไปสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ หากคนเหล่านี้ไปขอคะแนนเสียงที่บ้านอย่าต้อนรับ


 



นพ.เหวง โตจิราการ กล่าวว่า เวลา 08.00 น. วันที่ 18 กรกฎาคม จะนำรถขยายเสียงพร้อมผู้ชุมนุม 1,000 คนไปประณามการกระทำของนายอารีย์ วงศ์อารยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ขัดขวางการชุมนุมของ นปก.ที่ภาคเหนือและภาคอีสาน บางจังหวัดผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งสกัดการชุมนุมด้วยความรุนแรง บางจังหวัดห้ามขายอาหารเครื่องดื่มให้ผู้ชุมนุม ที่ร้ายที่สุดคือ จ.แพร่ มีการเอาสิ่งปฏิกูลมาเทไว้ที่ท้องถนนไม่ให้ผู้ชุมนุมได้ใช้สถานที่ ทั้งนี้จะยื่นข้อเรียกร้อง ให้เปิดสิทธิเสรีภาพให้ประชาชนแสดงความเห็นทางการเมืองได้อย่างเสรี  นอกจากนี้จะเข้าพบนายนรนิติ เศรษฐบุตร ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 19 กรกฎาคม เพื่อเรียกร้องให้เลิกยัดเยียดโฆษณาให้ประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญ



         


 






เศรษฐกิจ


 


รมช.คลังเสนอแปลงหนี้เงินกู้ รฟม.จากเงินเยนเป็นบาท


ไอ.เอ็น.เอ็น. : รัฐมนตรีช่วยคลัง เสนอ แปลงหนี้เงินกู้ รฟม. ที่ใช้ก่อสร้างรถไฟฟ้าสายเฉลิมพระเกียรติมหานคร 1,274 ล้านเหรียญสหรัฐจากเงินเยนเป็นเงินบาท คาด ได้กำไร 11,000 ล้านบาท   นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่าสำหรับรายการเงินกู้ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในประเทศไทย หรือรฟม.ซึ่งเป็น 1 ใน 7 รายการที่กระทรวงการคลังโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเห็นสมควรให้ดำเนินการแปลงหนี้จากสกุลเงินต่างประเทศเป็นเงินบาทหรือรีไฟแนนซ์ ซึ่งมีวงเงินเทียบเท่า 1,274 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ จากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น หรือ เจบิค สกุลเงินเยน สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมพระเกียรติมหานครนั้น สามารถใช้วิธีแปลงหนี้ หรือ ทำสวอปจากจากสกุลเงินเยนเป็นเงินบาท ซึ่งในสภาวะการที่เงินบาทแข็งค่าขณะนี้การทำสวอปแทนที่จะถือเงินกู้เยนในระยะยาวจะเป็นการประหยัดวงเงินใช้หนี้โดยรวมได้มากคิดเป็นกำไรสูงถึง 1,100 ล้านบาท  ทั้งนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการการะทรวงการคลังกล่าวว่าจะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือการประชุมหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคมในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้


 


คลังรีไฟแนนซ์หนี้รัฐวิสาหกิจ1แสนล้าน ลดแรงกดดันบาทแข็ง


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมรีไฟแนนซ์หนี้เงินกู้รัฐวิสาหกิจในวงเงิน 3.18 พันล้านดอลลาร์ภายใน 4 เดือนข้างหน้า เพื่อหวังลดแรงกดดันเงินบาทที่แข็งค่าในขณะนี้   "หลังจากที่รมว.คลังได้แถลงนโยบาย เกี่ยวกับการดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ระดับที่เหมาะสม ด้วยมาตรการรีไฟแนนซ์หนี้ต่างประเทศภาครัฐ กระทรวงการคลังพบว่ามีความสมควรที่จะต้องดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้รัฐวิสาหกิจเพิ่มเติมอีก 7 โครงการวงเงิน 3.183 พันล้านเหรียญสหรัฐ"นายสมหมาย กล่าว


 


สำหรับการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในช่วงบ่ายของวันนี้ (18 ก.ค.) ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐถือว่าอ่อนค่าสุดในรอบสัปดาห์ โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเข้าแทรกแซงของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)โดยเมื่อเวลาประมาณ 17.11 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 33.47/49 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเช้าอยู่ที่ 33.40/45 ขณะที่ค่าเงินบาทในตลาด offshore อยู่ที่ 30.23/32 จาก 30.40/50 ช่วงเช้า   นักค้าเงินให้ควาเห็นว่า ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงบ่ายอ่อนค่าลงพอสมควร เพราะธปท.เข้ามาไล่ซื้อดอลลาร์ตั้งแต่เช้า ขณะที่ตลาดเองก็ยังจับตารอดูมาตรการที่จะออกมา เพื่อป้องกันไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากจนเกินไป  ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ในวันนี้ นักค้าเงินให้ความเห็นว่า ไม่ได้มีผลต่อเงินบาทมากนัก เนื่องจากเป็นการปรับลดลงเพียงเล็กน้อย


 


จับตาเอสเอ็มอีทยอยล้มตาย
ไทยรัฐออนไลน์ : นายธนิต โสรัตน์ รองเลขาธิการสายงานเศรษฐกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยหลังการหารือกับประธานกลุ่มอุตสาหกรรม 35 กลุ่ม ถึงผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นว่า ผลกระทบขณะนี้คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวิกฤติปี 2540 เพราะปัญหาเริ่มต้นจากการที่เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ทำให้ภาคส่งออกมีปัญหา จากรายได้ส่งออกที่ลดลง และการที่เงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เป็นเพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่การเข้ามาลงทุนแบบถาวร จึงไม่ได้ช่วยให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมของไทยดีขึ้นมากนัก


"การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นทุกๆ 1 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จะทำให้กำไรภาคธุรกิจลดลง 10% และหากค่าเงินบาทไปอยู่ที่ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องนุ่งห่ม สิ่งทอ ยาง รองเท้า อัญมณี ที่มีแรงงานในระบบกว่า 5 ล้านคน ต้องทยอยปิดกิจการไม่น้อยกว่า 50% จากที่มีอยู่ ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว มีมูลค่ารวมกันสูงถึง 20% ของมูลค่าการส่งออกรวมของประเทศที่มีอยู่ปีละ 1.46 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ"


นายธนิตกล่าวว่า  ไม่ว่ารัฐจะมีมาตรการใดมาใช้กดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง ส.อ.ท.ก็ยังเชื่อว่าค่าเงินบาทจะยังแข็งค่าต่อเนื่องไปอีก 3 เดือนข้างหน้า (ส.ค.-ต.ค.) ดังนั้น เมื่อรัฐบาลแก้ปัญหาให้เงินบาทอ่อนค่าลงไม่ได้ จากนี้ไปคงได้เห็นผู้ประกอบการขนาดเล็กและกลางทยอยล้มตายไปจากระบบ ทั้งกลุ่มเอสเอ็มอีขนาดเล็ก, โรงอบไม้, โรงงานน้ำตาล, เกษตรแปรรูป สินค้าหัตถกรรมจากไม้ และ เซรามิก เป็นต้น เนื่องจากอุตสาหกรรมกลุ่มนี้ เกี่ยวข้องกับภาคเกษตร และใช้วัตถุดิบในประเทศเพื่อการส่งออก และยังมีต้นทุนค่าขนส่งด้วย "ล่าสุดสมาชิก ส.อ.ท. ภาคเหนือแจ้งว่า สินค้าหัตถกรรมและเซรามิก มียอดขายทั้งในและต่างประเทศลดลง จากกำลังซื้อในประเทศตกต่ำและเงินบาทแข็งค่าทำให้ส่งออกลดลง โดยยอดขายลดลงแล้ว 30% จากต้นปี ถือว่าน่าห่วงมาก นอก เหนือจากที่รัฐมัวห่วงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น สิ่งทอ ยางพารา รองเท้า"


นายธนิตยังกล่าวว่า ส.อ.ท.ต้องการให้รัฐบาลตั้งกองทุนช่วยเหลือเอสเอ็มอี เพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวกขึ้น จากขณะนี้เกือบทุกกิจการกำลังขาดสภาพคล่อง เพราะสถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยกู้ โดยขอให้รัฐนำเงินทุนสำรองที่มีกว่า 82,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มาตั้งเป็นกองทุน 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ สมาชิก ส.อ.ท.มีข้อสรุปที่จะเสนอรัฐบาล โดยจะยื่นให้นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว. อุตสาหกรรมวันที่ 19 ก.ค. ดังนี้ 1. ขอให้ผ่อนผันให้ผู้ประกอบการถือครองเงินสกุลต่างประเทศได้โดยไม่มีกำหนด, ลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการถอนเงินเพื่อนำไปใช้หนี้ต่างประเทศ 


2. ให้ผู้ส่งออกชำระค่าวัตถุดิบหรือค่าใช้จ่ายอื่นที่เสนอขายเป็นเงินเหรียญสหรัฐฯ จากปัจจุบันเมื่อต้องชำระจริง ต้องจ่ายเป็นเงินบาท 3. ให้เร่งรัดการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ผู้ส่งออกเร็วขึ้น และให้กรมศุลกากรเร่งรัดคืนภาษีอากรตาม ม.19 ทวิ 4 และขอให้ปรับเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงิน จากปัจจุบันไม่สามารถใช้หลักประกันในต่างประเทศมาเป็นหลักทรัพย์ ค้ำประกันได้ 5. รัฐบาลต้องมีมาตรการที่ชัดเจนและปฏิบัติให้เห็นผลในระยะสั้น เพื่อทำให้ค่าเงินบาทสู่ภาวะปกติและใกล้เคียงกับเงินสกุลอื่นในอาเซียน 6. รัฐควรทำให้ตลาดซื้อขายเงินตราต่างประเทศเหลือเพียงตลาดเดียวจากปัจจุบันมี 2 ตลาดคือ ตลาดซื้อขายในประเทศ (ออนชอร์) และต่างประเทศ (ออฟชอร์)  


นายสมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ให้รัฐบาลระวังค่าเงินบาทในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ให้ดี เพราะมีแนวโน้มว่าจะแกว่งตัวมากกว่า 6 เดือนแรก และมีโอกาสที่เงินบาทจะแข็งค่าในระดับ 30-32 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเกิดจากยักษ์ใหญ่คือจีนและญี่ปุ่น ปรับฐานทุนสำรองของตัวเอง และนำเงินทุนสำรองไปลงทุนในตลาดเงินทุนในต่างประเทศ โดยขณะนี้เริ่มมีสัญญาณให้เห็นแล้ว จากค่าเงินบาทในตลาดออนชอร์สูงกว่าออฟชอร์ ดังนั้น รัฐบาลควรทำให้ค่าเงินบาทอยู่ในระดับเดียวกัน ด้วยการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เพื่อทำให้เงินทุนไหลเข้าออกสะดวกขึ้น จะช่วยลดการเก็งกำไรค่าเงินบาทได้ และต้องเปิดให้ธนาคารพาณิชย์รับฝากเงินตราต่างประเทศให้เร็วที่สุด.


นานาชาติสงวนท่าขานรับ ข้อเสนอใหม่ดับบลิวทีโอ


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ประเทศต่างๆ ออกมาแสดงท่าทีแตกต่างกันไป ต่อข้อเสนอของคณะแกนนำเจรจากรอบการค้าโลกรอบโดฮา ที่เสนอให้สหรัฐลดเงินอุดหนุนภาคเกษตรกรรมลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 16,200 ล้านดอลลาร์ต่อปี เทียบกับปัจจุบันที่ 19,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมให้บรรดาประเทศตลาดเกิดใหม่ ลดการเรียกเก็บภาษีนำเข้าอุตสาหกรรมลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 23%  ข้อเสนอดังกล่าว มีเป้าหมายอยู่ที่การผ่าทางตันที่ดำเนินมานานเกือบ 6 ปี ในการเจรจาเพื่อเปิดเสรีการค้าโลก ที่เปิดฉากขึ้นในกรุงโดฮา ของกาตาร์เมื่อปี 2544


 


นายปาสกัล ลามี ผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) แสดงความเห็นว่า ประเทศสมาชิกอาจไม่พอใจเต็ม 100% กับข้อเสนอใหม่ที่ออกมา แต่ความแตกต่างของประเทศสมาชิกในวันนี้ มีอยู่ในปริมาณน้อยกว่าเรื่องที่จะรวมพวกเขาให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ ซึ่งขณะนี้ก็มีข้อเสนอที่น่าประทับใจออกมาแล้ว ดังนั้น ในอีกไม่กี่สัปดาห์ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่บรรดาสมาชิก จะต้องพยายามเอาชนะความแตกต่าง และบรรลุข้อตกลงใน 2 ภาคอุตสาหกรรม ที่ถือเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จของการเจรจาการค้าในครั้งนี้


 


ด้านสหรัฐยังสงวนท่าทีต่อข้อเสนอในการเจรจาการค้าโลกที่มีความประนีประนอมมากขึ้น แต่แสดงความหวังว่า ในที่สุดแล้วข้อเสนอใหม่นี้จะช่วยให้ชาติสมาชิกบรรลุข้อตกลงกันได้  ส่วนคณะกรรมาธิการยุโรป แถลงว่า ข้อเสนอใหม่ข้างต้น ถือเป็นความคืบหน้าที่มีประโยชน์อย่างมาก และจะหารือกับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ก่อนที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ต่อที่ประชุมดับบลิวทีโอสัปดาห์หน้า


 


 






ต่างประเทศ


 


เริ่มเจรจา 6 ฝ่ายนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ


กระแสหุ้นออนไลน์ : รายงานข่าวระบุว่า การเจรจาหกฝ่ายที่มีเป้าหมายเพื่อยุติปัญหานิวเคลียร์เกาหลีเหนือรอบใหม่เริ่มขึ้นแล้วที่กรุงปักกิ่ง ของจีน (18 ก.ค.) หลังจากทูตของทั้งหกชาติได้เปิดเจรจาระดับทวิภาคีก่อนหน้า ทั้งนี้การเจรจาหกฝ่าย ประกอบด้วย ผู้แทนจากเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย และสหรัฐฯ มีกำหนดเสร็จสิ้น ในเวลาสองวัน  ด้านทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) เผยได้ตรวจพิสูจน์แล้วว่าเกาหลีเหนือได้ปิดโรงงานนิวเคลียร์ทั้ง 5 แห่งแล้ว นับเป็นก้าวสำคัญในการพยายามทำให้เกาหลีเหนือยกเลิกการดำเนินโครงการนิวเคลียร์ทั้งหมด--จบ--


 


อิรักรายงานยูเอ็น ถึงการเมืองภายในประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือ


ศูนย์ข่าวแปซิฟิค : เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากรัฐบาลอิรักจะเข้าบรรยายสรุปความก้าวหน้าในการปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศที่ได้ให้คำมั่นไว้เพื่อแลกกับความช่วยเหลือจากต่างประเทศและการยกเลิกหนี้ต่อที่ประชุมสหประชาชาติหรือ ยูเอ็น ในวันศุกร์นี้  การบรรยายสรุปดังกล่าวเป็นโอกาสของอิรักที่จะคลายความกังวลของนานาชาติ โดยเฉพาะสหรัฐที่กล่าวหาว่าอิรักมีความคืบหน้าในมาตรการสร้างความปรองดองในชาติช้ามาก ขณะเดียวกัน สหรัฐก็ถูกแรงกดดันจากภายในประเทศมากขึ้นในการถอนกำลังทหารออกจากอิรัก


 


นางมารี โอกาเบ รองโฆษกยูเอ็น เปิดเผยเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่อิรักจะเข้าหารือกับผู้บริหารระดับสูงของยูเอ็นในเรื่องความก้าวหน้าของความช่วยเหลือจากต่างประเทศเพื่อทำให้อิรักเป็นรัฐที่มีความมั่นคง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและเป็นประชาธิปไตยเต็มตัวภายในปี 2555 ตามกรอบที่วางไว้ในที่ประชุมที่อียิปต์ เมื่อเดือนพฤษภาคม  ด้าน นายบัน คีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวภายหลังหารือกับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้นำสหรัฐ ที่กรุงวอชิงตัน ย้ำว่าปัญหาของอิรักเป็นปัญหาร่วมของทั้งโลก เขาจะพยายามผลักดันกระบวนการความช่วยเหลือต่างประเทศต่ออิรัก และยูเอ็นจะพยายามสร้างความมั่นคงทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของอิรักให้ยั่งยืนต่อไป


 


เมืองกาชิวาซากิของญี่ปุ่นมีคำสั่งให้โรงนิวเคลียร์ปิดทำการต่อไปจนกว่าจะมีการรับรองด้านความปลอดภัยหลังเกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสี


กรมประชาสัมพันธ์ : เมืองกาชิวาซากิของญี่ปุ่นมีคำสั่งให้โรงนิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกปิดทำการต่อไปจนกว่าจะมีการรับรองด้านความปลอดภัยหลังเกิดแผ่นดินไหวทำให้สารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหล ทั้งนี้บริษัทโตเกียว อิเล็กทริค  พาวเวอร์  หรือเท็ปโก้ เจ้าของโรงนิวเคลียร์ดังกล่าวรายงานว่า  พบปัญหาถึง  50  จุดที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์กาชิวาซากิ-การิวา ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นหลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด  6.8  ริคเตอร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าระดับของสารกัมมันตภาพรังสีในน้ำที่รั่วไหลออกมามีปริมาณมากขึ้น  ทางด้านนายโมฮัมเหม็ด  เอลบาราดี  ผู้อำนวยการไอเออีเอ.กล่าวว่า  แผ่นดินไหวครั้งนี้มีความรุนแรงมากกว่าความทนทานที่บริษัท เท็ปโก้ออกแบบไว้ให้กับเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์  พร้อมกับเรียกร้องให้ทำการสอบสวน หาสาเหตุที่ทำให้เกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตภาพรังสี  สำหรับโรงงานนิวเคลียร์แห่งนี้จัดส่งกระแสไฟฟ้าเกือบ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น  เคยเกิดอุบัติเหตุหลายครั้งเมื่อหลายปีก่อนและมีประวัติเกี่ยวกับความไม่ได้มาตรฐานด้านความปลอดภัยด้วย.


 



เครื่องบินบราซิลไถลรันเวย์ พุ่งชนตึกไฟลุกท่วม ดับ200


ผู้จัดการรายวัน :  รอยเตอร์/เอเอฟพี - เครื่องบินสัญชาติบราซิลลื่นไถลออกนอกรันเวย์ในเมืองเซาเปาลู และพุ่งชนอาคารด้านนอกท่าอากาศยานจนเกิดระเบิดเพลิงลุกไหม้ เมื่อวันอังคาร(17) เกรงว่าจะมีผู้เสียชีวิตราว 200 คน นับเป็นอุบัติเหตุทางอากาศร้ายแรงครั้งที่ 2 ในรอบไม่ถึงปีของบราซิล  โฆเซ แซร์ร่า ผู้ว่าการรัฐเซาเปาลูระบุว่า หน่วยกู้ภัยบอกเขาว่า ผู้โดยสารและลูกเรือ 176 คนบนเครื่องของสายการบินแทมแอร์ไลน์ส เที่ยวบิน 3054 น่าจะเสียชีวิตยกลำ เพราะอุณหภูมิเพลิงไหม้ในที่เกิดเหตุนั้นสูงประมาณ 1,000 องศาเซลเซียส


 


 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net