ประชาไท - 9 ก.ค.2550 สืบเนื่องจากกรณีนักรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย นายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่มพลเมืองภิวัตน์และกรรมการแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ถูกนายทหารจากกองทัพภาคที่ 3 รวบขณะกำลังขึ้นเวทีปราศรัยต้านรัฐประหารและร่างรัฐธรรมนูญ ที่บริเวณสถานีขนส่งจังหวัดเชียงราย และถูกนำตัวไปกักไว้ในค่ายทหารเม็งรายมหาราช ระหว่างวันที่ 6-7 ก.ค. ที่ผ่านมา เครือข่ายนักวิชาการและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งประกอบด้วยอาจารย์จากสำนักงานสิทธิมนุษยชนฯ มหาวิทยาลัยมหิดล ตัวแทนจากสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน และคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน พร้อมด้วยคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ได้ร่วมกันจัดการแถลงข่าวที่สำนักงานมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม กรุงเทพฯ เพื่อประณามและเรียกร้องให้ทหารยุติการคุกคามสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นและการชุมนุมโดยสงบของประชาชน
ทั้งนี้ เครือข่ายนักวิชาการและ กปอพช. ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อให้สังคมได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความเห็นอย่างเต็มที่ก่อนลงประชามติเรื่องรัฐธรรมนู
"ตามปกติแล้ว กฎอัยการศึกเป็นกฎที่รัฐใช้กับเฉพาะพื้นที่ที่ตกอยู่ในภาวะศึกสงคราม จึงไม่มีเหตุผลใดที่รัฐบาลและกองทัพควรคงกฎอัยการศึกไว้ในพื้นที่ 35 จังหวัดซึ่งไม่มีภาวะศึกสงครามใด ๆ" นายสมบัติ บุญงามอนงค์ให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์ระหว่างการแถลงข่าว
"การคงกฎอัยการศึกไว้ ทำให้ประเทศไทยขณะนี้ถูกแบ่งแยกเป็นสองส่วน คือพื้นที่ที่คนสามารถแสดงความเห็นทางการเมืองไทย และพื้นที่กฎอัยการศึกที่ห้ามประชาชนแสดงความเห็นทางการเมือง" นายสมบัติกล่าว
นอกจากนี้ เครือข่ายนักวิชาการและองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชน ยังร่วมกันชี้ให้เห็นถึงอันตรายร้ายแรงของร่าง พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายใน พ.ศ. ... ที่ผ่านการเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้ว และมีเนื้อหาที่มอบอำนาจควบคุมทางการเมืองให้อยู่ในมือของทหารและกองทัพอย่างเบ็ดเสร็จ
"เนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.นี้ ก็คือการประกาศใช้กฎอัยการศึกเป็นการถาวรในทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย" นายจอน อึ้งภากรณ์ ประธาน กป.อพช. กล่าว
"ถ้า พรบ.นี้ผ่านออกมามีผลบังคับใช้จริง ประชาธิปไตยก็จะไม่มีความหมาย และเราก็คงไม่ต้องพูดถึงประเทศไทยในฐานที่เป็นประเทศประชาธิปไตยอีกต่อไป"
"ถ้าร่าง พ.ร.บ. ความมั่นคงภายในนี้ผ่านออกมาได้ ประเทศไทยจะเข้าสู่ยุคมืดเหมือนสมัยเผ่า ศรียานนท์ และสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และ พ.ร.บ.นี้จะกลายเป็นมรดกบาปที่จะสืบทอดต่อไปในอนาคต" รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล แกนนำเครือข่ายนักวิชาการฯ กล่าว
ในตอนท้าย เครือข่ายนักวิชาการฯ ได้ประกาศข้อเรียกร้องห้าข้อต่อรัฐบาลและกองทัพ คือ
1. รัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะผู้มีอำนาจในกองทัพ ยุติพฤติกรรมอันเป็นการข่มขู่ คุกคามและละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนโดยสิ้นเชิง และต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการประกาศยอมรับต่อสาธารณชนว่า การแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน
2. กองทัพต้องยุติการอ้างกฎอัยการศึกเพื่อการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรม ขัดต่อหลักการประชาธิปไตย และเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ทั้งนี้ รัฐบาลต้องประกาศยกเลิกการบังคับใช้กฎอัยการศึกในทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทยในทันที
3. กองทัพและรัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในครั้งนี้ โดยต้องให้การชดเชยเยียวยาแก่ผู้เสียหายที่ถูกละเมิด ทั้งต้องตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อเจ้าหน้าที่รัฐผู้ใช้อำนาจโดยมิชอบอย่างถึงที่สุด
4. หน่วยงานรัฐต้องร่วมมือกับภาคประชาสังคมในการทำหน้าที่ประกัน ส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน รวมทั้งทำหน้าที่ตรวจสอบและขจัดการใช้อำนาจเกินขอบเขตและไม่ชอบธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายต่างๆ
5. กองทัพและรัฐบาลต้องคืนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยให้กลับคืนสู่สังคมไทยโดยเร็วที่สุด