นุ่มนวล ยัพราช
นักวิจัยโครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย
"ตกงาน" เป็นฝันร้ายที่หลายคนคงไม่อยากเจอ แต่ในวัฏจักรชีวิตของแรงงานแล้วก็ยากที่จะหลีกพ้น
สาเหตุการออกจากงานนั้นมีหลายรูปแบบด้วยกัน นับตั้งแต่ สุดจะทนเงื่อนไขการทำงานที่โหดร้าย ค่าแรงไม่พอกินกับค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน บ้างก็มีสาเหตุมาจากโรงงานปิด โรงงานย้ายฐานการผลิตไปอยู่ที่อื่น หากโรงงานไหนมีสหภาพแรงงาน ถ้าเข้าสู่ช่วงการยื่นข้อเรียกร้องเพื่อให้นายจ้างปรับปรุงเงื่อนไขการทำงาน คนงานก็ต้องต่อสู้ด้วยความยากลำบาก บ่อยครั้งผู้นำสหภาพแรงงานมักถูกไล่ออก ถูกกลั่นแกล้งนานารูปแบบ ตัวอย่างล่าสุด คือ กรณีของคนงานอัลมอนด์
จิตวิญญาณของกฎหมายไทยมักจะเข้าข้างนายทุนและผู้มีอำนาจเสมอ จึงไม่น่าแปลกใจที่ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยถึงไม่หุบแคบลงซะที ปัญหาของคนจนมักถูกชั้นชนปกครองมองด้วยสายตาที่เมินเฉยเสมอ แล้วเราจะปล่อยให้การปฏิรูปการเมืองอยู่ในมือพวกนี้ได้อย่างไร?
แรงงานหนุ่มสาวจำนวนมากจากชนบท ได้นำความสดของวัยมาสังเวยวงการอุตสาหกรรม โรงงานทันสมัยดูดกินความมีชีวิตชีวาของแรงงานเหล่านี้ไปหมดสิ้น บ่อยครั้งเราจะพบว่า หญิงสาวที่ทำงานโรงงานมักเป็นโสด เพราะมัวแต่ทำงานงานส่งเงินไปให้พ่อแม่พี่น้องที่ชนบท ไม่มีเวลาศึกษาเรียนรู้สร้างความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม เมื่อเกษียณออกมาก็จะอยู่กับบ้านนั่งนับวันเวลาให้ผ่านไป (ประเทศไทยใจดีแบบพอเพียงช่วยเหลือคนชราด้วยเงินเดือนละ 300-500 บาท!!) การท่องเที่ยวพักผ่อนในยามเกษียณเป็นเพียงความฝันในแผ่นพับสีสวยเท่านั้น
ทุกวันนี้เงื่อนไขการทำงานของคนงานไทยไม่ได้ดีขึ้นจากยุค 30 ปีก่อนเท่าไหร่นัก สวัสดิการของแรงงานถูกเปิดศึกโดยระบบ "รับเหมาช่วง" ระบบดังกล่าวเป็นระบบการจ้างงานสั้นๆ ที่บริษัทไม่ต้องจัดสวัสดิการให้เลย ซึ่งรูปแบบนี้ ยังทำลายการรวมกลุ่มของคนงานเพื่อที่จะจัดตั้ง หรือเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน
ใครที่ยังมีแรงเหลือ ก็สู้กันต่อไปอย่าง "แดง" (นามสมมุติ) หญิงสาววัย 37 ปี ซึ่งเคยถูกเลิกจ้าง เนื่องมากจากในอดีตตอนที่เธอเป็นประธานสหภาพแรงงาน เธอได้ใช้สิทธิวันลาหยุดกิจกรรมของสหภาพแรงงาน ไปช่วยเหลือลูกจ้างที่มิใช่สมาชิกสหภาพแรงงานตน เธอจึงถูกบริษัทไล่ออก
การเริ่มต้นหางานใหม่ในวัยกลางคนเป็นเรื่องที่ไม่หมู สุภาษิตที่บอกว่า "ยิ่งมีประสบการณ์ยิ่งมีคุณค่า" ใช้ไม่ได้กับคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในแวดวงสิ่งทอ ยิ่งเธอตัวเลขเพิ่มขึ้น คุณค่าของเธอกลับลดลงอย่างสวนทางกัน
เธอพยายามหางานใหม่อยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่เธอได้งานที่เป็น "จ็อบ" สั้นๆ ค่าตอบแทนก็ไม่พอกิน อีกทั้งหนี้สินก็พอกพูนขึ้น เพราะบ้านเราไม่มีกองทุนช่วยเหลือคนว่างงาน แม้ว่าจะมีระบบประกันการว่างงานแต่ระยะเวลาที่ให้ความช่วยเหลือนั้นก็สั้นเหลือเกิน
ในที่สุดเธอได้งานใหม่ผ่านการให้ความช่วยเหลือโดยเพื่อนๆ สิ่งที่เธอตะโกนก้องออกมาคือ "เราสามารถใช้หนี้ได้แล้ว" เธอเริ่มต้นงานใหม่ด้วยจิตใจเบิกบาน โดยเป็นพนักงานนับเงิน ในบริษัทแห่งหนึ่ง ที่นี่มีระบบทดลองงาน 120 วัน ระบบชั่วโมงการทำงานไม่มีความชัดเจน ถ้ามีงานเข้ามาก็ต้องช่วยกันทำงานจนเสร็จถึงได้เลิกงาน
เธอทำงานได้ไม่กี่วันเธอก็ตัดสินใจลาออก เหตุผลของเธอคือ "ที่นี่เคารพศักดิ์ศรีของการเป็นมนุษย์น้อยเกินไป" เธอเล่าให้ฟังต่อไปด้วยน้ำเสียงที่อดสูว่า ระบบความปลอดภัยของบริษัทนี้แน่นหนาที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็น ก่อนที่พนักงานจะเข้าไปทำงานในห้องทำงานได้ต้องผ่านประตู 3 ชั้น จำนวนนี้ยังไม่รวมกับประตูด้านนอกอีก 2 ชั้น พร้อมกับระบบการตรวจความปลอดภัยเข้มทุกขั้นตอน ที่นี่ห้ามพกพาของมีค่า เช่น โทรศัพท์มือถือ เงินสด
ภายในห้องทำงานจะมีกล้องวงจรปิดอยู่เป็นจำนวนมาก นับได้แทบจะร้อยตัว เครื่องจักรตัวน้อยทำหน้าที่บันทึกกระบวนการทำงานของพนักงาน พร้อมกับสอดส่องดูว่าใครจะขโมยเงินไปบ้าง สำหรับชุดพนักงานนั้นจะเป็นชุดคลุมเนื้อผ้าลื่นๆ แขนสามส่วน คอกลม ความยาวเลยเข่า ด้านหน้าของเสื้อคลุมใช้ซิปปิดเป็นทางยาว คุณสมบัติพิเศษของชุดพนักงานนี้คือคุณไม่สามารถขโมยเงินได้ เพราะไม่สามารถซ่อนไว้ตรงไหน เพราะมันจะลื่นตกลงมา
"แดง" พูดติดตลก แต่มันเป็นตลกร้าย โดยเฉพาะถ้าเกิดกับตัวเราเองก็คงขำไม่ออก เวลาออกจากกะ การทำงานจะมีพนักงานรักษาความปลอดภัยผู้หญิงมาตรวจค้น กระบวนการตรวจค้นของที่นี่จะลูบคลำทุกสัดส่วนของพนักงาน ประหนึ่งกำลังทำพิธีกรรมร่วมรัก เช่น ในส่วนหน้าอกนั้นจะต้องถูกลูบคลำประมาณสามรอบ คล้ายกับต้องการตรวจหามะเร็งเต้านม ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอรับไม่ได้ แม้ว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยนั้นจะเป็นผู้หญิงด้วยกันก็ตาม
เธอเล่าต่อไปว่า "นี่มันเป็นกระบวนการที่ละเมิดสิทธิส่วนตัวมากเกินกว่าจะยอมรับได้" แดงทนไม่ได้ถ้าจะถูกปฏิบัติอย่างนี้ทุกวัน เธอคิดอย่างหนักจนเครียดจัด จนถึงขั้นนอนไม่หลับ นับเวลาถอยหลังกังวลว่าจะถึงวันรุ่งขึ้น
คนจนมีทางเลือกน้อยเสมอ สำหรับแดง สิ่งที่ต้องเลือกคือ การมีงานมีรายได้ต่อไป แต่ต้นทุนของเธอที่ต้องจ่าย คือ ศักดิ์ศรีของคนๆ หนึ่งที่ยอมให้คนอื่นมาจับเนื้อต้องตัวได้ตามใจชอบ ภายใต้ข้อกล่าวหาที่ตั้งไว้ล่วงหน้าว่า "คนงานอาจจะขโมยเงินของบริษัท"
ไม่ใช่เพียงแค่เธอเท่านั้นที่ไม่พอใจกับระบบการรักษาความปลอดภัยของบริษัท แต่ไม่ค่อยมีใครกล้าร้องเรียน เพราะเดิมพันของคนจนสูงเสมอ
"แดง" เล่าถึงเรื่องราวของคนงานโรงงานเจียระไนเพชรแห่งหนึ่ง วันหนึ่งบริษัทฯ แจ้งว่าเพชรหายไป จากนั้นบริษัทฯ สั่งให้พนักงานรักษาความปลอดภัยค้นตัวคนงานอย่างละเอียด โดยให้พนักงานรักษาความปลอดภัยหญิงค้นตัวคนงานในห้องน้ำ ซึ่งคนงานหญิงจะถูกบังคับให้เปลื้องผ้าเหลือแต่ชุดชั้นใน เหตุการณ์นั้นทำให้คนงานไม่พอใจมากจนถึงขั้นทนไม่ได้ เกิดการประท้วง และท้ายที่สุด คนงานหญิงคนหนึ่งได้กระโดดตบหน้าเจ้าของบริษัทที่หน้ารัฐสภาขณะเจรจา เพราะแค้นใจที่บริษัทละเมิดสิทธิและศักดิ์ศรีของเธอ โดยที่กฎหมายไทยก็ไม่ได้ช่วยปกป้องเธอแต่อย่างใด
วันนี้ "แดง" ตัดสินใจแล้วว่าจะลาออกจากบริษัทดังกล่าว ก่อนลาออก เธออยากพบผู้จัดการเพื่อจะได้ร้องเรียน แต่คำตอบที่ได้มาคือ ผู้จัดการไม่ว่าง รวมถึงพนักงานที่อยู่ตึกบริหารมักจะบอกว่าเป็นเสียงเดียวว่า รูปแบบการการตรวจค้นแบบนั้นคือนโยบายของบริษัท ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และต้องตรวจแบบนี้ทุกคน แม้แต่ผู้จัดการก็ไม่เว้น (จริงหรือเปล่าไม่รู้)
เธอไปเขียนใบลาออก รวมถึงเขียนรายงานร้องเรียนเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเธอเขียนในรายงานว่า ไม่สามารถยอมรับการตรวจค้นร่างกายคนงานหญิง ที่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้ ก่อนกลับบ้านได้เข้าไปที่ห้องสหภาพแรงงาน พบกรรมการสหภาพแรงงานระดับผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง เขาบอกว่า เมื่อเรื่องเกิดแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคุยกับนายจ้าง แต่กว่าจะได้คุยก็เป็นวันที่ 15 มิ.ย. 50
แน่นอน บริษัทแห่งนี้มีคำร้องเรียนทำนองนี้จากพนักงานแล้วครั้งหนึ่ง แต่ทางบริษัทไม่ได้มีมาตรการการรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้นแต่อย่างใด มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า น่าแค้นใจ เราได้แต่หวังว่าสหภาพแรงงานจะสามารถต่อสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของแรงงานหญิงได้ เพราะแม้ว่าเราจะมีกฎหมายการขจัดการเลือกปฏิบัติแต่ในรูปธรรมการต่อสู้โดยสหภาพและพี่น้องแรงงาน น่าจะเป็นหลักประกันที่ดีที่สุด