2 มิ.ย. 50 เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอาญาได้นัดสืบพยานโจทก์ คดีหมายเลขแดงที่ 716/2548 ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 สำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นโจทก์ กับ นายแวยูโซ๊ะ แวดือราแม อดีตครูและหัวหน้าฝ่ายปกครองโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ จ.ยะลา กับพวกรวม 8 คน เป็นจำเลย ในคดีความมั่นคงหลายข้อหา
เมื่อถึงเวลา 9.30 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ศาลนัดสืบพยาน ปรากฏว่าจำเลยทั้ง 8 ไม่ปรากฏตัวที่ศาล อย่างไรก็ดี ศาลยังไม่สามารถออกหมายจับได้ แม้ว่าการไม่มาศาลของจำเลย 8 รายครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 2 แล้ว โดยการนัดสืบพยานครั้งที่ผ่านมาในวันที่ 23 เมษายน 2550 จำเลยไม่มาศาล ศาลจึงได้ออกหมายเรียกส่งไปยังศาลจังหวัดปัตตานี ศาลจังหวัดยะลา ศาลจังหวัดนราธิวาส แต่ยังไม่ได้รับผลหมายจากศาลทั้งสามกลับมา จึงไม่ทราบได้ว่า ศาลจังหวัดทั้งสามได้ส่งหมายไปถึงจำเลยแล้วหรือยัง เมื่อผลหมายไม่มีจึงไม่สามารถบอกได้ว่าจำเลยหนี โดยศาลได้เลื่อนการสืบพยานฝ่ายโจทก์ในครั้งนี้ออกไปเป็นวันที่ 27 กรกฎาคม 2550 เวลา 9.00 น.
หลังเสร็จสิ้นการนัดหมายในห้องพิจารณาคดี นายกิจจา อาลีอิสเฮาะ ทนายจำเลย ให้สัมภาษณ์ต่อ "สำนักข่าวชาวบ้าน" ต่อประเด็นการไม่มาปรากฏตัวที่ศาลของจำเลยทั้ง 8 ว่า พบจำเลยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2550 หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย จนกระทั่งเมื่อพบว่าจำเลยไม่มาศาลครั้งที่แล้ว เขาและทีมทนายความก็ได้ลงพื้นที่ไปพบกับครอบครัวของจำเลยเพื่อติดตามหาตัวจำเลย
"จากการสอบถามภรรยาของนายแวยูโซ๊ะ แวดือราแม ได้รับคำตอบว่า หลังจากที่นายแวยูโซ๊ะได้รับการประกันตัว ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาหาที่บ้าน แล้วพูดว่า "ให้ระวังตัวไว้ให้ดี" แล้วนายแวยูซะก็หายตัวไป ผมเดาว่าเขาคงหนีไป" นายกิจจากล่าว
นายกิจจากล่าวต่อว่า การหายตัวไปหรือการหนีไปของจำเลยทั้ง 8 ไม่เกี่ยวกับรูปคดีที่อยู่ในศาล โดยที่ภายหลัง หากตามตัวจำเลยหรือจับตัวจำเลยมาได้ ก็จะนำมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป
"ผมในฐานะทนายความ และทนายคนอื่นๆ ในคดีนี้ รู้สึกเสียดายว่าจำเลยไม่น่าจะหนีไป เพราะในรูปคดี จำเลยกำลังเป็นต่อ จากการเบิกความพยานฝ่ายโจทก์ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งล่าสุด เราพบว่าไม่มีพยานคนไหนยืนยันได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามข้อกล่าวหา แม้จะเป็นพยานปากสำคัญซึ่งได้เบิกความไปครบแล้วนั้นก็ไม่สามารถชี้ความผิดของจำเลยได้"
นายกิจจายังเปิดเผยว่า ในตอนแรกที่ทนายและญาติจำเลยพยายามดำเนินการประกันตัวให้จำเลยนั้น จำเลยไม่อยากให้มีการประกันตัว เนื่องจากกลัวความไม่ปลอดภัยเมื่อต้องออกมานอกเรือนจำ แต่ทีมทนายและญาติเห็นว่าคดีความมั่นคงใช้เวลานานหลายปีในการสืบพยาน โอกาสที่ศาลจะให้ประกันตัวก็มีน้อยมาก เมื่อมีโอกาสก็ควรจะประกันตัว
"ที่ผ่านมาจำเลยเชื่อฟังคำแนะนำของพวกเราและมอบการตัดสินใจให้ทีมทนายในการแก้ต่างมาตลอด ที่สำคัญ จำเลยทั้ง 8 มั่นใจในการต่อสู้คดีไม่ต่างจากเรา จึงอยากตั้งข้อสังเกตว่า มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะหนีไป" นายกิจจา กล่าวและว่า
"คดีนี้เป็นคดีความมั่นคงแรกที่ดีเอสไอ (กรมสืบสวนคดีพิเศษ) ดำเนินการ และดีเอสไอน่าจะประเมินได้เช่นเดียวกับที่ทีมทนายประเมินได้ว่า โอกาสที่จำเลยจะชนะมีสูงกว่า อยู่ดีๆ จำเลยก็หายตัวไป น่าสงสัยว่าเพราะอะไร"
ทั้งนี้ นายกิจจา กล่าวว่า ทีมทนายความจะพยายามติดตามตัวจำเลยมาขึ้นศาลต่อไป เพื่อให้ความยุติธรรมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลย
อนึ่ง คดี "8 อุสตาซ" นี้ เป็นคดีที่แวยูโซ๊ะ แวดือราแม อดีตครูและหัวหน้าฝ่ายปกครองโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ จ.ยะลา กับพวกรวม 8 คน ถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันเป็บกบฎแบ่งแยกดินแดนรัฐ ปัตตานี โดยพนักงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษได้เข้าควบคุม 4 อุสตาซ ซึ่งต่อมาตกเป็นจำเลยในคดีนี้ได้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2547 เป็นชุดแรก และตามมาด้วยการควบคุมตัวอีก 4 คนในวันที่ 10 และ 14 มกราคม 2548 อันนำมาสู่การส่งสำนวนให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 และส่งฟ้องศาลในวันที่ 9 มีนาคม 2548 โดยกล่าวหาว่า จำเลยร่วมกันเป็นสมาชิกคณะบุคคลขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมาลายู ปัตตานี หรือ บีอาร์เอ็น โดยจำเลยมุ่งหมายที่จะสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน และขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทยเพื่อแบ่งแยกดินแดนยึดอำนาจปกครองในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้คือ จ.ยะลา, ปัตตานี, นราธิวาส, สงขลาและสตูลบางส่วน
คดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามที่สำนวนฟ้องระบุ นอกจากนี้จำเลยทั้ง 8 ยังยืนยันปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และได้รับอนุญาตจากศาลให้ได้รับการประกันตัวไปเมื่อเดือนมกราคม 2550 ที่ผ่านมา
ที่มา: สำนักข่าวชาวบ้าน
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)