Skip to main content
sharethis

 






การเมือง


 


 


ปธ.ศาลฎีกายื่นขอใบเสร็จ "จรัญ" ฟัน 2 บิ๊ก ขรก.ติดสินบนตุลาการ


พิมพ์ไทย : นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง เลขาธิการประธานศาลฎีกา มีหนังสือจากสำนักประธานศาลฎีกา ถึงนายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม เรื่องขอรับทราบข้อมูลและหลักฐานที่มีการร้องเรียนว่ามีข้าราชการพยายามติดสินบนตุลาการรัฐธรรมนูญในการตัดสินคดียุบพรรค ทั้งนี้ หนังสือระบุว่า ตามที่ปรากฏข่าวในหนังสือพิมพ์ ซึ่งปลัดกระทรวงยุติธรรมให้สัมภาษณ์ว่ามีข้าราชการระดับสูงในกระบวนการยุติธรรมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพยายามจะให้ทรัพย์สินแก่ตุลาการรัฐธรรมนูญเพื่อจูงใจในการตัดสินคดี และมีความเห็นว่าศาลยุติธรรมควรดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้ สำนักประธานศาลฎีกาได้รับบัญชาจากนายปัญญา ถนอมรอด ประธานศาลฎีกา ขอให้ประสานไปยังปลัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอรับหลักฐานที่มีอยู่รวมทั้งข้อมูลว่า ได้รับหลักฐานดังกล่าวมาจากที่ใด และหากมีข้อมูลเพิ่มเติมอย่างใด ขอให้แจ้งให้ทราบด้วยเพื่อที่จะดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว และถูกต้องเหมาะสมต่อไป


 


 


สรส.จี้ฉลองภพ ล้มกม.ขายชาติ ฮึ่ม!บุกทำเนียบ


ไทยโพสต์ : สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) กว่า 100 คน นำโดยนายสาวิทย์ แก้วหวาน รองเลขาธิการ สรส. เดินทางไปชุมนุมที่กระทรวงการคลัง เพื่อยื่นหนังสือถึงนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง ขอให้ยกเลิก พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 และยุติการเสนอร่าง พ.ร.บ.กำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (ร่าง พ.ร.บ.แปรรูปฉบับใหม่) โดยนางพรพิมล จุรุพันธุ์ รักษาการที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง เป็นตัวแทนรับหนังสือ โดย สรส.ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลและกระทรวงการคลังว่า 1.ขอให้ยกเลิก พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจอย่างไม่มีเงื่อนไข 2.ขอให้ยกเลิกการเสนอร่าง พ.ร.บ.แปรรูป ฉบับใหม่ทันที 3.ให้ยกเลิกความคิด นโยบายและกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งการขายสมบัติชาติ แล้วหันมาสนับสนุนพัฒนารัฐวิสาหกิจให้เป็นเครื่องมือในการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยการบริหารจัดการให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกำหนดนโยบาย เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรม และ 4.ให้ปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ที่มีแนวคิดสนับสนุนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ


 


 


รธน.เพิ่มสิทธิ เข้าถึงข้อ "ตกลง-สนธิสัญญา" เปิดช่องข้าราชการรวมกลุ่มต้านนักการเมือง


กรุงเทพธุรกิจ : การประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาเสร็จแล้ว ต่อเป็นวันที่ 5 เริ่มจากมาตรา 55 โดยร่างของกรรมาธิการยกร่างฯ ได้กำหนดไว้ว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น เว้นแต่การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นจะกระทบต่อความมั่นคงของรัฐความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความปลอดภัยของประชาชน หรือส่วนได้เสียอันพึงได้รับความคุ้มครองของบุคคลอื่น หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคล


 



บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการคุ้มครองจากการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตน"


 



ทั้งนี้ สมาชิกสภาร่างรัฐธรมนูญ (ส.ส.ร.) ได้แปรญัตติส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่กรรมาธิการยกร่างฯ ได้แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ โดยได้มีการเพิ่มคำว่า "ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ" และ คำว่า "หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคล" เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญได้ โดยเฉพาะเรื่องที่รัฐบาลไทยไปเจรจาสัญญาหรือข้อผูกพันกับประเทศอื่น ซึ่งอาจจะทำให้เกิดผลกระทบตามมาได้


 



นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ส.ส.ร.กล่าวว่า หากไปเพิ่มคำว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเข้าไปจะทำให้เกิดความสับสน เพราะเดิมเราก็มีกำหนดว่าเว้นแต่การเปิดเผยข้อมูลหรือข่าวสารนั้นจะกระทบต่อความมั่นคงของรัฐอยู่แล้ว หากกำหนดไว้เช่นนี้จะเป็นการกำหนดไว้กว้างและซับซ้อนเกินไป จนอาจกลายเป็นจุดบอดเหมือนกับรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ไปเจรจามีข้อผูกพันอะไรประชาชนก็ไม่รู้เรื่อง และหากไม่แก้ไขอาจทำให้การลงทุนระหว่างประเทศของไทยกับประเทศอื่นไม่สามารถเปิดเผยอะไรได้เลย เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสิ้น


 



ในที่สุด คณะกรรมาธิการยกร่างฯ ยอมตัดคำว่า "ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ" ในวรรคหนึ่งออกแต่ให้คงคำว่าหรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลไว้ และได้เพิ่มคำว่า "ทั้งนี้ตามที่กฎหมายกำหนด"


 


นอกจากนี้ในมาตรา 63 ว่าด้วยเรื่องเสรีภาพของบุคคลในการรวมกันเป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ กลุ่มเกษตรกร องค์การเอกชน หรือหมู่คณะอื่นๆ ซึ่งนายสมคิด อภิปรายว่า กรรมาธิการยกร่างฯ เห็นว่าควรจะเพิ่ม "องค์การพัฒนาเอกชน" หรือเอ็นจีโอ เข้าไปด้วยเนื่องจากปัจจุบันเอ็นจีโอเป็นที่ได้รับการยอมรับจากสังคมอย่างกว้างขวาง


 



ขณะที่วรรคสอง ที่ว่าด้วยเสรีภาพของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในการรวมกลุ่มเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป มีส.ส.ร.หลายคนขอแปรญัตติ โดยเห็นว่าการบัญญัติไว้เช่นนี้จะทำให้เกิดความสับสนในหมู่ราชการและจะก่อให้เกิดปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ กรรมาธิการยกร่างฯชี้แจงว่า ที่ผ่านมาสังคมไทยแยกระหว่างราชการกับผู้ใช้แรงงาน แต่ความจริงแม้ราชการจะดูว่ามีเกียรติ ศักดิ์ศรี แต่ก็ถือเป็นแรงงานชนิดหนึ่ง ดังนั้น จึงควรที่จะจัดตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อดูแลกันเองได้ ในต่างประเทศข้าราชการสามารถตั้งสหภาพแรงงานได้เองเพื่อต่อรองค่าจ้างกับรัฐบาลได้โดยตรง แต่เมืองไทยยังก้าวไม่ถึงจุดนั้นแม้จะมีสมาคม แต่ก็ยังไม่มีกฎหมายใดๆ รองรับการดำเนินการอยู่ดี ในที่สุดมาตรานี้ได้ผ่านไปโดยยืนตามร่างของกรรมาธิการยกร่างฯ


 


 


"นาม" สั่งทีมล่าสมบัติย้อนเกล็ด "แม้ว" สอบย้อนหลัง13ปี


แนวหน้า : นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคตส. พร้อมด้วยนายกล้านรงค์ จันทิก และนายสัก กอแสงเรือง กรรมการคตส. ได้อัดรายการ "รักษ์บ้านสร้างเมือง" ซึ่งจะออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ในทุกวันจันทร์ โดยนายสัก กล่าวตอนหนึ่งว่า จากการที่ คตส.ดำเนินการไต่สวนทั้ง 5 โครงการซึ่งเป็นสาเหตุของการสั่งอายัดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากพบว่ามีพฤติการณ์ประพฤติมิชอบร่ำรวยผิดปกติ แม้ว่าก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกฯในปี 2544 พ.ต.ท.ทักษิณจะมีทรัพย์สินกว่า 2 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อมารับตำแหน่งมีการใช้อำนาจหน้าที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้หุ้นจนสามารถขายได้ราคา 7.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีส่วนต่างกว่า 5 หมื่นล้านบาท แม้การซื้อขายจะนามของลูก แต่อำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายมาจากพ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งใช้อำนาจหน้าที่ในขณะนั้นทำให้มูลค่าหุ้นสูงและแก้กฏหมายทำให้ต่างชาติเข้ามาซื้อได้


 



นายสัก กล่าวด้วยว่า การตรวจสอบของอนุกรรมการไต่สวนหุ้นชิน พบว่าการซื้อขายหุ้นชิน พบว่าไม่น่าจะมีการจ่ายเงินจริง เพราะการซื้อขายหุ้นทุกครั้งจะมีการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งเป็นตั๋วที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา ไม่มีดอกเบี้ยและชำระคืนด้วยเงินปันผล ทั้งนี้เงินที่มีการซื้อขายให้กลุ่มเทมาเส็ค จำนวน 7.3 หมื่นล้านบาท ได้เข้ามาในประเทศไทยครั้งแรกโดยผ่านโบรกเกอร์ การส่งมอบเงินก็ต้องผ่านโบรกเกอร์ ซึ่งใช้เช็คเป็นช่องทางการสั่งจ่ายในนามของผู้ที่ถือหุ้น จากนั้นจึงมีการกระจายไปยัง 21 บัญชีที่ถูกอายัด แม้แต่ล่าสุดที่ทนายของพ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าเงินที่จะนำไปซื้อสโมสรแมนแชสเตอร์ซิตี้ ก็จะนำเงินในบัญชีธนาคารของลูกสองคนที่ไม่ถูกอายัดไปซื้อหุ้น แสดงให้เห็นว่าเป็นเงินในกระเป๋าเดียวกัน


 



ด้านนายนาม กล่าวว่า คตส.ทำงานตามหน้าที่โดยไม่มีอคติส่วนตัว และไมมีการตั้งธง และไม่มีคำสั่งจาก คมช. ไม่ได้ดูจังหวะทางการเมือง แต่ทำงานตามหน้าที่ ขณะนี้ตนถูกฟ้องร้องไปแล้ว 4 คดี แต่ไม่ตื่นเต้น แต่ยอมรับว่าการฟ้องดังกล่าวบั่นทอนสมาธิการทำงานอยู่บ้าง ถ้าฟ้องโดยไม่มีเหตุผลหรือแกล้งฟ้อง ตนก็ต้องอาศัยศาลยุติธรรมบ้าง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายทำตามอำเภอใจ ไม่อย่างนั้นจะเหลิง


 


"ส่วนกรณีที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฏหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่าพ.ต.ท.ทักษิณมีทรัพย์สิน 6 หมื่นล้านบาทในช่วงก่อนรับตำแหน่งรมว.ต่างประเทศสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย 1 เมื่อปี 2537 นั้น ก็ต้องให้ทางอนุกรรมการชุดคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา และนายอำนวย ธันธรา ต้องไปตรวจสอบย้อนหลังตั้งแต่สมัยเขายื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สินตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่งรมว.ต่างประเทศเพื่อให้เขาแจงที่มาทรัพย์สินว่าได้มาอย่างไรเป็น อย่างไร" นายนามกล่าว



 


 


ป.ป.ช.แฉ "ทักษิณ" ปกปิดบัญชีเงินฝาก464 ล้าน


คมชัดลึก : นายกล้านรงค์ จันทิก ในฐานะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รายงานบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ไม่มีบัญชีเงินฝากประจำธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขารัชโยธิน ในบัญชีเลขที่ 111-1-11604-1 จำนวน 464.078 ล้านบาท ว่า เรื่องนี้ทางคณะอนุกรรมการของ ป.ป.ช.จะตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงของบัญชีทรัพย์สินหนี้สินของรัฐมนตรีทุกคนที่แจ้ง ป.ป.ช.เป็นปกติอยู่แล้ว หากพบว่ามีการแจ้งข้อมูลผิด หรือไม่มีการแจ้งข้อมูล ป.ป.ช.จะให้ผู้มีหน้าที่แจ้งบัญชีทรัพย์สินหนี้สินชี้แจงข้อเท็จจริงอีกครั้ง



ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. หลังพ้นตำแหน่งเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2549 ว่า มีเงินฝากเพิ่มขึ้นจากปี 2548 จำนวน 1 บัญชี คือ บัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขารัชโยธิน เลขที่ 111-1-12632-1 จำนวน 450 ล้านบาท



ขณะที่จากการตรวจสอบข้อมูลเงินที่ได้รับจากการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานต่อคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กลับพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีบัญชีเงินฝากประจำอยู่ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขารัชโยธิน ในบัญชีเลขที่ 111-1-11604-1 จำนวน 464.078 ล้านบาท



 


 


พีเน็ต ขอให้รัฐอดทน


ไอ.เอ็น.เอ็น : นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนเพื่อการเลือกตั้ง หรือ พีเน็ต ออกแถลงการณ์ฉบับแรกเพื่อให้ทหารใช้ความอดทนในการแก้ไขสถานการณ์ ไม่ใช้อาวุธหรือความรุนแรงต่อการชุมนุมอีกทั้งเรียกร้องไปยังรัฐบาลและคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ชี้แจงข้อมูลให้ชัดเจนในการดำเนินการกับกลุ่มอำนาจเก่าไม่ใช่การกลั่นแกล้ง และวิงวอนกลุ่มอำนาจเก่าควรต่อสู้ในวิถีทางของกฏหมายเพื่อไม่ให้เกิดเหตุรุนแรงขึ้น ทั้งนี้สืบเนื่องจากที่วิเคราะห์สถานการณ์แล้วพบว่ามีความพยายามใช้เงินปลุกระดมมวลชนและเป็นสถานการณ์ที่อาจเกิดการปฏิวัติซ้ำ


 พร้อมกันนี้ผู้ประสานงาน พีเน็ต ยังมองว่าร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 มีความล้าหลังไม่เป็นประชาธิปไตย จึงอยากเรียกร้องให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. ลงมติไม่รับร่าง


 


 


"พี่เป้า" เสียความรู้สึก สายัณห์ สัญญาขึ้นเวทีแล้วถูกแบน


ข่าวสด คอลัมน์ ข่าวทะลุคน : สายัณห์ สัญญา ออกมาครวญว่าหลังขึ้นเวทีขับไล่รัฐบาลและคมช. ที่ท้องสนามหลวง รุ่งขึ้นก็ถูกรัฐบาลโดยช่อง 11 แบนโฆษณาอัลบั้มเพลงชุดใหม่ ร้อนถึงเจ้าของค่ายเทป ออกมาแก้ต่างว่าสั่งแบนเอง เพราะไม่พอใจที่มายุ่งเกี่ยวกับม็อบการเมือง


 


 






คุณภาพชีวิต


 


 


'พระพยอม' ออก จตุคำรวยโคตร


ไทยรัฐ : ที่วัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี พระราชธรรมนิเทศ หรือพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว เปิดเผยว่า ได้ทำคุกกี้ขึ้นมาชนิดหนึ่ง ใช้ชื่อว่าคุกกี้ "จตุคำ" รุ่นฉุกคิด 4 คำ รวยโคตร ลักษณะของคุกกี้ คล้ายเหรียญจตุคามรามเทพ เป็นทรงกลมเส้นผ่า ศูนย์กลาง 6 เซนติเมตร ด้านหน้ามีคำว่า "จตุคำ" มีทองคำเปลวปิดบางๆ ส่วนด้านหลังเป็นยันต์คำว่า อุ อา กะ สะ บรรจุในกระป๋องอะลูมิเนียมอย่างดี กล่องละ 4 ชิ้น ขายราคา 60 บาท มีจำหน่ายที่วัดสวนแก้ว สาเหตุเพื่อเตือนคนไทยที่หลงงมงาย ยึดติดจตุคามรามเทพแทนที่จตุราอริยสัจ หรืออริยสัจ 4 อันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้คนไทยได้คิด ไม่ยึดติดหลงใหลในวัตถุอย่างไร้สติ


 



พระพยอมกล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมามีการสร้างจตุคามรามเทพกันหลายร้อยรุ่น แต่ที่สะกิดใจเป็นชื่อรุ่นรวยไม่มีเหตุผล ทำให้อยู่เฉยต่อไปไม่ได้ ถ้าห้อยแล้วรวยไม่มีเหตุผล ก็จะขอซื้อสักโหล เพื่อนำไปห้อยที่ทำเนียบรัฐบาล กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลังช่วยให้รวยทีเดียวทั้งประเทศ ไม่ต้องมาห้อยคอทีละคนให้คอเคล็ดขัดยอก สำหรับที่ตั้งชื่อรุ่นว่า ฉุกคิด 4 คำ รวยโคตร นำมาจากหัวใจมหาเศรษฐีที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ คือ อุ มาจากอุฏฐานสัมปทา มีความขยันหมั่นเพียรหรือขยันหา อา มาจากอารักขสัมปทา หมายถึงเก็บรักษาทรัพย์สินที่ได้มาโดยชอบธรรม หรือขยันเก็บ กะ มาจากกัลยาณมิตตา คือการคบหาคนดีหรือการเลือกคบคน สะ มาจากสมชีวิตา คือการใช้จ่ายประหยัด ดังนั้น อุ อา กะ สะ ขยันหา ขยันเก็บ เลือกคบ เลือกใช้ เมื่อฉุกคิดแล้วเข้าใจก็จะรวยได้



 


 


รุกศธ.เดินหน้าแก้กฏสกัดร้านเหล้าห่างรั้วโรงเรียน


ไทยรัฐ : นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายกิจกรรมนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ พร้อมด้วยรองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษามหาวิทยาลัยจำนวน 6 แห่ง ได้เดินทางมายื่นหนังสือข้อเรียกร้องขอให้เขต 500 เมตร จากสถานศึกษาเป็นเขตควบคุมการขายสุรา ต่อ รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ รมช.ศึกษาธิการ โดยนายปริญญากล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาร้านเหล้าบริเวณใกล้มหาวิทยาลัย กลายเป็นปัญหาคุกคามสถาบันการศึกษาต่างๆเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพราะกฎกระทรวงการคลัง ว่าด้วยข้อกำหนดเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตขายสุราและการขายสุราฯ พ.ศ.2548 อนุญาตให้กรมสรรพสามิตสามารถออกใบอนุญาตขายสุราให้กับร้านเหล้าใกล้ มหาวิทยาลัยได้ ทำให้เกิดปัญหาร้านเหล้าใกล้มหาวิทยาลัยลุกลามไปทั่ว


 


ดังนั้น จึงขอยื่นหนังสือผ่าน ศธ. เพื่อเสนอเรื่องนี้ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาแก้ไขกฎกระทรวงการคลังว่าด้วยเรื่องดังกล่าว พร้อมทั้งมาตรการอื่นๆดังนี้ 1.มิให้กรมสรรพสามิตออกใบอนุญาตขายสุราแก่ผู้ขออนุญาตรายใหม่ในเขต 500 เมตรจากรั้วสถานศึกษา 2. ในการต่อใบอนุญาตแก่รายเก่า ปีต่อปีในเดือน ธ.ค.นั้นร้านนั้นหรือผู้ขายสุรารายนั้นจะต้องไม่ถูกคัดค้านเป็นลายลักษณ์อักษรจากอธิการบดีหรือผู้อำนวยการสถานศึกษา 3. ในเขต 500 เมตร จากรั้วสถานศึกษา ถ้าขายสุราโดยละเมิดกฎหมาย สถานศึกษาสามารถร้องขอให้กรมสรรพสามิตเพิกถอนใบอนุญาตขายสุราได้และ 4. ในเขต 500 เมตรจากรั้วสถานศึกษา ห้ามมิให้ผู้ได้รับใบอนุญาตขายสุรา ขายสุราแก่ผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรืออายุไม่ครบ 20 ปี



 


 


"อัมมาร" แนะดึงมืออาชีพบริหาร สปส.


กรุงเทพธุรกิจ : เวทีสัมมนาสาธารณะเรื่อง "ปรับโครงสร้างประกันสังคม สู่ประโยชน์ลูกจ้าง"โดยนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า ควรต้องมีการทบทวนพัฒนาระบบโครงสร้างประกันสังคม เนื่องจากกองทุนบริหารมาเป็นเวลานานถึง 17 ปี จำนวนเงินพอกพูนถึง 4 แสนล้านบาท ดูแลผู้ใช้แรงงาน 9 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง



 


ทั้งนี้ เพื่อให้มีการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทำงานอย่างคล่องตัว ซึ่งอาจจะเป็นในรูปองค์กรมหาชนที่มีพระราชบัญญัติอีกอย่างหนึ่งรองรับ มีขอบเขตให้บริการ ไม่ขึ้นอยู่กับองค์กรธุรกิจ โดยอาจจะอยู่ภายใต้อำนาจรัฐหรือไม่ก็ได้ นอกจากนี้การเปลี่ยนรูปแบบไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งหมด เรื่องไหนที่ดีอยู่แล้วทำให้ดียิ่งขึ้นไป ส่วนไหนที่ยังติดขัด มีปัญหาก็ปรับให้ถูกต้อง


 



ด้าน ศ.ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า เงินประกันสังคมส่วนใหญ่นั้นเป็นเงินที่ออมไว้เพื่อชราภาพ ซึ่งเป็นเงินเพื่อใช้จ่ายในประโยชน์ทดแทนเพียง 30,000 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งนี้หากการบริหารเงินชราภาพอย่างไม่มีประสิทธิภาพแล้วอีก 40 ปีข้างหน้าเงินส่วนนี้เมื่อถึงเวลาจ่ายคืนให้กับผู้ประกันตนยามเกษียณอาจจะหมดลงไปได้ ทั้งนี้อยากเสนอให้เชิญผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญ มืออาชีพ มาบริหารกองทุนนี้ โดยอาจจะยกกองทุนดังกล่าวออกนอกระบบราชการ


 



 






เศรษฐกิจ


 


 


รัฐบาลกระเป๋าฉีกขาดดุลพุ่ง เหตุรายจ่ายกระฉูดกว่า9.9แสนล.


แนวหน้า : นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลังในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังได้แถลงฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2550 (ตุลาคม 2549-พฤษภาคม 2550)สรุปได้ว่า รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังรวม 800,102 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 2.9% ขณะที่รัฐบาลมีการใช้จ่ายเงิน 990,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1% ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2550 ขาดดุล 190,261 ล้านบาท ขาดดุลเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 60,560 ล้านบาท หรือ 46.7% และเมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุลจำนวน 53,852 ล้านบาทแล้ว ทำให้ดุลการคลัง (ดุลเงินสด) ของรัฐบาลขาดดุล 244,113 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้ชดเชยการขาดดุลโดยการใช้เงินคงคลัง 100,453 ล้านบาท การออกพันธบัตรจำนวน 97,115 ล้านบาท และการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 46,545 ล้านบาท การขาดดุลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของนโยบายการคลังในการสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม


 



ด้านรายได้นำส่งคลัง ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2550 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 800,102 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 2.9 %โดยรายได้ที่จัดเก็บเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนในอัตราสูงที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเบียร์ ภาษียาสูบ ภาษีสุรา ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีน้ำมัน และภาษีเงินได้ปิโตรเลียม นอกจากนี้รายได้จากรัฐวิสาหกิจและส่วนราชการอื่นก็เพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกัน


 



รายจ่ายรัฐบาล ในเดือนพฤษภาคม 2550 รัฐบาลมีรายจ่าย 137,086 ล้านบาท แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 90,381 ล้านบาท รายจ่ายลงทุน 40,931 ล้านบาทและรายจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 5,775 ล้านบาท และในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2550 การเบิกจ่ายของรัฐบาล 990,363 ล้านบาท สูงกว่าการเบิกจ่ายในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 9.1%


 



ดุลการคลังรัฐบาลตามกระแสเงินสด จากรายได้นำส่งคลังและการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลข้างต้นส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 190,261 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุล 53,852 ล้านบาท ขาดดุลทั้งสิ้น 244,113 ล้านบาท รัฐบาลชดเชยการขาดดุลด้วยการใช้เงินคงคลัง 100,453 ล้านบาท การออกพันธบัตร 97,115 ล้านบาท และการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 46,545 ล้านบาท


 


 






ต่างประเทศ


 


 


 


กฎ WHO พบโรคร้ายรีบแจ้งใน 24 ชม.


ไทยรัฐ : นพ.มรกต กรเกษม รมช.สาธารณสุข (สธ) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย. 2550 เป็นต้นไป กฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ.2548 (International Health Regulation : IHR 2005) ซึ่งเป็นข้อตกลงของประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลกทั้ง 192 ประเทศ เพื่อตรวจจับการระบาด ป้องกันควบคุมโรคติดต่อข้ามแดน และภัยฉุกเฉินทางสาธารณสุขอื่นๆ ลดผลกระทบในการเดินทาง การขนส่งระหว่างประเทศ จะเริ่มมีผลบังคับใช้พร้อมกันทั่วโลก ซึ่งประเทศสมาชิกจะต้องปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน โดยตามกฎอนามัยระหว่างประเทศฉบับนี้ ระบุให้ประเทศสมาชิกรายงานการพบโรคระบาดให้องค์การอนามัยโลกภายใน 24 ชั่วโมง แม้ว่าจะพบผู้ป่วยเพียงรายเดียว ก็ต้องรีบควบคุมป้องกันโรคในประเทศทันที โดยโรคที่ต้องรายงานมี 4 โรค คือ 1. ฝีดาษ 2. โปลิโอ 3. ซาร์ส และ 4. โรคไข้หวัดใหญ่ในคนที่เป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่


 



นพ.มรกตกล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีโรคที่ต้องแจ้งองค์อนามัยโลก เมื่อมีความรุนแรงหรือเกิดการระบาดที่จะกระทบต่อประเทศอื่นอีก 7 โรค ได้แก่ 1. อหิวาตกโรค 2. กาฬโรค 3. ไข้เหลือง 4. ไข้เลือดออกอีโบล่า ไข้เลือดออกลาสสา และไข้เลือดออกมาร์เบิร์ก 5. ไข้เวสท์ ไนล์ รวมทั้งโรคอื่นๆที่น่าเป็นกังวล อาทิ ไข้เลือดออก ไข้ริฟท์ วัลเลย์ และไข้สมองอักเสบ รวมถึงภัยสุขภาพอื่นๆด้วย ซึ่ง สธ.ได้เตรียมความพร้อมการปฏิบัติการแล้ว โดยมอบหมายให้สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค เป็นแกนกลางประสานจัดทำแผนแม่บท เพื่อให้มีหน่วยระบาดวิทยาและทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว ครอบคลุมทุกอำเภอทั่วประเทศ และทำหน้าที่ประสานกับองค์การอนามัยโลกด้วย


 


 


ลดชั้น 'พลูโต' อีก ปัดดาวแคระ ดวงใหญ่สุด


ไทยโพสต์ : นักวิทย์ลดชั้นดาวพลูโตอีกครั้ง หลังเคยริบตำแหน่งสมาชิกกลุ่มดาวนพเคราะห์และจัดเป็นแค่ 'ดาวเคราะห์แคระดวงใหญ่ที่สุด' ทั้งนี้ผลการคำนวณที่ตีพิมพ์เมื่อวันพฤหัสฯ ระบุว่า วัตถุที่นักดาราศาสตร์ไม่ได้จัดเป็นดาวเคราะห์อีกต่อไปดวงนี้ ยังไม่อาจจัดเป็นดาวเคราะห์แคระที่มีขนาดใหญ่ที่สุดด้วยซ้ำ เพราะมีขนาดเล็กกว่าดาวเคราะห์แคระ อีริส ซึ่งเพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้


 


ไมเคิล บราวน์ และเอมิลี ชอลเลอร์ แห่งสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย ได้ใช้ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล และหอดูดาวเค็กที่ฮาวาย ในการคำนวณพบเป็นครั้งแรกว่า อีริสมีมวลสารมากกว่าดาวพลูโต


 


อีริส ซึ่งถูกค้นพบเมื่อปี 2548 และตั้งชื่อตามเทพีแห่งการวิวาทของยุคกรีกโบราณ มีมวลสารมากกว่าพลูโต 27% และมีขนาดราวครึ่งหนึ่งของดวงจันทร์ของโลก ทั้งนี้ พลูโตซึ่งตั้งชื่อตามเทพเจ้าแห่งเมืองบาดาลของกรีกโบราณถูกค้นพบเมื่อปี 2473


 


 


ญี่ปุ่นแจงไม่เคยก่อกรรมหญิงเอเชีย


กรุงเทพธุรกิจ : ส.ส.ญี่ปุ่นได้ลงโฆษณาเต็มหน้าในหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ของสหรัฐ เพื่อปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าทหารญี่ปุ่นเคยบีบบังคับให้ผู้หญิง 200,000 คนให้บริการทางเพศกับทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2


 



โฆษณาดังกล่าวมีชื่อว่า "ความจริง" เนื้อหาระบุว่า ต้องการแบ่งปันข้อเท็จจริงกับชาวอเมริกันเกี่ยวกับเรื่อง "ผู้หญิงบำเรอ" โดยชี้ว่า ไม่เคยมีการพบเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่แสดงว่า มีผู้หญิงถูกบังคับเพื่อให้บริการทางเพศกับกองทัพญี่ปุ่น


 



"หญิงบำเรอที่อยู่กับกองทัพญี่ปุ่น ไม่ได้อยู่ในสถานะที่เรียกกันทั่วไปว่า ทาสบริการทางเพศ พวกเธอทำงานใต้ระบบโสเภณีที่ได้รับอนุญาต และเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วโลกในขณะนั้น" โฆษณาระบุ พร้อมเสริมว่า ผู้หญิงหลายคนหาเงินได้มากกว่าทหารหรือแม้แต่นายพล


 



โฆษณานี้ลงนามโดยส.ส.44 คน จากพรรคเสรีประชาธิปไตย พรรคประชาธิปปัตย์ และพรรคอิสระอีก 2 พรรค รวมถึง กลุ่มนักวิชาการ นักหนังสือพิมพ์ และนักการเมืองในญี่ปุ่น


 



ก่อนหน้านี้นักประวัติศาสตร์ระบุว่า มีผู้หญิง 200,000 คน ในเกาหลีใต้ จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไต้หวันที่ถูกบังคับเพื่อให้บริการทางเพศกับทหารญี่ปุ่น


 


เมื่อเดือนมีนาคม นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ก่อให้เกิดกระแสโกรธแค้นเมื่อเขากล่าวว่า ไม่มีหลักฐานว่า กองทัพญี่ปุ่นเคยบังคับให้หญิงบำเรอดังกล่าวให้บริการกับทหารช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net