The Decemberists - The Crane Wife

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

ภฤศ ปฐมทัศน์

 

โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าเรื่องเล่าจำพวกนิทานพื้นบ้าน (Folklore) นั้น มีทั้งความเป็นท้องถิ่นและความเป็นสากลอยู่ในตัว

 

เรื่องความเป็นท้องถิ่นนั้น คงไม่ต้องอธิบายให้มากความ เพราะแหล่งกำเนิดของมันก็บ่งบอกอยู่แล้ว ส่วนความเป็นสากลที่ผมพูดถึง คงจะต้องอ้างอิงถึงสิ่งที่เรียกว่า "ความเป็นมนุษย์" ด้วย

 

ฉะนั้นไม่ว่าตัวละครในนิทานเรื่องนั้นๆ จะเป็น นก, แมลง, ปลา, เทพอารักษ์, ปีศาจ, อสูรกาย หรือ สัตว์วิเศษตนใดก็ตาม ย่อมต้องแสดงและสะท้อนส่วนของความเป็นมนุษย์ออกมาบ้างไม่มากก็น้อย โดยไม่จำกัดว่าจะเป็นของชาติไหน เผ่าพันธุ์ใด เป็นธรรมดาที่บางทีเราเห็นว่า ถึงนิทานจะมาจากต่างชาติต่างภาษากัน แต่มันช่างคล้ายคลึงกันเสียเหลือเกิน

 

และเรื่องที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้ เป็นนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่น ที่ชื่อว่า The Crane Wife (ภรรยานกกระเรียน) เช่นเดียวกับนิทานพื้นบ้านหลายๆ เรื่อง นิทานเรื่องนี้มีหลายเวอร์ชั่น ตัวเรื่องในแต่ละเวอร์ชั่นก็ต่างกันออกไป แต่ในที่นี้ผมจะขอเล่าในเวอร์ชั่นที่วง The Decemberists เอามาทำเป็นเพลง และใช้เป็นชื่อของอัลบั้มนี้ด้วย

 

 

เรื่องมีอยู่ว่า...

 

ชายยากจนผู้หนึ่งได้พบกับนกกระเรียนกำลังบาดเจ็บโดยมีลูกธนูปักอยู่ เขาจึงได้ลงมือรักษาช่วยชีวิตนกกระเรียนตัวนี้ไว้ หลังจากที่เขาปล่อยนกกระเรียนกลับไปได้สองสามวัน ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมายืนอยู่หน้าประตูบ้าน เมื่อเขาได้พบกับผู้หญิงคนนี้แล้ว เขาก็ตกหลุมรักทันที ไม่นานนักเขาทั้งสองก็แต่งงานกัน

 

กระนั้นก็ตาม พวกเขายังต้องการเงินในการเอามาจุนเจือให้มีชีวิตรอด ภรรยาเขาจึงบอกว่าเธอสามารถทอชุดผ้าไหมสวยสดงดงามเอาไปขายตลาดได้ แต่ขอเพียงอย่างเดียวคือ ห้ามอย่าให้ใครเห็นเธอตอนกำลังทอผ้าเป็นอันขาด ชายผู้เป็นสามียอมตกลง พวกเขาจึงเริ่มนำเสื้อผ้าที่ทอโดยภรรยาไปขายและใช้ชีวิตอย่างสุขสบายจากรายได้ส่วนนี้ แต่ฝ่ายผู้เป็นสามีเริ่มรู้สึกอยากได้เงินทองมากกว่าที่เป็นอยู่ เขาจึงบอกให้ภรรยาทอเสื้อมาขายให้มากขึ้นกว่าเก่า มากขึ้นเรื่อยๆ ... เรื่อยๆ ตามความโลภที่เพิ่มขึ้นของเขา จนมันบดบังตาไม่ให้เขาสังเกตเห็นสุขภาพที่แย่ลงของภรรยา

 

กระทั่งวันหนึ่ง ในที่สุดเขาก็ได้แอบลอบมองดูด้วยความอยากรู้ว่า ภรรยาเขาทอผ้าไหมได้งดงามขนาดนี้ได้อย่างไร แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจเพราะสิ่งที่เขาได้เห็นคือนกกระเรียนตัวหนึ่งกำลังถอนขนตัวเองออกมา และใช้ขนนั้นทอผ้า นกกระเรียนซึ่งก็คือภรรยารู้ตัวว่าถูกพบความจริงเข้าแล้ว ก็บินหนีจากไป ทิ้งสามีผู้ละเมิดสัญญาไว้เพียงลำพัง...โดยไม่กลับมาอีกเลย

 

ตัวต้นฉบับของนิทานเรื่องนี้เองเล่าด้วยความรู้สึกกลางๆ ไม่ตัดสินว่าใครคนใดคนหนึ่งเป็นฝ่ายผิด ถึงเนื้อหามันจะชวนให้เรารู้สึกลบต่อตัวชายผู้เป็นสามีของนกกระเรียนบ้าง ในแง่ของความโลภในทรัพย์ รวมถึงความอยากรู้อยากเห็นอันเป็นต้นเหตุให้ภรรยากลับร่างเดิมเป็นนกกระเรียนแล้วจากไป แต่ผมก็ยังไม่อยากด่วนตัดสินพิพากษาว่าสามีผู้นี้เป็นคนผิดบาปไม่น่าให้อภัย เลือกเอาความรักอย่างบริสุทธิ์ใจ (?) ของนกกระเรียนในร่างภรรยาสาวไปแลกกับเม็ดเงิน

 

ทั้งความโลภและความอยากรู้อยากเห็น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับมนุษย์ปุถุชนอย่างเราๆ ยิ่งกับคนที่เคยพบแต่ความยากแค้นมาก่อน เมื่อมีโอกาสลบภาพความอับจนของเขาได้ เหตุไฉนเลยเขาจะไม่คว้าโอกาสนั้นไว้ กับผู้คนที่มีกินมีใช้อย่างไม่ขัดสนอย่างเรา มีสิทธิอะไรที่จะไปตัดสินเขา?

 

จึงเป็นการดีที่วง The Decemberists เลือกที่จะเล่านิทานเรื่องนี้ผ่านมุมมองของสามีผู้ยากจน ด้วยน้ำเสียงแบบที่ชวนให้รู้สึกเห็นใจเขาขึ้นมาบ้าง เพราะชายคนนี้ก็ดูจะโศกเศร้าและรู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเองอยู่เหมือนกัน

 

(ถ้าเป็นไปได้ ผมเองก็อยากให้มีการเล่าผ่านตัวอักษรของภรรยาผู้เป็นนกกระเรียนดู เพราะผมอยากรู้ว่าการที่เธอเลือกจะอยู่กินกับชายผู้นี้ เป็นเพราะความรักอย่างบริสุทธิ์ใจหรือเพียงต้องการทดแทนบุญคุณ หรือทั้งสองอย่าง? …แล้วไฉนเธอถึงหนีจากสามีเธอไปในตอนท้าย เพราะเขารู้ความลับเสียแล้ว หรือเพราะอย่างอื่นด้วย?)

 

 

นอกจากเรื่องราวของ The Crane Wife ทั้งสามภาค (ผ่านสองบทเพลง) แล้ว เพลงอื่นๆ ในอัลบั้มนี้ของ The Decemberists ก็เต็มไปด้วยเรื่องเล่าโศกนาฏกรรม ทั้งความรัก, สงคราม, ความโกรธแค้น, การพลัดพราก และความตาย...

 

กระนั้นตัวอัลบั้มนี้ ก็ไม่ได้หม่นเศร้าไปเสียทั้งหมด

 

ในเพลงอย่าง Yankee Bayonet (I Will be Home Then) เป็นเรื่องราวของคู่รักที่ต้องพลัดพรากจากกันเพราะสงคราม แต่ตัวเพลงมันช่างแสนสุขสงบฟังได้เพลินๆ รวมไปถึงเสียงร้องลูกคู่ที่ Meloy (นักร้องนำวงนี้) ร้องร่วมกับนักร้องโฟล์คสาว Laura Viers ก็ฟังดูอ่อนหวานพอดีๆ แม้จะมีเสียงเร่งเร้าขึ้นมาบ้างและตอนจบจะกลายเป็นความสูญเสียในที่สุดก็ตาม

 

"But oh, my love, though our bodies may be parted
Though our skin may not touch skin
Look for me with the sun-bright sparrow
I will come on the breath of the wind"

 

-          Yankee Bayonet (I Will Be Home Then)

 

แม้วง The Decemberists จะถูกจัดว่าเป็นวง Indie Pop เช่นอีกหลายๆ วงในสมัยนี้ แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของพวกเขาเลยก็คือ สรรพสำเนียงแบบ Folk ที่ผสานกลมกลืนกันเป็นอย่างดี นอกจากนี้ความ Folk ยังทำให้เข้ากันได้กับเนื้อเพลงแบบ "เล่าเรื่อง" อีกด้วย

 

มีเรื่องราวความรักท่ามกลางรอยแค้น (คล้ายๆ โรมิโอ แอนด์ จูเลียต แบบที่เรียกกันว่า Star-cross lovers) ในเพลง O! Valencia และแน่นอนว่ามันจบลงอย่างเจ็บปวด ทั้งที่เพลงนี้เองก็มีจังหวะและริฟฟ์ที่ร่าเริงสดใส

 

กับบางเพลงก็ปะปนกันทั้งความรู้สึกซึมเซา ฉงนฉงาย และเบิกบานไว้ด้วยกันอย่าง Summersong ทั้งที่เพลงนี้พูดถึงความตายด้วยอุปมาของคลื่นทะเล และการจากไปของฤดูร้อน (ชีวิต?)

 

The Decemberists ในอัลบั้มล่าสุดนี้ได้ย้ายจากค่ายอินดี้อย่าง Kill Rock Star ที่ผลักดันผลงานวง Riot Grrrl ดีๆ มาแล้วอย่าง Bratmobile, Bikini Kill และ Sleater-Kinney มาสู่ค่ายใหญ่อย่าง Capital Record (ซึ่ง Colin Meloy ให้เหตุผลที่เลือกค่ายนี้เพราะเป็นค่ายเดียวที่เคยทำงานร่วมกับวงอย่าง Pink Floyd และ Radiohead)

 

ทุกครั้งที่ศิลปินมีการย้ายค่าย และ/หรือ เปลี่ยนโปรดิวเซอร์ มักจะเป็นที่หวาดกลัวแก่เหล่าแฟนๆ ของวง ว่าเสียงมันจะเปลี่ยนไปจนอะไรเดิมๆ ที่พวกเขาชอบหายไป และถึงแม้ Producer จะเป็น Chris Walla คนเดิม แต่ซาวน์ดนตรีของชาวธันวาฯ เหล่านี้ก็เปลี่ยนไปจนพอจะจับได้บ้าง รวมๆ แล้วรู้สึกว่าส่วนของดนตรีใช้องค์ประกอบน้อยลง (ในด้านดีมันอาจจะหมายความว่ารกน้อยลงก็เป็นได้-แต่โดยส่วนตัวผมชอบดนตรีรก ๆ) เสียงเพราะๆ ของเมโลดิก้าที่ถูกกลืนหายไปบ้างในบางเพลง (เมโลดิก้าเป็นเครื่องเป่าลมพวกหีบเพลงปาก แบบฮาร์โมนิก้า เพียงแต่จะมีแป้นกดเพิ่มเข้ามา)

 

เพลงอย่าง The Perfect Crime #2 อาจจะทำให้เหล่าผู้ชื่นชอบ The Decemberists เก่ารับไม่ค่อยได้ ด้วยซาวน์แบบ Blues Rock ที่ทำได้แน่นดี แต่ก็ขาดสีสันเดิมๆ ของวงนี้ไป ถึงมันจะเหมาะกับเรื่องราวของสายลับในยุคสมัยใหม่ก็เถอะ หรือเพลงที่หนักหน่วงขึ้นมาจนเกือบเป็น Hard Rock อย่าง When The War Came โดยส่วนตัวรู้สึกว่าความเปลี่ยนแปลงในเพลงนี้ทำได้ดีกว่า The Perfect Crime #2 กับดนตรีที่ลึกและมีสีสันกว่า

 

เพลง When The War Came นี้พูดถึงนักพฤกษศาสตร์รัสเซียที่ชื่อ Nicolai Vavilov ผู้ปกป้องพันธุ์พืชมากมายในคลังเพาะพันธุ์ เมื่อเกิดเหตุการณ์สงครามปิดล้อมเลนินกราด (Siege of Leningrad) แต่การศึกษาพันธุกรรมของเขากลับทำให้เขาถูกจับกุมข้อหาปกป้องแนวคิดแบบชนชั้นกลางในเวลาต่อมา และเสียชีวิตเนื่องจากการขาดสารอาหารในคุก

 

ในยุคที่อุดมการณ์ถูกแปรเปลี่ยนเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จ ความเลวร้ายย่อมเกิดขึ้นได้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่ว่าอำนาจเบ็ดเสร็จเหล่านั้นจะตกแต่งด้วยคำว่าประชาธิปไตย คุณธรรม หรือระบอบใดๆ ก็ตาม

 

"A terrible autonomy 
Is grafted onto you and me 
Our trust put in the government 
They told their lies as heaven-sent"

           

-          When The War Came

 

เรื่องเล่าที่ไม่ใช่เรื่องแต่งยังมีอีกในเพลง Shankill Butcher เพลงอะคูสติกส์บัลลาดโล่งๆ กับบรรยากาศแบบหมองหม่นชวนสะพรึง Shankill Butcher เป็นชื่อของแก๊งค์ในไอร์แลนด์เหนือ เมืองเบลฟาสต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกกลุ่ม UVF (Ulster Volunteer Force) กลุ่มผู้ภักดีต่อระบอบสถาบันของอังกฤษและต่อต้านพวก IRA

 

ใครว่ามีแต่กลุ่มกบฏที่น่ากลัวโหดร้าย พวกอนุรักษ์นิยมก็อำมหิตได้ไม่แพ้กัน กลุ่ม Shankill Butcher ออกไล่ฆ่าชาวคาธอลิคในยามค่ำคืน (บางคนไม่เกี่ยวอะไรกับ IRA เลย) ด้วยการลักพาตัว เชือดคอ ถลกหนัง จับแขวน ฯลฯ

 

เป็นความบ้าคลั่งส่วนตัว หรือแนวคิดฝังหัวกันแน่ที่ทำให้พวกเขาเป็นเช่นนี้?

 

"They used to be just like me and you
They used to be sweet little boys
But something went horribly askew
Now killing is their only source of joy"

 

-          Shankill Butcher

 

รู้สึกว่าผมจะพูดถึงแต่อะไรเศร้าๆ โหดๆ หนักๆ ของอัลบั้มนี้มากไปแล้ว ทั้งที่จริงๆ ดนตรีของอัลบั้มนี้ออกจะเต็มไปด้วยความละเมียดละไม บางเพลงก็เพิ่มความซับซ้อนของยุค 70"s กับอารมณ์แบบ Epic เข้าไปจนเป็น Progressive อย่างเพลง The Island (ที่มีบทย่อยอีกสามบทคือ Come and See, The Landlord"s Daughter และ You"ll not feel the drowning) สื่อบางแห่งจึงถึงขั้นเอาอัลบั้มนี้ไปเทียบเคียงกับวงรุ่นใหญ่อย่าง Jethro Tull

 

เนื้อหายาวเหยียดของ The Island นั้นได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่อง The Tempest ของ Shakespeare

 

ถึงเนื้อหาอัลบั้มนี้จะเต็มไปด้วยความรุนแรงที่มนุษย์กระทำต่อกัน แต่ในเพลงสุดท้ายของอัลบั้ม Sons and Daugthers ก็ดูจะเป็นเพลงเสริมกำลังใจให้ความหวังของผู้ฟังกลับคืนมา...แม้โลกใบนี้ทั้งที่ผ่าน ๆ มาและที่กำลังเป็นอยู่จะเต็มไปด้วยเรื่องเศร้าๆ แต่การมองโลกในแง่ดีแบบฉาบฉวยก็ไม่อาจช่วยอะไรได้มากไปกว่าแค่รักษาระบบเดิมๆ เอาไว้ การเชื่อมั่นในอนาคตที่ดีกว่าและหาทางออกร่วมกันต่างหาก คือสิ่งที่เป็นความหวังของพวกเราหนุ่มสาว ที่จะช่วยกันลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงโลก ไม่ให้ย้อนกลับไปสู่ความเลวร้ายเดิมๆ อีก

 

"Take up your arms
Sons and daughters
We will arise from the bunkers
By land, by sea, by dirigible
We'll leave our tracks untraceable now"

 

-          Sons and Daugthers

 

 

สุดท้ายนี้ผมก็ขออนุญาตนำเพลง The Crane Wife ภาค 1 และ 2 (รวมเป็นเพลงเดียวกัน) พร้อมกับเนื้อเพลง มาให้ลองฟังกันครับ

 

ภาค 1

 

It was a cold night

And the snow lay 'round

I pulled my coat tight

Against it falling down

And the sun was all...

And the sun was all down

And the sun was all...

And the sun was all down

 

I am a poor man

I haven't wealth nor fame

I have my two hands

and a house to my name

And the winter's so...

And the winter's so long

And the winter's so...

And the winter's so long

 

And all the stars were crashing 'round

As I laid eyes on what I'd found

 

It was a white crane

It was a helpless thing

Upon a red stain

With an arrow in its wing

and it called and cried...

and it called and cried so

and it called and cried...

and it called and cried so

 

And all the stars were crashing 'round

As I laid eyes on what I'd found

 

My crane wife

My crane wife

My crane wife

My crane wife

 

And now I helped her

And now I dressed her wounds

And now I held her

Beneath the rising moon

And she stood to fly...

And she stood to fly away

And she stood to fly...

And she stood to fly away

 

And all the stars were crashing 'round

As I laid eyes on what I'd found

 

My crane wife

My crane wife

My crane wife

My crane wife

 

ภาค 2

 

My crane wife arrived at my door in the moonlight

All starbright and tongue-tied I took her in

We were married and bells rang sweet for our wedding

And our bedding was ready and we fell in

 

Sound the keening bell

And see it's painted red

Soft as fontanelle

The feathers in the thread

And all I ever meant

To do was to keep you

My crane wife

My crane wife

My crane wife

 

We were poorly, our fortunes fading hourly

And how she loved me, she could bring it back

But I was greedy, I was vain and I forced her to weaving

On a cold loom in a closed room, down the hall

 

Sound the keening bell

And see it's painted red

Soft as fontanelle

The feathers in the thread

And all I ever meant

To do was to keep you

My crane wife

My crane wife

My crane wife

 

There's a bend in the wind

And it rakes at my heart

There is blood in the thread

And it rakes at my heart

My crane wife

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท