Skip to main content
sharethis

4 มิ.ย. 50 -- นายบัณฑิต ศิริพันธ์ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทในเครือคิงเพาเวอร์ ผู้ดำเนินการจำหน่ายสินค้าปลอดภาษี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ต่อศาลแพ่งรวม 2 สำนวน


 



สำนวนแรก บริษัท คิงเพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด  โดยนายสมบัตร เดชาพานิชกุล กรรมการผู้มีอำนาจ บริษัทเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ทอท.เป็นจำเลย เรียกทรัพย์คืนจำนวนทุนทรัพย์ 20,878,512,019 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา 7.5% ต่อปี และสำนวนที่ 2 บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด โดยนายสมบัตรได้ยื่นฟ้อง ทอท.เป็นจำเลย เรียกทรัพย์คืนจำนวนทุนทรัพย์ 48,074,147,549 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี



 


คำฟ้องสรุปว่า โจทก์เป็นผู้ดำเนินกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีประจำท่าอากาศยานนานาชาติมานาน จนเป็นที่รู้จักมีชื่อเสียง เมื่อปี 2547 โจทก์ทราบว่าจะมีการย้ายท่าอากาศยานกรุงเทพ (ดอนเมือง) ไปอยู่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โจทก์จึงเสนอเรื่องขอประกอบกิจการ โดยทำเป็นลักษณะต่ออายุ เพื่อเข้าบริหารพื้นที่กับรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการคมนาคม (ขณะนั้น) เป็นผู้รับผิดชอบ โดยสัญญาต่ออายุดังกล่าว โจทก์ได้ให้คำมั่นว่า จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนเกื้อกูลแก่จำเลยมูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาทต่อ 10 ปี เพื่อแลกกับการที่โจทก์จะเข้าไปเปิดร้านจำหน่ายสินค้าปลอดภาษี การต่อสัญญาดังกล่าวจำเลยได้เปิดให้บริษัทเอกชนรายอื่นๆ เข้าร่วมประมูลแข่งขัน โดยจำเลยได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบประวัติของผู้เข้าแข่งขัน เห็นว่าบริษัทโจทก์เคยประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีมานาน จนได้รับรางวัลระดับชาติ มีเงินทุนหมุนเวียนนับหมื่นล้านบาท จึงพิจารณาเห็นชอบให้บริษัทโจทก์ชนะประมูลเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่สนามบิน ซึ่งโจทก์ก็มีหน้าที่ตามสัญญาต้องจ่ายค่าตอบแทนแก่จำเลยเป็นงวด จนกว่าจะครบสัญญา


 



ต่อมาเมื่อมีการเลื่อนการเปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำเลยได้เรียกบริษัทโจทก์ไปทำสัญญาบันทึกข้อตกลงท้ายสัญญาเดิม ให้โจทก์ดำเนินกิจการต่อไปในปี 2559-2560 เพื่อให้สอดคล้องกับการขยายเวลาเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งบริษัทโจทก์ตกลงจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนแก่จำเลยอีก 20% ของยอดจำหน่าย


 



ต่อมาจำเลยกลับมีหนังสือแจ้งขอเลิกสัญญาทั้งหมด อ้างว่าสัญญาเป็นโมฆะ เนื่องจากโครงการจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีภายในสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินภูเก็ต สนามบินหาดใหญ่ ที่โจทก์เข้าทำสัญญานั้น เป็นโครงการมีมูลค่าเกินกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งตาม พ.ร.บ.เอกชนเข้าร่วมงานในการกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 จะต้องผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่โครงการของโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว จึงไม่มีผลผูกพันรัฐบาล ซึ่งเป็นคู่สัญญา และไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ในการเข้าใช้พื้นที่



ทั้งยังแจ้งว่าบริษัทโจทก์ทำการต่อเติมพื้นที่บริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้เกิดความเสียหาย ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ขาดความปลอดภัย จึงสั่งให้บริษัทโจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากสนามบินสุวรรณภูมิ


 



คำฟ้องดังกล่าว โจทก์เห็นว่าการบอกเลิกสัญญาของจำเลย โดยอ้างเหตุเป็นโมฆะนั้น เป็นการใช้สิทธิอันมิชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ บริษัทโจทก์ได้ผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการของจำเลย โดยมีการศึกษาประวัติการประกอบการ เมื่อโจทก์เริ่มลงทุนจ้างผู้รับเหมาก่อสร้าง จ้างบริษัทศึกษาผลได้ผลเสียทางธุรกิจ จ้างบุคลากร รวมทั้งสั่งซื้อสินค้า เครื่องอุปโภค บริโภค จากทุกมุมโลก มูลค่ามหาศาล มานานกว่า 3 ปี โดยบริษัทโจทก์ต้องไปกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ อันมีภาระดอกเบี้ยเป็นเงาตามตัว ทั้งที่คณะกรรมการพิจารณาของจำเลยมีผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นชอบอนุญาตให้บริษัทโจทก์เข้าใช้พื้นที่ แต่ปัจจุบันจำเลยกลับขอเลิกสัญญา ทั้งที่เกิดจากการกระทำของจำเลยเอง ต้องถือว่ากรณีของโจทก์เทียบเคียงได้กับแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 508/2540 ที่กองทัพบกสั่งซื้อเลื่อยยนต์จากเอกชน แล้วไม่สามารถรับมอบสินค้าได้ ต้องถือว่าเป็นกรณีการชำระหนี้เป็นพ้นวิสัย โดยที่เอกชนไม่ต้องรับผิด และส่วนราชการมีหน้าที่ชำระหนี้ต่อแทนเอกชน


 



ดังนั้นโจทก์จึงฟ้องขอเรียกทรัพย์คืน อันเกิดจากการที่โจทก์ได้ลงทุนจ้างคน จ้างงาน ก่อสร้าง สั่งซื้อสินค้า ค่าภาระภาษีที่ลงทุนในสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินภูเก็ต สนามบินหาดใหญ่ ค่าเสียหายจากการขาดรายได้เป็นทุนทรัพย์ตามฟ้องทั้งสองสำนวน และขอให้จำเลยคืนหนังสือสัญญาค้ำประกัน และคืนเงินประกันที่โจทก์ได้จ่ายไปล่วงหน้าให้แก่โจทก์ด้วย ซึ่งศาลรับคำฟ้องไว้ และนัดชี้สองสถานกำหนดประเด็นนำสืบและวันสืบพยาน วันที่ 24 กันยายนนี้ เวลา 09.00 น.


 



นายจุลจิตต์ บุณยเกตุ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท คิงเพาเวอร์ กล่าวถึงการยื่นฟ้อง ทอท.ต่อศาลแพ่งครั้งนี้ว่า เป็นการทำตามสิทธิสัญญา เพราะที่ผ่านมา คิงเพาเวอร์ได้ปฏิบัติตามสัญญาร่วมกับ ทอท.มาตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี จนเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทอท.ได้ส่งหนังสือแจ้งว่าบริษัทไม่มีสิทธิเข้าใช้พื้นที่ในอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คิงเพาเวอร์จึงต้องโต้แย้งสิทธิ เพราะเกิดความเสียหายต่อธุรกิจ และยังระงับการต่ออายุบัตรผ่านเข้า-ออกในพื้นที่อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้แก่พนักงานของบริษัท ส่งผลให้พนักงานและเจ้าหน้าที่ผู้ประกอบการ ทั้งในส่วนร้านค้าปลอดอากร และพื้นที่เชิงพาณิชย์ จำนวน 395 คน ได้รับความเดือดร้อน จึงเป็นสาเหตุที่คิงเพาเวอร์ต้องใช้สิทธิตามกระบวนการทางศาล เพื่อขอความเป็นธรรม และวิธีการดังกล่าวเป็นแนวทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย



 


ส่วนสาระสำคัญที่คิงเพาเวอร์ยื่นฟ้องร้องต่อศาลมี 3 ประเด็น คือ 1.ขอให้ ทอท.ปฏิบัติตามสัญญา ทั้งสัญญาร้านค้าปลอดอากร และสัญญาพื้นที่เชิงพาณิชย์ 2.หากการบังคับให้ ทอท.ปฏิบัติตามสัญญาไม่สามารถกระทำได้ เป็นการพ้นวิสัยไม่ว่าด้วยเหตุประการใดอันเป็นพฤติการณ์ที่ ทอท.ต้องรับผิดชอบ ขอให้ ทอท.ชดใช้ค่าเสียหายทั้ง 2 สัญญา มูลค่ากว่า 6.8 หมื่นล้านบาท 3.หากศาลวินิจฉัยว่าทั้ง 2 สัญญาไม่มีผลผูกพันต่อกัน เพราะการกระทำของ ทอท. คิงเพาเวอร์จึงมีสิทธิติดตามเอาคืนซึ่งเงินลงทุนและทรัพย์สินที่ได้ชำระให้ ทอท.ไปล่วงหน้าทั้ง 2 สัญญา โดยขอให้ ทอท.ชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด รวมทั้งได้ยื่นคำร้องเพื่อขอคุ้มครองจากศาลแพ่งด้วย


 



ด้านนางกัลยา ผกากรอง รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.กล่าวว่า คงต้องรอพิจารณารายละเอียดคำฟ้องของคิงเพาเวอร์ว่ามีเนื้อหาอย่างไร หลังจากนั้นจะนำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท.วันที่ 7 มิถุนายน แต่เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุด ในการแก้ต่างและพิจารณารายละเอียดคดีความ


 



 "เชื่อว่าสาธารณชนรับรู้แล้วว่าสัญญาที่ทำไว้เดิมนั้นไม่เป็นไปตามกฎหมาย สังคมคงรู้และคาดเดาได้ว่าคงต้องมีกระบวนการทางกฎหมายเกิดขึ้นแน่นอน ยืนยันว่าไม่หนักใจเรื่องการฟ้องร้อง และจะไม่เกิดผลกระทบต่อองค์กร เพราะต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริงและเหตุผล" รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.กล่าว


 



ขณะที่ นายชวลิต เศรษฐเมธีกุล อธิบดีกรมศุลกากร ในฐานะกรรมการ ทอท.กล่าวว่า หากคิงเพาเวอร์ยื่นฟ้องศาลจริง ถือเป็นเรื่องที่ดี ไม่หนักใจต่อกระบวนการฟ้องร้อง เพราะการให้ศาลวินิจฉัยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด และจะทำให้เกิดความยุติธรรมต่อทั้งสองฝ่าย ส่วนนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด แต่ ทอท.คงต้องรอคำสั่งศาล และเตรียมข้อมูลเพื่อชี้แจงต่อศาลในประเด็นต่างๆ ตามคำฟ้อง และเชื่อว่าเมื่อเข้าสู่กระบวนการศาลแล้ว จะมีความชัดเจนในเรื่องต่างๆ มากขึ้น



 


ด้านนายสรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม รมช.คมนาคม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า คงต้องรอดูว่าศาลรับฟ้องคดีดังกล่าวหรือไม่ แต่คณะกรรมการ ทอท.มั่นใจว่าสัญญาเป็นโมฆะ เพราะไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ และคิงเพาเวอร์ก็ใช้พื้นที่เกินจากที่กำหนด บอร์ดจึงมั่นใจว่ามีความได้เปรียบ ก่อนจะตัดสินใจให้สัญญาคิงเพาเวอร์เป็นโมฆะ และยืนยันว่าภาครัฐจะให้การดูแลผู้ประกอบการรายย่อยทุกราย โดยจะให้ทำสัญญาตรงกับ ทอท. แต่หากกระบวนการทางศาลยืดเยื้อก็จะส่งผลกระทบต่อรายได้ของ ทอท. ผู้บริหารต้องหาแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าว แต่จะไม่ใช้วิธีผลักภาระไปยังผู้บริโภค โดยการปรับค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมต่างๆ แน่นอน


 


 


......................................................................................


ที่มา :  http://www.komchadluek.net

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net