Skip to main content
sharethis

กกต.ส่งสัญญาณอะไรมาในพื้นที่เชียงใหม่


 


เมื่อในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา บุคคลระดับ กกต.กลางลงพื้นที่นี้ต่อเนื่องกันถึง 2 ครั้งติดๆ


 


ท่านหนึ่งเป็นประธานกกต. อีกท่านหนึ่งเป็นกกต.ที่ดูแลงานด้านการสืบสวนและสอบสวน


 


จะว่ากกต.กลางให้ความสำคัญกับการมาเปิดและปิดการอบรมพนักงานสืบสวนสอบสวนของกกต.ภาคเหนือก็อาจมองได้ แต่กระบวนท่าที่นำเสนอต่อสื่อถึงคดีความที่อยู่ในศาลปกครองเชียงใหม่เรื่องของผู้สมัครนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่แล้ว


 


ความเตรียมพร้อมของการให้สัมภาษณ์ พร้อมมีเอกสารชี้แจงหลักฐานครบกระบวนท่านี้ นับว่าเป็นหมัดตรงและหนักยิ่ง !!


 


เค้าลางของอนาคตเก้าอี้นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ จะจับทิศได้จากนัยยะของ 2 กกต.ที่สะท้อนมาครั้งนี้หรือไม่ .... ต้องอ่านเกมให้ซึ้ง


 


ยันคำสั่งกกต.ไม่ใช่คำสั่งทางปกครอง


 


12 ก.ค. 50 ก่อนหลังเปิดการอบรมพนักงานสืบสวนสอบสวน ประธานกกต.กลาง "อภิชาต สุขัคคานนท์" เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนซักข้อสงสัยทุกอย่างในคดี "เดือนเต็มดวง" พร้อมบอกด้วยว่าได้ชี้แจงข้อเท็จจริงการทำหน้าที่ต่ออธิบดีศาลปกครองเชียงใหม่ไปแล้วหลายกรณี


 


ประเด็นศาลปกครองมีอำนาจรับฟ้องคดีนี้หรือไม่นั้น กกต.ยืนยันว่าไม่ใช่หน่วยงานทางปกครอง และคำสั่งของกกต.ไม่ใช่คำสั่งทางปกครอง ด้วยเหตุผลและหลักฐานหลายประการ


 


1. กกต.ชุดนี้เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2549 ประกอบกับประกาศคปค. หลายฉบับ ที่กฏหมายกำหนดเพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน กกต.จึงเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุม จัดการเลือกตั้ง และสืบสวนสอบสวนวินิจฉัยชี้ขาดลักษณะการใช้อำนาจที่มีสภาพเสร็จเด็ดขาด


 


2.ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยไว้เมื่อปี 2543 ว่า "การใช้อำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งในการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 145(3) เป็นการใช้อำนาจดังเช่นตุลาการ"


 


3.คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2546 ก็ระบุไว้อีกว่า "คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาด เพราะเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่จัดการเลือกตั้งชี้ขาดได้เอง เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว สุจริต และเที่ยงธรรม คำวินิจฉัยสั่งการคณะกรรมการการเลือกตั้งมิใช่คำสั่งทางปกครองหรือการใช้อำนาจทางการบริหาร ที่กฎหมายให้อำนาจคณะกรรมการการเลือกตั้งสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นตามกฎหมาย ถือเป็นยุติ" ดังนั้นเมื่อกกต.วินิจฉัยไปแล้ว ย่อมไม่อาจนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้


 


4. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 (2) มาตรา 5 กำหนดว่า มิให้ใช้กับองค์กรที่ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้เคยมีคำวินิจฉัยเมื่อปี 2543 ว่า "คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นองค์กรที่มีขึ้นตามรัฐธรรมนูญ มิใช่หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชา หรือในกำกับดูแลของรัฐบาล" ดังนั้น กกต.เห็นว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะพิจารณา


 


 


เสียภาษีรวบยอดไม่รับเป็นหลักฐาน


ประเด็นเสียภาษีโรงเรียนและที่ดิน ประธานกกต.อธิบายว่า หลักฐานที่นำมาแสดงเป็นใบเสร็จการเสียภาษีแบบรวบยอดตั้งแต่ปี 2546-2550 เพียงครั้งเดียวเพื่อให้มีผลย้อนหลัง 4 ปีในฐานะผู้เช่า ซึ่งเอกสารนี้นำมาเป็นหลักฐานยืนยันคุณสมบัติไม่ได้เพราะไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ตามบทบัญญัติกฎหมาย ที่ให้ "เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินตามกฎหมายภาษีบำรุงท้องที่ให้กับองค์กรท้องถิ่นนั้นเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี"


 


ส่วนสัญญาเช่าที่มีการระบุว่า ผู้เช่าเป็นผู้ชำระภาษีผ่านผู้ให้เช่านั้น นิติกรรมที่เป็นบุคคลสิทธิ์ผูกพันระหว่างกันเองนั้น ไม่สามารถใช้ยันต่อรัฐได้ จึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง การเพิกถอนสิทธิดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว


 


"เราตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียด พิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งและยืนยันว่ามีความเป็นธรรมในการวินิจฉัยคำสั่ง" ประธานกกต.ยืนยัน


 


 


มติไม่เอกฉันท์ไม่เกี่ยว


16 ก.ค.50 ก่อนพิธีปิดการอบรมเดียวกัน "สมชัย จึงประเสริฐ" กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ให้สัมภาษณ์สื่ออีกครั้ง แจงรายละเอียดในประเด็นที่ยังคลางแคลง


 


นายสมชัยกล่าวว่า การตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครรายนี้ เริ่มจากกกต.ท้องถิ่นผ่านคุณสมบัติมา แต่เมื่อมีผู้ร้องคัดค้านไปยังกกต.จังหวัด ตามหลักอำนาจการพิจารณา ต้องร้องไปกกต.กลาง แต่ด้วยเป็นเรื่องที่ระดับจังหวัดทำได้ กกต.กลางก็มอบอำนาจให้กกต.จ.เป็นผู้พิจารณา เมื่อมอบอำนาจแล้วพิจารณาอย่างไรตามหลักก็จบเท่านั้น แต่กรณีนี้ กกต.จ.วินิจฉัยต่างจาก กกต.ท้องถิ่น และผู้สมัครคือรอ.หญิงเดือนเต็มดวงร้องขอความเป็นธรรมมา กกต.กลางจึงพิจารณาทั้งรายงานของกกต.จ.และการร้องขอความเป็นธรรมนี้ไปพร้อมกัน และเห็นว่าการที่กกต.จ.ไม่รับสมัครนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว


 


"ใบเสร็จการเสียภาษีนั้น เป็นการทำสัญญาเช่ากับผู้เช่าที่ใช้ยันกันเอง ไม่สามารถใช้แสดงว่าตัวเองเป็นผู้เสียภาษี เป็นเพียงสิทธิตามสัญญา ไม่ใช่สิทธิตามกฎหมาย"


 


ส่วนประเด็นมติไม่เป็นเอกฉันท์ 3ต่อ 1 นั้น นายสมชัยแจงว่า การวินิจฉัยครั้งนี้เป็นการวินิจฉัยว่าคำวินิจฉัยของกกต.จ.ชอบหรือไม่ จึงใช้เสียงส่วนใหญ่ ไม่ใช่วินิจฉัยในเนื้อหาว่าขาดคุณสมบัติ ซึ่งหากกกต.เห็นว่าต้องกลับคำวินิจฉัยต่างไปจากที่กกต.จ.วินิจฉัยมาแล้ว ถึงจะต้องใช้มติเอกฉันท์ แต่นี่ไม่ใช่!!


 


 


หมัดเด็ด ! คำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุดโต้


นอกจากคำอธิบายย้ำแล้ว กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยผู้นี้ ยังพ่วงหลักฐานเด็ดคือคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ในเรื่องที่คล้ายคลึงกันมาด้วย


 


ด้วยศาลปกครองสูงสุดมีคำวินิจฉัยเมื่อปี 2550 คดีผู้สมัครนายกเทศมนตรี ต.นาหว้า อ.นาหว้า จ.นครพนม ฟ้องผอ.กกต.ท้องถิ่น โดยอ้างถึง "ศาลรัฐธรรมนูญที่มีคำวินิจฉัยเมื่อปี 2546 ว่า การที่คณะกรรมการการเลือกตั้งใช้อำนาจหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งตามกฎหมายมาตรา 149 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ"


 


"ด้วยความเคารพต่อคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น จ.เชียงใหม่ แต่ว่ากรณีนี้คำวินิจฉัยของศาลปกครองชั้นต้นน่าจะไม่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด"


 


 


ใครจะจ่ายถ้าเลือกตั้งใหม่ ?


นายสมชัย ยังกล่าวด้วยว่า กรณีนี้ หากศาลปกครองชั้นต้นเชียงใหม่ประสงค์จะคุ้มครองประโยชน์ผู้ฟ้องคดี แต่เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ใคร น่าจะให้ชะลอหรือขยายการเลือกตั้งไปก่อน เช่นที่เคยมีการทำมาก่อนหน้านี้หลายครั้ง ปัญหาก็จะไม่กระทบกับผู้ใด แต่การที่มีการเลือกตั้งไป ต่อไปข้างหน้าเมื่อมีการเพิกถอนสิทธิ์ และต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้งใหม่ 8 ล้านบาท ใครจะรับผิดชอบ กกต.คงรับไม่ไหว และต้องถามเทศบาลนครเชียงใหม่ว่ารับอีกครั้ง ไหวหรือไม่


 


"ค่าเสียหายนี้ ไม่มีคนรับผิดชอบ ไม่เคยปรากฏมาก่อน หากการพ้นจากตำแหน่งโดยการร้องเรียนเรื่องอื่นและมีการให้ใบเหลือใบแดง ยังสามารถให้ชดใช้ค่าเสียหายได้ แต่การพ้นโดยเพิกถอนสิทธิ์ไม่มีการเขียนไว้ แล้วใครจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตรงนี้"


 

ถอดรหัส นัยยะการมาของ 2 กกต.นี้ บอกได้เพียงว่า หมัดตรงชุดนี้ หนักและเข้าเป้าจนถึงขั้น

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net