ผศ.ดร. กนกวรรณ มะโนรมย์
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ที่มาของภาพ http://www.searin.org
ตามที่รัฐบาลยุคปัจจุบันมีมติครม. ให้ปิดเขื่อนปากมูลทั้งปีโดยมีเหตุผลคือเพื่อรักษาระดับน้ำไว้ในแม่น้ำมูล ระหว่าง 106-108 มร.ทก. เป็นการตัดสินใจโดยขาดหลักการทางวิชาการและขาดการคำนึงถึงการฟื้นฟูระบบนิเวศและเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน พอเพียง และพึ่งตนเองบนฐานทรัพยากรธรรมชาติ ที่สามารถลดการพึ่งพาทุนจากข้างนอก ของคนกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่และกลุ่มคนเมืองที่อาศัยแม่น้ำมูลหล่อเลี้ยงชีวิต
ทั้งที่ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมานั้นประตู เขื่อนปากมูลได้เปิด 4 เดือน (ระหว่างพฤษาคม-สิงหาคม) และ ปิด 8 เดือน ซึ่งตั้งอยู่บนฐานวิชาการระดับหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านจำนวนมากกว่า 6000 ครอบครัวในพื้นที่เขื่อนปากมูลโดยตรง ใน 3 อำเภอคือพิบูลมังสาหาร สิรินธรและโขงเจียม และชาวบ้านยากจนกลุ่มอื่นๆในเขตเทศบาลเมืองวารินชำราบ และอุบลราชธานีที่อาศัยตลอดริมแม่น้ำได้ประโยชน์ในการจับปลากินและขายจากการเปิดประตูเขื่อนปากมูลแม้จะเปิดเพียง 4 เดือนก็ตาม
มติครม. เดือนมิถุนายน 2550 ให้ปิดประตูเขื่อนเพื่อรักษาระดับน้ำในเขื่อนนั้นไม่มีฐานคิดทางวิชาการรองรับ เนื่องจากขาดข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์สนับสนุนการตัดสินใจโดยเฉพาะความเชื่อมโยงระหว่างระบบนิเวศ วิถีชีวิตการพึ่งตนเองของชุมชน ดังนั้นการพิจารณาการปิดประตูเขื่อนปากมูลจึงต้องคำนึงถึงข้อมูลทางวิชาการ ดังนี้
1. การอพยพของปลาระหว่างแม่น้ำโขงและแม่น้ำมูล
การที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเปิดประตูเขื่อนปากมูลตลอดปี 2543 ได้มีการศึกษาด้านประมงของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีใน 25 สถานี (เหนือเขื่อน 9 สถานี ใต้เขื่อน 9 สถานี และสถานีในลำน้ำสาขาของแม่น้ำมูล อีก 7 สถานี) พบว่าพันธุ์ปลาในลำน้ำมูลมีมากถึง 184 ชนิด ในจำนวนนี้พบชนิดปลาที่มีการแพร่พันธุ์ในแม่น้ำโขงจำนวน 27 ชนิด ปลาหายาก 21 ชนิด ซึ่งพบในเดือนมิถุนายน และเดือน พฤศจิกายนตามลำดับ ซึ่งน่าจะสรุปได้ว่าประชากรปลาอพยพมาจากแม่น้ำโขงสู่แม่น้ำมูลในเดือนมิถุนายนและกลับสู่แม่น้ำโขงอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน
ข้อมูลการศึกษาของนักวิชาการอื่นๆ (ที่ใช้วิธีการศึกษาที่หลากหลาย) เกี่ยวกับการสำรวจพันธุ์ปลาในแม่น้ำมูลดังนี้
ปีที่ศึกษา | ช่วงเวลาเปรียบเทียบ กับเขื่อน | พื้นที่สำรวจ | ผู้สำรวจ | ชนิดปลาที่พบ |
2512 | ก่อนมีเขื่อน | จากพิมายถึงอุบล | อำนวยและนิพนธ์ | 112 |
2534 | ช่วงก่อสร้างเขื่อน | แม่น้ำมูลตอนล่าง | วรารัตน์และคณะ | 59 |
2535 | ช่วงก่อสร้างเขื่อน | จากโคราชถึงอุบล | ไมตรีและสันทนา | 70 |
2536 | ช่วงก่อสร้างเขื่อน | บริเวณเขื่อน | สัทนาและคณะ | 51 |
2537 | ช่วงปิดเขื่อน | บริเวณเขื่อน | ปราณีตและคณะ | 71 |
2542 | ช่วงปิดเขื่อน | จากแก่งสะพือถึงหน้าเขื่อน | ทวนทองและคณะ | 56 |
2542 | ช่วงปิดเขื่อน | อุบลจากถึงบริเวณเขื่อน | คณะกรรมการเขื่อนโลก | 96 และ ปลา 56 ชนิดสูญหายไปจากแม่น้ำมูล |
2543-44 | ช่วงเปิดเขื่อนตลอดปี | บริเวณเขื่อนทั้งเหนือ ใต้เขื่อนและลำน้ำสาขา | คณะนักวิจัยด้าน ประมง ม.อุบลราช ธานี | 184 |
โดยรวมแล้วจะพบว่าชนิดพันธุ์ปลาที่พบในแม่น้ำมูลก่อนการสร้างเขื่อนปากมูลมีมากชนิดกว่าที่พบในช่วงระหว่างการก่อสร้างและหลังมีเขื่อนปากมูล และพบชนิดปลามากขึ้นอีกครั้งหลังจากการมีการเปิดประตูระบายน้ำเขื่อนปากมูลในปี 2543-44
นอกจากนี้ นักวิชาการประมงจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีพบว่าการพบชนิดปลาที่มากมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการที่ชาวบ้านมีการจับปลาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ดูจากผลจับต่อหน่วยการลงแรงงานต่อวัน- Catch per Unit of fishing efforts: CPU)
2. มีมุมมองรอบด้านระหว่างความเกื้อกูลของระบบนิเวศกับชีวิตชาวบ้าน
จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปี 2543-44 โดยการใช้แบบสอบถาม ใน 22 หมู่บ้านตัวอย่างและสุ่มตัวอย่างประชากรประมาณ 30% ในแต่ละหมู่บ้านที่เป็นตัวอย่าง ได้จำนวนผู้ให้ข้อมูลจำนวน 899 คน พบว่ารายได้หลักสำคัญของชาวบ้านที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านมาจากการขายปลาตามฤดูกาลที่จับได้จากแม่น้ำมูลโดยเปรียบเทียบช่วงก่อนมีเขื่อน หลังมีเขื่อน และระหว่างการเปิดประตูเขื่อนให้มีการศึกษา (ปี 2543) ดังตารางนี้
ตารางแสดงรายได้จากการจับปลาเปรียบเทียบกับรายได้จากแหล่งอื่นๆ (บาท/ปี)
ช่วงปี | รายได้เงินสดจากประมง | รายได้จากเกษตร(ทำนาและอื่นๆ) | รายได้จากการรับจ้างต่างถิ่น |
ปี 2533 | 25,742 | 12,518 | 20,099 |
ระหว่างสร้างและหลัง มีเขื่อนนับจากปี 2533 | 3,045 | 11,113 | 36,905 |
ระหว่างเปิดประตูเขื่อนปี 2543 | 10,025 | 7,720 | 36,957 |
ที่มา: มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (2545)
มีคำอธิบายสำคัญสองประการจากข้อมูลในตารางนี้
ประการแรก รายได้จากปลาเปรียบเทียบระหว่างก่อนมีเขื่อน ระหว่างมีเขื่อน และระหว่างการเปิดประตูเขื่อน พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด การเปิดประตูเขื่อนปากมูลตลอดปีทำให้ชาวบ้านมีรายได้จากการจับปลามากขึ้นอย่างเห็นชัดเจนแม้ว่าจะต่ำกว่ารายได้ที่เคยได้จากการจับปลาในช่วงก่อนที่จะมีเขื่อน
ประการที่สอง หากเปรียบเทียบรายได้จากปลากับการทำกิจกรรมด้านอื่นๆ เช่น ภาคเกษตร (ทำนา ปลูกพืช) โดยเฉลี่ยพบว่ารายได้จากภาคเกตรมีน้อยกว่ารายได้จากประมง เนื่องจาก ความอุดมสมบูรณ์ของดินมีระดับต่ำ พื้นที่ทำกินอยู่ในเขตภูเขา โดยเฉพาะอำเภอโขงเจียม นอกจากนี้แม้รายได้จากการย้ายถิ่นจะสูงมากที่สุดแต่ชาวบ้านต้องแลกเปลี่ยนกับต้นทุนทางสังคมของที่ค่อยๆหายไป เช่น ความอบอุ่นในครอบครัวที่ญาติพี่น้องไม่ได้อยู่ร่วมกัน
3. การใช้น้ำชลประทานเพื่อการเกษตร
การสำรวจปี 2543-44 ของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พบว่า การปลูกข้าวส่วนใหญ่อาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ส่วนการใช้น้ำมูลจากการสูบด้วยไฟฟ้าที่มีสถานี 16 แห่ง (ม.อุบลราชธานีศึกษา 9 สถานีได้แก่ สถานีบ้านทรายมูล ท่าเสียว โนนข่า หนองโพธิ์ ท่าช้าง วังแคน ดอนชี คันเปือย และสุวรรณวารี) พบว่า ชาวบ้านขอใช้น้ำจากการสูบน้ำด้วยไฟฟ้า ช่วงหน้าแล้งเพื่อปลูกข้าวนาปรังไม่ค่อยนิยมในหมู่ชาวบ้าน (มีเพียง13 %) ส่วนมากขอน้ำปลูกแตงโม (61%) และปลูกพืชอื่นๆ และ บ่อปลา ประมาณ 26 %)
จำนวนพื้นที่รวมกันที่ใช้น้ำมูลที่สูบจากไฟฟ้ามีเพียง 2,426 ไร่ เท่านั้น (เพียง 10 %) หากเปรียบเทียบกับพื้นที่การเกษตรทั้งหมดในเขต 9 สถานีสูบน้ำ ที่มีมากถึง 24,200 ไร่
ส่วนการใช้น้ำสูบด้วยไฟฟ้าหน้าฝนเพื่อทำนาปีมักจะเกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูฝนในการหว่านกล้าช่วงฝนทิ้งช่วง เหตุผลสำคัญที่ชาวบ้านไม่ใช้น้ำที่สูบน้ำด้วยไฟฟ้าคือ ค่าน้ำมีราคาแพง ไม่คุ้มค่า และพื้นที่ไม่เหมาะสมในการเพาะปลูก
นอกจากนี้ยังพบว่าการเปิดประตูเขื่อนปากมูลไม่มีผลกระทบต่อการสูบน้ำเนื่องจากการออกแบบหัวสูบ สามารถที่จะมีการปรับขึ้นลงตามระดับน้ำได้ แต่บางสถานีมีปัญญาสูบไม่ได้นั้นไม่เกี่ยวกับการเปิดประตูเขื่อนปากมูล แต่เกิดขึ้นจากการขาดการประสานกันระหว่างเขื่อนปากมูลและผู้ดูแลสถานีสูบน้ำเท่านั้น
4. ความมั่นคงของระบบไฟฟ้า
การศึกษาของคณะกรรมการเขื่อนโลก สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งประเทศไทยต่างพบว่า เขื่อนปากมูลไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตามที่คาดการณ์เอาไว้คือ 136 เมกกะวัตต์
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในปี 2544 ในช่วงที่มีการเปิดประตูเขื่อนปากมูลทั้งปีนั้นพบว่าการที่เขื่อนปากมูลไม่ได้ผลิตกระแสไฟฟ้าตลอดปีไม่มีผลต่อปัญหาความมั่นคงทางพลังงานในภาคอีสานตอนล่างแต่ประการใด ดังนั้นการเปิดประตูเขื่อนปากมูลจึงไม่มีผลต่อความไม่เพียงพอและความมั่นคงของไฟฟ้า
5. กลุ่มใครบ้างที่จะได้รับผลกระทบกรณีปิดเขื่อนปากมูลเพื่อรักษาระดับน้ำ
กลุ่มแรกที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบายการปิดประตูเขื่อนปากมูลคือชาวบ้านมีทำการประมงอย่างน้อย 6,000 ครอบครัวตลอดลำน้ำมูลนับจากปากแม่น้ำมูลจนถึงเมืองอุบลราชธานี
ดังนั้น การเปิดเขื่อนปากมูลอย่างน้อย 4 เดือนดังที่เคยมีมาก่อนสามารถช่วยบรรเทาปัญหาการสูญเสียรายได้จากการประมงของชาวบ้าน การฟื้นฟูระบบนิเวศประมง เช่น เปิดเส้นทางธรรมชาติให้ปลาจากแม่น้ำโขงมาวางไข่และแพร่พันธุ์ในแม่น้ำมูลเพื่อเป็นอาหารและรายได้สำคัญของชาวบ้าน ตลอดจนให้ชาวบ้านสามารถดำรงชีวิตอย่างพอเพียงบนฐานทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)