ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 30 มิถุนายน 2550

ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 30 มิถุนายน 2550

"ป๋าเปรม" สวมบทเตมีย์ใบ้-ไม่ให้ราคาม็อบนปก. - เหวงลั่นดาวกระจาย52จุดเน้นพารากอน - "ชัยอนันต์"ลุยการเมืองแย้มสนใจ"มัชฌิมา" - กอ.รมน.ภาค4ของบ510ล้านซื้ออาวุธดับไฟใต้ - "รมว.ทรัพย์ฯ" ลงกระบี่สั่งดูแล "เกาะลันตา" หลังถูกบุกรุกสร้างโรงแรม - กทม.ล้อมคอกภัยพายุถล่มเมืองสั่งรื้อป้ายมรณะ 28 จุดทั่วกรุงเทพฯ - นักวิชาการชี้อนาคตคอนโดฯห้องเล็ก-คุณภาพชีวิตตกต่ำ - พบระเบิดแรงสูงสองลูกในลอนดอนคาดเตรียมก่อวินาศกรรมรับรัฐบาลบราวน์

 





การเมือง

 

"ป๋าเปรม" สวมบทเตมีย์ใบ้-ไม่ให้ราคาม็อบนปก.

เว็บไซต์เดลินิวส์ - เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในทุกประเด็น โดยเฉพาะประเด็นที่นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ออกมาแจ้งความดำเนินคดีกับ พล.อ.เปรม ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และในประเด็นการเลื่อนวันเลือกตั้งให้เร็วขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ในระหว่างเป็นประธานเปิดงาน สหกรุ๊ป เอ็กซ์ปอร์ต เทรด แอนด์ เอ็กซิบิชั่น ของเครือสหพัฒน์นั้น ได้มีการักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยเป็นชุดรักษาความปลอดภัยของตำรวจ ที่มีรายงานว่า รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติส่งให้มารักษาความปลอดภัย พล.อ.เปรม ภายหลังถูก นปก.โจมตีและพยายามเคลื่อนขบวนชุมนุมไปยังหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์

 

สำหรับทีมรักษาความปลอดภัยของ พล.อ.เปรม นั้น บางคนเคยเป็นทีมรักษาความปลอดภัยให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาก่อน

 

เหวงลั่นดาวกระจาย52จุดเน้นพารากอน

ไอ.เอ็น.เอ็น. - วานนี้ (29 มิ.ย.) นพ.เหวง โตจิราการ แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ แถลงข่าวหลังประชุม 44 องค์กร แนวร่วมสรุปการเคลื่อนไหว ตั้งแต่ก่อตั้งโดยประกาศ 2 ยุทธศาสตร์ต้านรัฐธรรมนูญและต้านการสืบทอดอำนาจ โดยเตรียมเคลื่อนขบวนประชาชนไปปิดล้อม หน้ารัฐสภาในวันที่ 6 กรกฎาคม  เพื่อต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญ ที่เห็นว่าขัดต่อหลักประชาธิปไตย ส่วนการดำเนินยุทธศาสตร์ดาวกระจายในวันพรุ่งนี้ (30 มิ.ย.) จะเดินทางไป 52 จุด ทั่วกรุงเทพมหานครและไม่สามารถแจ้งสถานที่ชัดเจนได้ เพราะเกรงจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจขัดขวาง โดยมีจุดเดียวที่แน่นอนโดยแกนนำประกอบด้วยตนและ นายจักรภพ เพ็ญแข จะเดินทางไปคือสยามพารากอน ในเวลา 13.00 น. ทั้งนี้จะมีการนัดรวมพลทีมงานที่ท้องสนามหลวงก่อนในเวลา 12.00 น. ก่อนจะกลับมาตรึงพื้นที่ชุมนุมต่อที่ท้องสนามหลวงขณะที่ยังปฏิเสธการเคลื่อนขบวนไปยังบ้านสี่เสาเทเวศร์ในวันพรุ่งนี้ด้วย

 

"ชัยอนันต์"ลุยการเมืองแย้มสนใจ"มัชฌิมา"

ผู้จัดการออนไลน์ - วานนี้(29 มิ.ย.) นายชัยอนันต์ สมุทวณิช สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยภายหลังร่วมประชุมสัมมนาเชิงวิชาการของกลุ่มมัชฌิมา ว่าตัดสินใจจะลงเล่นการเมืองอย่างจริงจัง หลังพ้นวาระการดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย แต่จะตอบรับร่วมงานกับกลุ่มมัชฌิมาหรือกลุ่มรวมใจไทยจะต้องพิจารณาอีกครั้ง แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครมาเชิญชวน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมาก็ยังไม่ได้ชวน เพราะขณะนี้รัฐธรรมนูญยังไม่แล้วเสร็จ คาดว่าในอนาคตกลุ่มมัชฌิมาและกลุ่มรวมใจไทยจะรวมกัน เพราะต่างฝ่ายมีในส่วนที่อีกฝ่ายไม่มี แม้ว่าจะไม่รวมกันตอนนี้ อาจจะเป็นช่วงหลังเลือกตั้ง ซึ่งอาจจะเป็นพันธมิตรกันก็ได้ ทั้งนี้ ในส่วนของกลุ่มรวมใจไทย ได้มีการพบปะพูดคุยกันบ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจ นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มอื่น ๆ มาชวนร่วมงานทางการเมืองอีก 2 - 3 กลุ่ม ซึ่งจะพิจารณาดูว่าพรรคไหนจะเข้ากับเราได้ หากลงเล่นการเมืองจะมีบุคคลอีก 30 คน ที่เป็นนักธุรกิจท้องถิ่น คนใจบุญมาร่วมลงสมัคร ส.ส.ด้วย แต่ไม่มีนักวิชาการ

 

สำหรับความเห็นเกี่ยวกับกลุ่มมัชฌิมานั้น นายชัยอนันต์ มองว่าชื่อพรรคน่าสนใจ และนำชื่อมาจากหนังสือที่ตนเคยเขียน ซึ่งมัชฌิมา คือความแตกต่าง แต่ไม่แตกแยก ส่วนนโยบายก็ติดดิน และน่าสนใจต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่ใช่แจกเงินอย่างเดียว แต่เพิ่มความรู้ ช่วยเหลือคนที่ไม่มีโอกาส

 

นายชัยอนันต์ กล่าวถึงเหตุผลที่ตัดสินใจลงมาเล่นการเมือง เพราะมีความสนใจมานาน แต่ไม่คิดจะลงมาเกี่ยวข้องโดยตรง ที่ผ่านมา เคยทำงานด้านอื่น ๆ มามากแล้ว และเห็นว่าคนเราควรทำหน้าที่หลักของตนเองให้เสร็จเสียก่อน ขณะนี้อายุ 63 ปีแล้ว คิดว่ามีความอดทนมากขึ้น ใจเย็น ทนกับการยั่วยุ ไม่ขี้โมโหเหมือนแต่ก่อน และครอบครัวก็พร้อม

 

เมื่อถามว่า หากกลุ่มมัชฌิมาตั้งพรรคขึ้นมาจะเป็นทางเลือกให้ประชาชนหรือไม่ นายชัยอนันต์ คิดว่าพรรคการเมืองไทยมีทั้งคนเก่า และคนใหม่มาร่วมงาน ทั้งนี้ หากตนรับหัวหน้าพรรคมัชฌิมา ยืนยันว่าจะไม่เป็นนอมินีให้ใคร ส่วนจะเป็นพรรคเฉพาะกิจหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสมาชิกและแนวนโยบายของพรรค

 

เมื่อถามว่า จะเป็นพรรคคู่แข่งพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายชัยอนันต์ กล่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นพวกเดียวกัน บิดาของตนเคยสมัครลง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่ได้รับเลือก และตนเคยช่วยงานพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีใครในพรรคประชาธิปัตย์มาชวนไปร่วมงาน แต่ตนก็สนิทกับทุกคน

 

นายชัยอนันต์ วิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองว่า หลังเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นแกนนำ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นกลุ่มมัชฌิมา อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์พลิกผัน กลุ่มมัชฌิมาได้คะแนนมากกว่าก็จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

 

กอ.รมน.ภาค4ของบ510ล้านซื้ออาวุธดับไฟใต้

เว็บไซต์ไทยโพสต์ - วานนี้ (29 มิ.ย.) มีรายงานว่า พล.ท.วิโรจน์ บัวจรูญ แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 (ผอ.รมน.ภาค 4) ได้จัดทำรายละเอียดความต้องการเครื่องมือและยุทโธปกรณ์พิเศษเพื่อใช้ในภารกิจใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอมายัง กอ.รมน. เพื่อเสนอของบประมาณจากรัฐบาลวงเงิน 510 ล้านบาทแล้ว โดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผอ.รมน. จะนำเสนอต่อรัฐบาลเพื่อขออนุมัติต่อไปผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบตามที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ในฐานะ ผอ.รมน. ขอสนับสนุนงบประมาณในภารกิจของ กอ.รมน. หลังจากมีการปรับโครงสร้างใหม่ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท โดยภาพรวมจะเป็นการจัดหายุทโธปกรณ์เพื่อความมั่นคง และจัดหาเครื่องมือพิเศษเพื่อใช้ในภารกิจการแก้ไขปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

 

มีรายงานด้วยว่า ยุทโธปกรณ์และเครื่องมือพิเศษที่ กอ.รมน.ภาค 4 เสนอขึ้นมา ประกอบด้วย เสื้อกันกระสุน กล้องส่องทางไกลในเวลากลางวันและเวลากลางคืน เครื่องดักฟังโทรศัพท์ เครื่องมือตัดสัญญาณโทรศัพท์ กระสุนควัน ระเบิดควัน แก๊สน้ำตา ชุดเครื่องมือแพทย์ ซึ่งยุทโธปกรณ์และเครื่องมือพิเศษเหล่านี้ไม่อยู่ในอัตราจัดกำลังพลปกติ

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม กอ.รมน.ครั้งล่าสุดที่ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผช.ผบ.ทบ.และ รอง ผอ.รมน. เป็นประธาน ได้กล่าวสนับสนุนในการให้ กอ.รมน.จัดหาเครื่องมือพิเศษดังกล่าว ท่ามกลางกระแสโจมตีกรณีที่บอร์ดทีโอที ซึ่งมี พล.อ.สพรั่งเป็นประธาน ได้อนุมัติการจัดหาเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เพื่อความมั่นคง วงเงิน 800 ล้านบาท

 

ทางด้านความคืบหน้าของร่างพระราชบัญญัติความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.... นั้น มีรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้บรรจุไว้ในวาระการพิจารณาปกติ ซึ่งหากรัฐบาลไม่ได้มีนโยบายในการเร่งรัดให้ทันในอายุของสภานิติบัญญัติฯ ชุดนี้ ก็น่าจะใช้เวลาในการพิจารณาจนถึงปีหน้า โดยมีการวิเคราะห์ว่ากฎหมายดังกล่าวอาจจะเป็นปัจจัยในการสร้างแรงสั่งสะเทือนให้กับรัฐบาลและ คมช.

 

แหล่งข่าวระบุว่า พล.อ.สุรยุทธ์ และ พล.อ.สนธิ ยังเห็นความจำเป็นที่ต้องมีพระราชบัญญัติความมั่นคงเพื่อรองรับการทำงานของเจ้าหน้าที่ หลังจากมีการยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ลงไป เพราะที่ผ่านมาในการปฏิบัติหน้าที่นอกเขตกฎอัยการศึก จะมีปัญหาที่เจ้าหน้าที่ต้องขึ้นต่อสู้คดีในศาล เช่นกรณีที่ พล.อ.สุรยุทธ์ต้องทำหน้าที่ ผบ.เหตุการณ์ก๊อดอาร์มี่ที่โรงพยาบาลราชบุรี

 

แหล่งข่าวยอมรับว่าร่างกฎหมายดังกล่าวให้อำนาจกับ ผอ.รมน.สูงสุด ก็เพื่อให้การบังคับบัญชาเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่การเสนอขึ้นไปเช่นนั้น เป็นการเสนออย่างเต็มที่ 100 เปอร์เซ็นต์ ที่อาจจะมีการปรับแก้ หรือวิพากษ์วิจารณ์เพื่อแก้ไขให้เหมาะสมหรืออยู่ในทางสายกลางมากขึ้น

 

"ความจริงเราไม่ได้คิดไปถึงเรื่องการสืบทอดอำนาจทางการเมืองของ คมช. หรือเพื่อใช้จัดการม็อบ จุดมุ่งหมายแค่ต้องการให้มีกฎหมายรองรับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เท่านั้น แต่การบริหารจัดการ การตัดสินใจมีส่วนสำคัญ เพราะสถานการณ์ในอนาคตข้างหน้าเกี่ยวพันกับเรื่องการก่อการร้ายหรือภัยพิบัติ ที่ต้องใช้กำลังทหารและตำรวจในการเข้าไปแก้ไขสถานการณ์อย่างทันท่วงที" แหล่งข่าวจาก กอ.รมน.กล่าว

 

ด้านเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้เปิดเผยว่า ขณะนี้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทางด้านยุทธศาสตร์ในระดับสากล โดยเฉพาะองค์กรมุสลิมโลก ได้พ่ายแพ้ลงอย่างสิ้นเชิง ทำให้รัฐได้รับชัยชนะทางด้านยุทธศาสตร์ ในขณะเดียวทางรัฐควรเพิ่มมาตรการเชิงรุกอย่างขนาดใหญ่ ด้านนโยบาย 3 ประสาน คือ 1.ศูนย์การนำทุกระดับของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ควรเปิดนโยบายเจรจากับศูนย์การนำทั้งภายในและที่อยู่นอกประเทศ 2.กองกำลังติดอาวุธขบวนการ รัฐเปิดเชิงรุกใช้เจ้าหน้าที่เข้าสลายกองกำลังออกจากกันระหว่างศูนย์การนำกับแนวร่วมในพื้นที่ 3.แนวร่วมขบวนการ ทางรัฐควรเปิดปฏิบัติการจิตวิทยาทุกรูปแบบ เพื่อดึงมวลชนเข้าฝ่ายรัฐและเพื่อให้ห่างการสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธ

 

ทอท.ยอมรับสนามสุวรรณภูมิมีการทุจริตมาก

เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น - ในช่วงเช้าวานนี้ (29 มิ.ย.) ได้มีพิธีวางพานพุ่มถวายสักการะพระอนุสาวรีย์จอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ ผู้ริเริ่มกิจการการบินในประเทศไทย เนื่องในโอกาสครบรอบการดำเนินงาน 28 ปี ของ ทอท. ซึ่งมี พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานกรรมการ ทอท.เป็นประธาน

 

โดยนางกัลยา ผกากรอง รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ยอมรับว่าการบริหารงานที่ผ่านมาของ ทอท. ยังถือว่าไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรและมีปัญหาเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่นเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสถานการณ์บีบบังคับโดยเฉพาะกรณีการเร่งเปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งจำเป็นต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ทอท.กำลังเร่งปรับปรุงแก้ไขการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะเน้นการบริหารงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีธรรมาภิบาล เปิดช่องทางให้ประชาชนสามารถเข้าถึง ทอท.ได้มากขึ้น รวมถึงมีการจัดตั้งคณะกรรมการปรับปรุงกฎระเบียบการทำงานของ ทอท.ให้รัดกุมและป้องกันการคอร์รัปชั่นให้มากขึ้น เพื่อให้ก้าวต่อไปของ ทอท. เติบโตได้อย่างมั่นคงและเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ

 

นอกจากนี้ ยอมรับว่าปัญหาการคอร์รัปชั่นส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นอยู่ในโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่มีการจัดซื้อจัดจ้างกับภาคเอกชนเป็นจำนวนมาก แต่เมื่องานก่อสร้างแล้วเสร็จ และ ทอท.รับมอบพื้นที่มาบริหารแล้วก็จำเป็นต้องเบิกจ่ายเงินให้กับภาคเอกชนรายนั้น แต่เมื่อพบเหตุบกพร่อง ก็จะต้องดำเนินการปรับปรุงให้ใช้งานได้แล้วค่อยสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป ส่วนปัญหารอยแตกร้าวของแท็กซี่เวย์ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นเรื่องปกติที่มีการคาดการณ์ไว้แล้วหลังจากที่ตรวจพบรอยร้าวในครั้งแรกและขณะนี้ได้เร่งดำเนินการซ่อมแซมให้ใช้งานได้แล้ว

 

ด้านนายต่อตระกูล ยมนาค กรรมการ ทอท. กล่าวว่า การซ่อมแท็กซี่เวย์รอบใหม่นี้จะเป็นการซ่อมให้สามารถใช้งานได้ชั่วคราวเท่านั้น ส่วนการซ่อมแซมอย่างถาวรจะต้องรอให้บริษัทที่ปรึกษาฯ ซึ่งผ่านการคัดเลือกจาก ทอท. ไปดำเนินการตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริงก่อน และจะต้องรายงานผลความคืบหน้าการตรวจสอบมายังคณะกรรมการ ทอท.ทุกเดือน เพื่อประเมินได้ว่าจะสามารถให้ผู้รับเหมาลงพื้นที่ทำการซ่อมแซมอย่างไรให้ใช้งานถาวรได้เร็วที่สุด

 





เศรษฐกิจ

 

"บริโภค-ลงทุนเอกชน"เริ่มฟื้น สหพัฒน์มองศก.ซึมยาว-รัฐเร่งกระตุ้นอุตฯ6สาขา

เว็บไซต์คมชัดลึก - ดร.อมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ว่า มีสัญญาณการฟื้นตัวต่อเนื่องจากเดือนเมษายน โดยเครื่องชี้การบริโภค เช่น ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 1% เทียบกับเดือนก่อนหน้าเพิ่มสูงขึ้นจากเดือนเมษายนที่หดตัวลง 0.4% จากเดือนมีนาคม หมวดสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวดีขึ้น ส่วนดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 1% ซึ่งหากเทียบกับไตรมาสแรกจะเห็นว่าดัชนีการลงทุนปรับตัวดีขึ้น

 

"เศรษฐกิจสองเดือนแรกของไตรมาสสองค่อนข้างสอดคล้องกับสิ่งที่แบงก์ชาติประมาณไว้แล้วเมื่อเดือนเมษายน การขยายตัวของจีดีพีไตรมาสสองอาจจะต่ำลงยังไม่เร่งตัวมาก แต่ก็เพราะการบริโภคและการลงทุนเร่งตัวขึ้นเลยทำให้การนำเข้าเพิ่มขึ้น" ดร.อมรา กล่าว

 

ขณะที่ นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตไม่ถึง 4-4.5% ตามที่รัฐบาลคาดการณ์ ซึ่งจากปัจจัยทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้ขีดแข่งขันด้านราคาลดลง อาจฉุดให้เศรษฐกิจปีนี้เติบโตไม่ถึง 3% อย่างไรก็ตาม หากภาครัฐพยายามเร่งอัดฉีดงบประมาณเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้ลงไปถึงระดับรากแก้วโดยเร็ว อาจทำให้เศรษฐกิจปีนี้เติบโตเกิน 3%

 

"สิ่งน่าห่วงที่สุด คือ ค่าเงินบาทของเราแข็งค่าขึ้นมากกว่าหลายประเทศ ทำให้เราไม่สามารถแข่งขันตลาดส่งออกกับต่างประเทศได้ ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจของไทยที่อาจซึมยาวถึง 3 ปี" นายบุณยสิทธิ์ กล่าว

 

ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมการปรับตัวธุรกิจรายสาขาว่า ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการเร่งด่วนในการปรับตัวและแก้ปัญหาคอขวดในอุตสาหกรรม 6 สาขา พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมยานยนต์ 2.อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 3.อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือน 4.อุตสาหกรรมยา 5.อุตสาหกรรมอาหาร 6.กลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม

 

สมาคมป้ายโฆษณาเล็งพลิกวิกฤตเป็นโอกาสจัดระเบียบป้ายโฆษณา

ผู้จัดการออนไลน์ - นายนพดล ตัณศลารักษ์ นายกสมาคมป้ายและโฆษณา พร้อมด้วยคณะกรรมการสมาคมฯ ร่วมกันแถลงข่าวหลังเกิดเหตุป้ายโฆษณาล้มเมื่อ 28 มิ.ย. ว่า เป็นป้ายโฆษณาของเจ้าของอาคารและเจ้าของหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ประกอบการป้ายโฆษณาโดยตรง และไม่ได้เป็นสมาชิกสมาคมฯ อย่างไรก็ตาม สมาคมฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยจะร่วมกับวิศวกรที่ปรึกษาออกตรวจสอบป้ายโฆษณา โดยเฉพาะป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ เพื่อให้ปรับปรุงป้ายให้มั่นคงแข็งแรง ถ้าไม่ดำเนินการ สมาคมจะร่วมกับภาครัฐดำเนินคดีและให้รื้อถอนทันที โดยเชื่อว่า ขณะนี้มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่อีกจำนวนไม่มากนัก ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบในเรื่องความมั่นคงแข็งแรง เนื่องจากปี 2549 ได้มีการตรวจสอบและให้รื้อป้ายที่ไม่แข็งแรงไปแล้วกว่า 100 ป้าย จากทั้งหมดกว่า 200 ป้าย

 

นายนพดล กล่าวด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจป้ายโฆษณา แต่น่าจะพลิกวิกฤติเป็นโอกาส สร้างความเข้าใจ รณรงค์ให้ผู้ประกอบธุรกิจป้ายโฆษณาและลูกค้าเห็นความสำคัญของความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งในการประชุมใหญ่ของสมาคมฯ วันนี้ จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทำงานร่วมกับผู้แทนกรมโยธาธิการและผังเมือง กรุงเทพมหานคร และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เพื่อพิจารณากำหนดมาตรการจัดระเบียบป้ายโฆษณา ตั้งแต่วิธีการขออนุญาต คุณสมบัติผู้ขออนุญาตประกอบธุรกิจ การกำหนดโซนนิ่ง และรูปแบบป้ายที่ควรเป็นโครงเสาเดี่ยวและโครงเสาคู่ ไม่ใช่โครงใยแมงมุม เบื้องต้นน่าจะมี 4 โซน ได้แก่ โซนป้ายโฆษณาความสูงไม่เกิน 20 เมตร 25 เมตร 30 เมตร และไม่เกิน 40 เมตร ที่ผ่านมาได้เคยหารือกับผู้ว่าฯ กทม. และมีแนวคิดที่จะให้ป้ายโฆษณาสอดคล้องกับพื้นที่ต่างๆ ในกรุงเทพฯ เช่น หากเป็นพื้นที่เชิงวัฒนธรรม ป้ายโฆษณาก็น่าจะมีเนื้อหาด้านวัฒนธรรม ซึ่งในต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง ป้ายโฆษณาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างสีสัน ความสวยงามให้กับเมืองได้ด้วย ทั้งนี้ คาดว่าน่าจะเห็นการจัดระเบียบดังกล่าวเป็นรูปร่างได้ในปลายปีนี้

 

ด้านนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า กทม.ได้เตรียมออกข้อบัญญัติในการประกันภัยบุคคลที่ 3 กรณีได้รับอุบัติเหตุจากป้ายล้มทับ ซึ่งจะมีผลบังคับประมาณกลางเดือนธันวาคม 2550 สำหรับป้ายบริเวณถนนประดิษฐ์มนูธรรม ล้มทับหญิงเสียชีวิต เป็น 1 ในจำนวนที่ก่อสร้างผิดแบบ โดย กทม.กำลังดำเนินการตามกฎหมายอยู่

 





เทคโนโลยี

 

เอ็มเอสเอ็นสบช่องผู้ใช้พุ่งเปิดเวบท่าบนมือถือ

เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น - นายแกรนท์ วัตส์ ผู้จัดการทั่วไป ไมโครซอฟท์ ออนไลน์ เซอร์วิส กรุ๊ป กล่าวว่า เอ็มเอสเอ็นเปิดตัว เอ็มเอสเอ็น โมบายในประเทศไทยเป็นประเทศที่ 2 ของโลก และเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากเร็วๆ นี้เปิดตัวที่สหรัฐอเมริกา ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ทุกเวลาผ่านมือถือ หลังเห็นจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในไทยพุ่งกว่า 40 ล้านราย ส่วนยอดผู้เข้าใช้เวบเอ็มเอสมีกว่า 6.7 ล้านคน หรือประมาณ 82% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในไทย ที่มีราว 9 ล้านราย

 

"เอ็มเอสเอ็นได้รับการตอบรับ และมีแฟนประจำอย่างมากมายในประเทศไทย สิ่งสำคัญที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ คือ พัฒนาเว็บไซต์ www.msn.co.th เป็นภาษาไทย และมีเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการ ซึ่งเอ็มเอสเอ็นได้พันธมิตรที่แข็งแกร่ง ทั้งพันธมิตรด้านข้อมูลข่าวสาร หุ้น การเงิน ความบันเทิงต่างๆ ทำให้ที่ผ่านมา ยอดคนใช้เวบเอ็มเอสเอ็นมีเพิ่มสูงขึ้น" นายวัตส์ กล่าว

 

ทั้งนี้ การเปิดตัวเอ็มเอสเอ็น โมบายในไทย ถือเป็นการลงทุนระยะยาวที่จะรักษาฐานตลาดไทยอย่างต่อเนื่อง

 





คุณภาพชีวิต

 

รัฐมนตรีวธ.แนะชายไทย ยึด"ในหลวง"แบบอย่าง

เว็บไซต์มติชน - เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนานานาชาติ เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา เรื่อง "พระราชกรณียกิจด้านพระพุทธศาสนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" จัดโดยมูลนิธิมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลก องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก และกรมการศาสนา (ศน.) ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงคุณธรรมอันประเสริฐ เพียบพร้อมด้วยพระจริยาวัตรที่งดงาม และระหว่างทรงผนวชพระองค์ไม่สวมฉลองพระบาท และทรงปฏิบัติเช่นเดียวกับพระสงฆ์ทั่วไป จึงเป็นสิ่งที่ชายไทยน่าจะนำเป็นแบบอย่าง ทั้งนี้ ภายหลังจากการสัมมนาครั้งนี้ตนได้มอบหมายให้ทาง ศน.สรุปผลการสัมมนาจัดพิมพ์เป็นหนังสือเกี่ยวกับพระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทางด้านพระพุทธศาสนา โดยมีเนื้อหาพระจริยาวัตรระหว่างที่ทรงผนวช เพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนได้ศึกษาต่อไป

 

นักวิชาการชี้อนาคตคอนโดฯห้องเล็ก-คุณภาพชีวิตตกต่ำ

ผู้จัดการรายวัน - รศ.มานพ พงศทัต อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ประจำภาควิชาเคหะการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ขณะนี้ตลาดคอนโดมิเนียมในเมือง ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการพัฒนาโครงการประเภทซิตี้ คอนโดมิเนียมจะมีขนาดเล็กลง เนื่องจากการแข่งขันทางด้านการตลาดที่ต้องการให้ผู้บริโภคซื้อง่ายขึ้น ประกอบกับตามกฎหมายควบคุมอาคารกำหนดให้ห้องพักอาศัยมีขนาดต่ำสุดที่ 3 คูณ 3 หรือ 9 ตารางเมตร ทำให้การพัฒนาห้องชุดทำได้เล็กลงอีก แต่ขนาดของห้องที่เล็กลงจะทำให้คุณภาพชีวิตในการอยู่ในซิตี้คอนโดมิเนียมแย่ลงตามไปด้วย

 

จากผลการสำรวจของผู้ประกอบการพบว่า แนวโน้มความต้องการซิตี้คอนโดมิเนียมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เพิ่งจบการศึกษาและทำงานไม่เกิน 5 ปี จะมีมากขึ้น ซึ่งจากตัวเลขล่าสุดพบว่าคนรุ่นใหม่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมก่อนซื้อรถประมาณ 20% ซึ่งแตกต่างจากปีที่ผ่านมาที่ต้องการซื้อรถก่อนซื้อบ้านกว่า 90% เนื่องจากความจำเป็นในการใช้รถน้อยลง จากการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้า ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมในกลุ่มคนรุ่นใหม่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น

 

ทั้งนี้กลุ่มคนซื้อซิตี้ คอนโดมิเนียมดังกล่าวจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว แต่ยังไม่พร้อมจะมีครอบครัวจึงมาซื้อคอนโดมิเนียมอยู่ในเมือง ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะเป็นกลุ่มที่เช่าบ้านอยู่และขยับมาซื้อคอนโดมิเนียมในเมือง เนื่องจากอัตราการเช่ากับการผ่อนใกล้เคียงกัน โดยในปีนี้คาดว่า จะมีการซื้อขายซิตี้คอนโดมิเนียมประมาณ 20,000 หน่วย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีกว่า 1 หน่วย เกือบเท่าตัว และจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจาก 15% เป็น 30%

 

รศ.มานพ กล่าวอีกว่า แนวโน้มความต้องการซิตี้คอนโดมิเนียมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบการศึกษาและทำงานไม่เกิน 5 ปี จะมีมากขึ้น มีการสำรวจตัวเลขพบว่า คนรุ่นใหม่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมก่อนซื้อรถประมาณ 20% ซึ่งแตกต่างจากเดิมที่ต้องการซื้อรถก่อนซื้อบ้านกว่า 90% เนื่องจากความจำเป็นในการใช้รถน้อยลง จากการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้า ทำให้ตลาดคอนโดฯในกลุ่มคนรุ่นใหม่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น

 

สำหรับผลการสำรวจการซื้อขายที่อยู่อาศัยในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งล่าสุด พบว่า มีผู้ซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมมากที่สุด 51.84% ขณะที่บ้านเดี่ยวมี 19.58% สินทรัพย์รอการขาย 15.9% ทาวน์เฮาส์ 5.9% แต่ผู้เข้าร่วมงานให้ความสนใจซื้อที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว 38.6% คอนโดมิเนียม 23% ทาวน์เฮาส์ 21% บ้านแฝด 6.4% สาเหตุที่มีคนสนใจซื้อบ้านเดี่ยวมากกว่าคอนโดมิเนียม แต่มีคนซื้อคอนโดมิเนียมมากกว่าบ้านเดี่ยว เป็นเพราะบ้านเดี่ยวเป็นบ้านที่คนส่วนใหญ่ต้องการ แต่เมื่อจะซื้อจริงความสามารถในการซื้ออาจจะซื้อได้แค่คอนโดมิเนียม

 

นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า คอนโดมิเนียมยังเป็นตลาดที่ดีกว่าสินค้าประเภทอื่น แต่ในบางพื้นที่เริ่มมาปริมาณสินค้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้การขายชะลอตัวลง ได้แก่ ทำเลถนนรัชดาภิเษก-ลาดพร้าว และทำเลที่มีแนวโน้มที่จำนวนสินค้าจะเพิ่มขึ้นมากในอนาคต คือทำเลรัชดาภิเษก-ท่าพระ

 

ทุกภาคของประเทศไทย เตือน 8 จังหวัดเสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน

เว็บไซต์แนวหน้า - กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศประจำวานนี้ (29 มิ.ย.) ว่า มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ยังทำให้ทั่วทุกภาคของประเทศไทยมีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนหนักบางแห่งโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย น่าน แพร่ ตาก จันทบุรี และตราด ดังนั้น ขอให้ประชาชนในบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยตามจังหวัดดังกล่าวระมัดระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะนี้ ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันมีกำลังแรง ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเพิ่มความระมัดระวังการเดินเรือในระยะนี้ไว้ด้วย

 

กทม.ล้อมคอกภัยพายุถล่มเมืองสั่งรื้อป้ายมรณะ 28 จุดทั่วกรุงเทพฯ

เว็บไซต์แนวหน้า - หลังเกิดเหตุพายุฝนกระหน่ำหลายพื้นที่ในกทม. สร้างความเสียหายให้ทรัพย์สินบ้านเรือนประชาชน รวมถึงเกิดเหตุป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ล้มทับเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เรียกประชุมด่วนผู้บริหารและผู้อำนวยการเขต เพื่อหามาตรการแก้ปัญหาป้ายโฆษณาที่ไม่มั่นคงปลอดภัย พร้อมเร่งดำเนินการตามกฎหมายกับเจ้าของป้าย

 

ภายหลังการหารือ นายอภิรักษ์กล่าวถึงกรณีป้ายโฆษณาล้มและมีผู้เสียชีวิตหลายคนว่า จากสถานการณ์พายุลมแรงเมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา วัดความเร็วลมได้ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงสูงกว่าที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งวัดความเร็วลมได้เพียง 15-30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นพบว่า พื้นที่ชั้นในของ กทม. 33 เขต ได้รับผลกระทบ มีต้นไม้ใหญ่ล้ม 86 ต้น เสาไฟฟ้า 12 ต้น นอกจากนั้น มีเสาและป้ายขนาดเล็กล้มอีก 22 ป้าย ตู้โทรศัพท์ 1 ตู้ รถยนต์เสียหาย 8 คัน

 

นายอภิรักษ์ยังกล่าวถึง การออกกฎระเบียบควบคุมป้ายใหม่ที่จะเกิดขึ้นว่า ได้ผลักดันข้อบัญญัติที่กำหนดพื้นที่ติดตั้งป้ายเป็น 5 พื้นที่ ได้แก่ 1. ป้ายที่ติดตั้งบนพื้นที่เขตทางพิเศษ ให้มีแนวถอยร่นจากทางพิเศษ 50 เมตร 2.ป้ายที่ติดทางรถไฟ ให้มีแนวถอยร่น 50 เมตร 3.ถนน 101 สาย 4.ป้ายบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ วงเวียนใหญ่ ให้ห่าง 200 เมตร เป็นอย่างต่ำจากจุดศูนย์กลาง

 

5.ป้ายที่ติดตั้งบนถนนแนวฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาให้ห่างแนวแม่น้ำ 50 เมตร และในอนาคตจะกำหนดความสูงของป้ายให้ออกแบบรองรับน้ำหนักได้ตามสัดส่วนความสูงของป้ายอย่างต่ำ 150 กิโลกรัมต่อตารางเมตร

 

สำหรับจำนวนป้ายที่มีอยู่ในกทม.ขณะนี้มีจำนวน 1,410 ป้าย อยู่บนดิน 887 ป้าย บนอาคาร 523 ป้าย ป้ายที่ก่อสร้างถูกต้องมี 1,028 ป้าย ป้ายที่ก่อสร้างไม่ตรงตามแบบ 212 ป้าย ป้ายที่ก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต 382 ป้าย ป้ายที่ไม่มั่นคงแข็งแรงซึ่งอันตรายที่สุด 28 ป้าย ซึ่งในจำนวนนี้ตั้งอยู่ในเขตตลิ่งชันมากที่สุด รองลงไปคือ เขตบึงกุ่มและบางรัก ซึ่ง กทม.จะเร่งแก้ไขกรณีป้ายไม่มั่นคงแข็งแรง 28 ป้าย เป็นลำดับแรก โดยประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกพื้นที่ที่แต่ละเขตได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ไว้ กรณีป้ายไม่ถูกกฎหมายหรือไม่แข็งแรง ได้เร่งรัดขั้นตอนการดำเนินคดีให้เขตสามารถเข้าไปรื้อถอนโดยเร็วที่สุด

 

ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา กทม.ได้จัดระเบียบป้าย มี 138 ป้ายไม่มั่นคงแข็งแรง ซึ่งได้รื้อถอนไปแล้ว 50 ป้าย ส่วนอีก 60 ป้ายกำลังปรับปรุงแก้ไจให้แข็งแรงขึ้น จึงเหลือเพียง 28 ป้ายที่ยังมีปัญหาถึงขณะนี้ ยังไม่สามารถตามหาตัวเจ้าของป้ายได้

 

"ในส่วนป้ายที่ก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต ที่มีจำนวน 382 ป้าย และกทม.อยู่ระหว่างดำเนินคดีและติดตามหาเจ้าของป้าย เพราะการควบคุมทำไม่ทัน จึงอยากขอให้ผู้ประกอบการมีจิตสำนึกความปลอดภัยต่อสาธารณะด้วย" นายอภิรักษ์กล่าว และว่า ได้กำชับให้สำนักงานเขตทุกเขตเร่งประชาสัมพันธ์ประกาศของกทม. เรื่องการปฏิบัติตัวเพื่อความปลอดภัยจากพายุฝนฟ้าคะนองให้ประชาชนทราบด้วย

 

"รมว.ทรัพย์ฯ" ลงกระบี่สั่งดูแล "เกาะลันตา" หลังถูกบุกรุกสร้างโรงแรม

ผู้จัดการออนไลน์ - เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (29 มิ.ย.50) นายเกษม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะ ได้เดินทางมาที่จังหวัดกระบี่ พร้อมเข้าร่วมประชุม พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ

 

นายเกษม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยภายหลังการประชุมที่ห้องประชุมหอวัฒนธรรมศาลากลางจังหวัดกระบี่ เพื่อติดตามงานตามประเด็นการตรวจราชการของ พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ในพื้นที่จังหวัดกระบี่ โดยมีนายศิวะ ศิริเสาวลักษณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ว่า

 

ตามที่นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางมาตรวจราชการเพื่อติดตามผลการพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่บริเวณชายฝั่งอันดามันเพื่อรับทราบปัญหาและความต้องการ เมื่อวันที่ 13-14 มิถุนายน 2550 ที่ผ่านมา และต่อมาทางจังหวัดกระบี่มีหนังสือที่สรุปประเด็นเพื่อให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3 ประเด็น คือ

 

1.การรักษาความสะอาดและสภาพแวดล้อมของเกาะพีพี และเกาะลันตา 2.การก่อสร้างจุดเชื่อมต่อการเดินทาง (สะพานข้ามฟากระหว่างเกาะลันตาน้อย - เกาะลันตาใหญ่) และ 3. การป้องกันการบุกรุกทำ ลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งทางกระทรวงฯได้ให้คณะทำงานลงพื้นที่จังหวัดกระบี่ มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2550 ที่ผ่านมา และได้ประชุมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อหาแนวทางแก้ไขในประเด็นทั้ง 3 ดังกล่าว

 

นายเกษม เปิดเผยต่อว่า ในที่ประชุมตนได้เน้นย้ำให้ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกวดขันและเอาจริงในเรื่องของความสะอาด โดยเฉพาะการจัดเก็บขยะ และน้ำเสีย แต่ก็ไม่ได้หนักใจอะไรเพราะทราบว่าขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ อบต.อ่าวนางซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ก็ได้รับผิดชอบเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เป็นห่วงก็คือขยะจากเรือประมง และเรือขนถ่ายขยะที่ อบต.จัดจ้างอยู่ทราบว่าบางครั้งนำไปแอบทิ้งกลางทะเล ซึ่งก็จะได้หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

 

"แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงมากที่สุดและเน้นย้ำให้ทางเจ้าหน้าที่ดูแลเป็นพิเศษก็คือการบุกพื้นที่ป่า ทั้ง ต.อ่าวนาง อ.เมือง และเกาะลันตา อ.เกาะลันตา โดยพบว่ามีโรงแรมหลายแห่งสร้างบนเนินเขา ซึ่งด้วยความเป็นจริงไม่น่าจะสร้างได้ แต่เท่าที่ทราบพบว่าพื้นที่เหล่านั้นมีเอกสารทั้งหมด ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าเอกสารสิทธิ์ออกมาได้อย่างไร ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบกันต่อไปและในส่วนของหน้าหาดอ่าวนาง ต.อ่าวนาง นั้นซึ่งได้มีการร้องเรียนว่ามีนายทุนเข้าไปบุกรุกพื้นที่ป่าและมีการขอออกเอกสารสิทธิ์ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างพิสูจน์สิทธิ์"

 

นายเกษม เปิดเผยถึงการก่อสร้างสะพานข้ามฟากระหว่างเกาะลันตาน้อยและเกาะลันตาใหญ่ ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการก่อสร้าง เนื่องจากทางนายกรัฐมนตรีก็ได้เห็นชอบในหลักการแล้วเมื่อครั้งที่เดินทางมากระบี่ โดยระความยาวของสะพานประมาณ 600 -700 เมตร ซึ่งการเดินทางมาในครั้งนี้ก็จะเดินทางไปดูสถานที่ด้วยว่าเมื่อก่อสร้างแล้วจะมีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมหรือไม่ และหากว่าเมื่อศึกษาแล้วไม่กระทบ ก็จะมีการดำเนินการก่อสร้างแต่จะเป็นเมื่อไรนั้นต้องอยู่ที่โอกาส

 





ต่างประเทศ

 

พบระเบิดแรงสูงสองลูกในลอนดอนคาดเตรียมก่อวินาศกรรมรับรัฐบาลบราวน์

เว็บไซต์คมชัดลึก - เกิดเหตุระทึกขวัญขึ้นในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อตำรวจได้ตรวจพบระเบิดแรงสูงและถังแก๊สขนาด 200 ลิตร ในรถยนต์คันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ใกล้วงเวียนพิคคาดิลลี เมื่อเวลา 02.00 น. ของวันศุกร์ (29 มิ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับช่วงเช้าวันเดียวกันตามเวลาในประเทศไทย ซึ่งนายตำรวจปีเตอร์ คลาร์ก ผู้อำนวยการหน่วยต่อต้านก่อการร้ายของสกอตแลนด์ยาร์ด เผยว่า หากเกิดระเบิดขึ้นจะก่อให้เกิดความเสียหายและมีผู้คนได้รับบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก

 

ตำรวจได้สั่งปิดรถไฟใต้ดินสถานีวงเวียนพิคคาดิลลี ส่วนรถไฟและรถประจำทางที่ยังให้บริการอยู่จะไม่จอดที่สถานีนี้ โดยพื้นที่ใจกลางกรุงลอนดอนก็ถูกปิดล้อมไว้หมดเช่นกัน ตำรวจได้กันคนออกไปจากพื้นที่ ทำให้ประชาชนหลายพันไม่สามารถเดินทางไปทำงานได้ สำหรับรถบรรทุกระเบิดซึ่งจอดอยู่ด้านนอกที่ทำการแลกเปลี่ยนเงินตราของอเมริกัน เอ็กซ์เพรส บนถนนเฮย์มาร์เก็ต ซึ่งเป็นย่านมหรสพชื่อดังในกรุงลอนดอนนั้น เป็นรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดสเบนซ์ สีเงิน ซึ่งยามเฝ้าประตูไนต์คลับใกล้เคียงเห็นคนขับรถพุ่งชนถังขยะก่อนจะวิ่งหนีไป

 

ยังไม่แน่ชัดว่า ระเบิดที่พบก่อนหน้าวันครบรอบเหตุการณ์ระเบิดรถไฟใต้ดินและรถประจำทางในกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม เพียงไม่กี่วัน จะอยู่ในระหว่างการขนย้ายไปที่อื่น หรืออยู่ในสภาพพร้อมที่จะระเบิดหรือไม่ แต่แหล่งข่าวในรัฐบาล เผยว่า ตำรวจและเจ้าหน้าที่ข่าวกรองกำลังสอบสวนถึงความเป็นไปได้ที่จะมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มต่างชาติ เนื่องจากรูปแบบของแผนการครั้งนี้คล้ายกับระเบิดรถยนต์ที่กลุ่มต่อต้านในอิรักใช้

 

เหตุระทึกขวัญครั้งนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากที่ นายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพิ่งประกาศรายชี่อคณะรัฐมนตรีได้เพียงวันเดียว โดยภายหลังเกิดเหตุ นางแจ็คกี้ สมิธ รัฐมนตรีมหาดไทยคนใหม่ซึ่งเป็นผู้หญิง ได้เรียกประชุมฉุกเฉิน ขณะที่นายบราวน์ กล่าวว่า เหตุการณ์นี้ได้เตือนใจว่าอังกฤษนั้นยังคงเผชิญกับภัยคุกคามร้ายแรง และจำเป็นต้องมีความตื่นตัวอยู่ตลอด

 

ขณะเดียวกันเจ้าที่รักษาจัดการแข่งขันเทนนิสวิมเบิลดัน ที่กำลังแข่งขันกันบริเวณชานกรุงลอนดอน ได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยขึ้นทันที หลังจากที่ทราบเหตุการณ์ระทึกขวัญใจกลางกรุงลอนดอน ขณะที่รัฐบาลสหรัฐได้ร้องขอให้ชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ต่างประเทศเฝ้าระวังความปลอดภัยของตัวเอง หลังจากที่อังกฤษพบระเบิดทำลายล้างสูงนี้ แต่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ มองว่า ยังไม่เห็นภัยคุกคามของการก่อการร้ายในสหรัฐ ในช่วงที่ประเทศกำลังจะเฉลิมฉลองวันชาติในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้แต่อย่างใด

 

ล่าสุด ตำรวจอังกฤษสามารถปลดระเบิดที่ซุกซ่อนในรถคันที่สองเมื่อวันศุกร์ หลังจากพบรถซุกระเบิดคันที่หนึ่งซึ่งจอดอยู่ใจกลางกรุงลอนดอนก่อนหน้าไม่กี่ชั่วโมง โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงยืนยันว่าทั้งสองกรณีมีส่วนเชื่อมโยงกัน

 

หัวหน้าตำรวจต่อต้านการก่อการร้ายของอังกฤษ ปีเตอร์ คล้าร์ก กล่าวว่ายานพาหนะคันที่สองมียี่ห้อเมอร์เซเดสเช่นเดียวกัน โดยภายในตรวจพบถังน้ำมันและถังแก๊ส รวมทั้งตะปู เหมือนกับวัสดุที่พบในรถคันแรก

 

"ยานพาหนะคันนี้เชื่อมโยงกับรถคันแรก ซึ่งรถทั้งสองคันถูกเตรียมมาเพื่อระเบิดย่านบันเทิงในกรุงลอนดอน ซึ่งจะสร้างความสับสนอลม่าน" คล้าร์ก กล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท