ชีวิต มีชีวา (Live, Alive) : ปาฐกถาธรรมที่เชียงใหม่โดยท่านติช นัท ฮันห์

เรื่อง ภฤศ ปฐมทัศน์ และ พงษ์พันธุ์ ชุ่มใจ

ภาพ องอาจ เดชา

 

เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ในเวลา 18.00 ที่ผ่านมา ได้มีการจัดปาฐกถาธรรมในหัวข้อ "ชีวิต มีชีวา (Live, Alive)" ขึ้นที่วิหารวัดสวนดอก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีองค์ปาฐกคือ ท่านติช นัท ฮันห์ (Thich Nhat Hanh) พระภิกษุนิกายเซ็น เชื้อสายเวียดนาม ผู้ตั้งหมู่บ้านพลัม (Plum Village) อันเป็นชุมชนสังฆะของพุทธบริษัทสี่ ในพุทธศาสนานิกายเซ็น ทั้งในประเทศฝรั่งเศสและหลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย

 

 

 

โดยการปาฐกถาธรรมดังกล่าวมีพระสงฆ์และประชาชน ชาวต่างประเทศในเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง เข้าฟังปาฐกถาจำนวนมาก จนล้นออกมาจากวิหารหลวงวัดสวนดอก แต่ทางวัดก็จอฉายโทรทัศน์วงจรปิดสำหรับพระสงฆ์และประชาชนที่ไม่สามารถเข้าไปนั่งฟังในวิหารได้

 

โดยในเวลา 18.00 น. พระอมรเวที เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดสวนดอก จุด ธูป เทียน บูชาพระรัตนตรัย ฉายวีดีทัศน์นำเสนอเกี่ยวกับ ท่าน ติช นัท ฮันห์ และหมู่บ้านพลัม

 

ต่อมาจึงได้มีการขับขานบทเพลงภาวนาและนำทำสมาธิจากคณะสงฆ์หมู่บ้านพลัม หลังจากนั้น ท่าน พระครูพิพิธสุตาทร รองอธิการบดี มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ จึงได้กล่าวต้อนรับ และนิมนต์ท่าน ติช นัท ฮันห์ แสดงปาฐกถา

 

ท่านพระครูพิพิธสุตาทรได้กล่าวว่า ได้มีโอกาสอ่านหนังสือของท่านพระอาจารย์ ได้ฟังธรรมะจากท่านพระอาจารย์เมื่อครั้งที่เรียนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยเมืองเดลี ประเทศอินเดีย ทั้งยังได้มอบผลงานให้ลูกศิษย์ได้ค้นคว้าอย่างต่อเนื่องตลอดมา ซึ่งมีหนังสือ มีงานเขียนของท่านจำนวนมากดังกล่าว เป็นที่รู้จักและได้แปลเป็นภาษาไทย จะรู้สึกว่างานของท่านอ่านง่าย เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และท่านได้เคยมาประเทศไทยเมื่อ 32 ปีที่แล้ว ในตอนเช้าวันนี้เราก็ได้นำท่านไปที่ๆ ท่านเคยพัก ก็คือ วัดผาลาด โดยท่านติช นัท ฮันห์ได้นำคณะเดินไปตามน้ำตกผาลาดเพื่อไปยังกุฏิที่ท่านเคยพัก และภาวนาเมื่อ 32 ปีก่อน

 

 

 

จากนั้นท่านติช นัท ฮันห์ ก็ได้กล่าวแนะนำความสำคัญ และวิธีการฟังธรรมะให้แก่ผู้ฟัง โดยท่านแนะนำว่าให้ฟังด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายจากความตึงเครียด ผ่อนคลายจากความเจ็บปวด จากร่างกายเรา เมื่อพวกเรามีความรู้สึกเสียใจกับอดีตที่ผ่านมา หรือว่ากังวลเกี่ยวกับอนาคตที่กำลังจะมาถึง จึงขอให้ทุกท่านกลับมาอยู่กับขณะปัจจุบัน เมื่อท่านมีก้อนความทุกข์ความเศร้าหมอง ก็ขอให้ทุกท่านเปิดหัวใจออก และขอให้พลังแห่งบทสวดนี้ เป็นพลังจากองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แผ่ซ่านเข้าไปในกายของเรา แล้วก็ได้รับการเยียวยาและเปลี่ยนแปลงความเจ็บปวดเหล่านั้นได้ และหากท่านมีใครคนหนึ่งที่มีความใกล้ชิดแต่ไม่สามารถมาอยู่ตรงนี้ ณ ขณะนี้กับเราได้ เราสามารถที่จะส่งพลังจากบทสวดนี้ให้กับคนนั้นได้ โดยการระลึกสติถึงบุคคลนั้น หรือกล่าวชื่อบุคคลนั้นอยู่ในใจเงียบๆ

 

"ขอเรียนเชิญให้ทุกคนเบิกบานในการรับฟังร่วมกันอย่างผ่อนคลาย เบิกบานกับการนั่งในสังฆะ ณ ที่แห่งนี้ กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ กลับมาอยู่กับลมหายใจ และขอให้พลังเหล่านั้นช่วยผ่อนคลายและเปลี่ยนแปรภายในของเรา" ท่านติช นัท ฮันห์ กล่าว

 

 

ต่อมาเป็นการสวดมนต์ของฝ่ายคณะสงฆ์หมู่บ้านพลัม โดยเป็นการสวดบทสวดนมัสการพระรัตนตรัยเป็นภาษาอังกฤษ และบทสวดเอ่ยพระนามพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรในภาษาสันสกฤต โดยบทสวดนมัสการพระรัตนตรัยของคณะสงฆ์หมู่บ้านพลัม ภิกษุณีนิรามิสา แห่งคณะสงฆ์หมู่บ้านพลัมได้แปลเป็นภาษาไทยว่า

 

นมัสการพระรัตนตรัย ลูกขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ผู้ซึ่งแสดงให้ลูกเห็นหนทางแห่งชีวิต

ลูกขอกลับเข้าพึ่งพระธรรม หนทางแห่งความรักและความเข้าใจ

ลูกขอกลับเข้าพึ่งสังฆะ ชุมชนของบุคคลที่ตั้งสัตย์ปฏิญาณ ที่จะใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความตระหนักรู้ และกลมกลืนสมานฉันท์

 

เมื่อกลับเข้าพึ่งพระพุทธ ลูกได้รับหนทางที่มีแสงสว่าง อันงดงามในชีวิต

เมื่อกลับเข้าพึ่งพระธรรม ลูกได้เรียนรู้ ซักถาม และฝึกปฏิบัติ ทางการเข้าสู่ประตูธรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลง

เมื่อกลับเข้าพึ่งสังฆะ ลูกได้ชุมชน ชี้แนะแนวทาง บนหนทางแห่งการปฏิบัติ

 

กลับมาพึ่งพระพุทธในตัวลูก ขอตั้งสัตย์อธิษฐานให้ทุกๆ คน สามารถระลึกได้ถึงความตื่นรู้ เปิดหัวใจแห่งพระโพธิจิตแต่เนินๆ

กลับมาพึ่งพระธรรมในตัวลูก ขอตั้งสัตย์อธิษฐานให้ทุกๆ คนสามารถเข้าสู่ประตูธรรมต่างๆ และร่วมกันเดินไปสู่หนทางแห่งการเปลี่ยนแปลง

กลับมาพึ่งสังฆะในตัวลูก ขอตั้งสัตย์อธิษฐานให้ทุกๆ คน ได้สรรสร้างสังฆะ พุทธบริษัทสี่ เพื่อโอบรัดและเกื้อหนุนสรรพชีวิตทั้งมวลให้ไปสู่การหลุดพ้น

 

จากนั้นท่าน ติช นัท ฮันห์ ก็ได้เริ่มแสดงปาฐกถาธรรม "ชีวิต มีชีวา" โดยกล่าวก่อนปาฐกถาธรรมว่า

 

หายใจเข้า ท่านรู้สึก ท่านมีชีวิตอยู่

หายใจออก ท่านยิ้มให้กับชีวิตที่อยู่ในตัวท่าน และรอบข้างท่าน

รู้สึกว่ามีชีวิตอยู่ ยิ้มให้กับชีวิต

 

 

ต่อจากนั้น ท่าน ติช นัท ฮันห์ ได้เริ่มต้นปาฐกถาธรรม ความตอนหนึ่งได้กล่าวถึงที่มาของชีวิตบรรพชิตว่า

 

เมื่อตอนอายุได้ 9 ปี ท่านได้เห็นรูปหน้าปกของหนังสือที่มีรูปของพระพุทธองค์นั่งอยู่ เมื่อได้เห็นรูปนั้นท่านรู้สึกได้ว่าพระองค์นั่งอย่างมีความสุข นั่งอย่างมีรอยยิ้ม ทำให้รู้สึกว่าอยากจะเป็นแบบพระพุทธองค์บ้าง พระพุทธองค์ทรงประทับนั่งอยู่บนหญ้า พระองค์ไม่ได้ทรงประทับอยู่บนดอกบัว พระพุทธองค์นั้นก็ดูผ่อนคลายและมีความสุขมาก น่าดึงดูดใจสำหรับท่านมาก

 

และคนที่อยู่รอบข้างท่าน ก็ดูไม่ค่อยมีความสุขสันติ เขาเหล่านั้นดูค่อนข้างจะตึงเครียด และเมื่อท่านอายุ 11 ปี ท่านได้ยินคำกล่าวว่ามีฤๅษีนักพรต ที่กำลังพักอยู่ใกล้ๆ แล้วก็ได้ท่องเที่ยวไปตามหุบเขา มีคนบอกท่านว่าฤๅษีคือคนที่ฝึกปฏิบัติอย่างเงียบๆ เพื่อที่จะเป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ท่านมีความประทับใจมาก เพราะท่านเองก็อยากเป็นอย่างองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง เมื่ออายุได้ 16 ปี จึงบวชเป็นสามเณรด้วยการอนุญาตจากคุณพ่อคุณแม่ของท่าน และท่านเองก็ได้ฝึกปฏิบัติตั้งแต่อายุ 16 จนบัดนี้อายุได้ 81 ปี

 

มีอยู่ช่วงเดียวเท่านั้นที่ท่านได้บวชเป็นพระแล้วท่านรู้สึกว่าอยากลาสิขาบท ในช่วงขณะนั้นได้เห็นว่าพระผู้ใหญ่รอบข้างท่าน ไม่ได้ฝึกปฏิบัติอย่างที่ท่านได้สอน ในขณะนั้นก็มีความทุกข์ ความรุนแรง ความ อยุติธรรม มากมายในสังคม พระผู้ใหญ่เหล่านั้นก็ได้พูดถึงความกรุณา ถึงความไร้ความรุนแรง ความเป็นอนัตตา แต่ในจริงๆ แล้วท่านก็ไม่ได้ทำอะไรให้ความทุกข์ทรมานเหล่านั้นได้ลดน้อยลง

 

และในช่วงขณะนี้ท่านก็ได้พบว่าแนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์นั้นน่าสนใจมาก เพราะแนวคิดของพวกเขาได้พูดถึงความเป็นธรรมในสังคม ความยุติธรรมทั้งหลาย และมีบุรุษชายหลายๆ คน ยินดีที่จะสู้และยอมตายที่จะเป็นนักรบคอมมิวนิสต์

 

"แต่ด้วยเรื่องคำสอนและคำแนะนำจากรุ่นพี่ ทำให้ท่านสามารถที่จะมีความสุขที่จะลาสิกขาบทเพื่อไปเข้าร่วมกับพรรค คอมมิวนิสต์ ดังนั้นสิ่งที่ดึงดูดในชีวิตนักบวช ทำให้หยุดการเป็นพระ ไม่ใช่ผู้หญิงสวย แต่เป็นอุดมการณ์ต่างๆ" ท่าน ติช นัท ฮันห์ กล่าว

 

ท่านติช นัท ฮันห์กล่าวว่า ได้เรียนรู้ประวัติศาสนาในเวียดนามของตนเองและท่านก็ได้เรียนรู้ว่า พระพุทธศาสนาได้ช่วยคน และรอดพ้นช่วงวิกฤตมาได้หลายๆ ครั้ง และวิธีเหล่านั้นก็เป็นวิธีที่ไร้ความรุนแรงอย่างสิ้นเชิง และถ้าหากต่อสู้เพื่อพรรค คอมมิวนิสต์ ท่านก็ต้องถือปืน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่อยากถือปืนและฆ่าคนอื่น แต่ว่าเธอจะต้องทำ ดังนั้นในช่วงชีวิตของท่าน ท่านก็พยายามอยู่เสมอในการที่จะทำให้พุทธศาสนาสามารถรับใช้สังคมได้

 

 

ท่านติช นัท ฮันห์ ได้ให้แง่คิดกับพระสงฆ์ในที่ปาฐกถาธรรมนั้น ว่า

 

"สิ่งหนึ่งที่ฉันอยากจะบอกวันนี้กับพระหนุ่มทั้งหลาย ก็คือชีวิตแห่งความเป็นพระนั้น สามารถจะเป็นชีวิตที่มีความสุขมาก เธอสามารถที่จะได้รับความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งด้วยชีวิตแบบพระ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าอาวาสของวัดใหญ่ๆ, เพื่อที่ทำให้เธอมีความสุข เธอไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งสูงๆ ในสังฆะ, เธอไม่จำเป็นต้องมีอำนาจมากมาย เพื่อที่จะเป็นพระที่มีความสุข, แต่จริงๆ แล้วเธอมีความสุขเพราะว่าเธอสามารถเปลี่ยนแปลงความทุกข์ที่อยู่ภายในตัวเธอได้, เธอจะมีความสุขเมื่อเธอสามารถที่จะเกื้อหนุนผู้คนมากมายให้เขาบรรเทาทุกข์ของเขาเหล่านั้นได้"

 

"ในฐานะที่ฉันดำรงความเป็นพระ ฉันได้มีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงความทุกข์ภายในใจของฉัน และฉันสามารถช่วยเหลือผู้คนมากมายมหาศาลให้หลุดออกจากทุกข์ด้วย ความสุขเหล่านั้นยิ่งใหญ่มหาศาลที่ฉันไม่สามารถที่จะอธิบายได้ ชีวิตของพระนั้นเป็นชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความรักเมตตา เป็นความรักเมตตาที่ทำให้เธอมีความสุข และที่ทำให้คนที่อยู่รอบข้างเธอมีความสุขด้วย เธอไม่จำเป็นต้องมีความทุกข์ในขณะที่เธอปฏิบัติตามวิถีทางพระพุทธศาสนา จริงๆ แล้วถ้าเธอฝึกปฏิบัติตามวิถีทางพระพุทธศาสนาแล้วมีทุกข์ แสดงว่าเธอปฏิบัติไม่ถูกต้อง การฝึกปฏิบัติธรรมนั้น สามารถนำเธอไปสู่หนทางที่ถูกต้องของการปฏิบัติได้" ท่านติช นัท ฮันห์กล่าว

 

ท่านติช นัท ฮันห์กล่าวต่อว่า ในแบบฝึกหัดบทที่สามนั้นพระองค์ได้ทรงเสนอว่า ขอให้เรานำใจของเรากลับมาหากายของเรา ในชีวิตประจำวัน บ่อยครั้งมากที่กายของเราอยู่ตรงนั้นแต่ใจของเราอยู่ที่อื่น ใจของเรานั้นอาจจะติดยึดอยู่กับความเสียใจที่เกิดขึ้นในอดีต ใจของเรานั้นอาจจะติดยึดอยู่ในความกังวลไม่แน่นอน ความกลัวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ใจของเรานั้นอาจจะติดยึดอยู่ในโครงการ อยู่ในความกังวล อยู่ในความโกรธ นั่นก็คือเหตุผลที่ว่า ทำไม น้อยครั้งมากที่ใจของเราจะอยู่ดับกายของเรา

 

ถ้าเธอนั้นเรียนรู้ที่จะฝึกปฏิบัติกำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างมีสติ เธอนั้นก็สามารถเรียนรู้ที่จะทำให้ใจกลับมาหากายได้ ในช่วงเวลา 1-2 วินาทีเท่านั้น เราอาจจะปล่อยให้ร่างกายของเราทำงานหนักเกินไป เกิดความตึงเครียด เกิดความเจ็บปวด อยู่ในร่างกายของเรา เราอาจจะมีการกระทำที่ผิดต่อร่างกายของเรา และทำให้ร่างกายของเราเป็นทุกข์อย่างยิ่ง และเมื่อเรานำใจของเรากลับเข้ามาสู่กายได้ ก็จะทำให้เกิดความตระหนักรู้ ถึงกายของเรา เราจะยิ้มกับกายของเราได้ ใจเราจะสมานไมตรีกับกายของเราได้

 

เธออาจจะลองฝึกปฏิบัติเช่นนี้ หายใจเข้าให้กายของท่านได้ผ่อนคลาย หายใจออกให้ใจของท่าน "หายใจเข้าท่านตระหนักรู้ได้ ถึงกายทั่วท้อง หายใจออกท่านปลดปล่อยความตึงเครียดในกายของท่าน"

 

เราไม่ควรจะเคร่งขรึมมากเกินไป ในขณะที่เรากำลังจะฝึกปฏิบัติ เมื่อเธอจะเดินจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง อาคารหนึ่งไปอีกยังอาคารหนึ่ง เธออาจจะลองฝึกปฏิบัติ ในทุกย่างก้าวนั้นสามารถที่จะเต็มไปด้วย ความอิสระ ความสุข บอกกับตนเองว่าท่านได้มาถึงแล้ว ท่านได้มาถึง ปัจจุบันขณะ

 

มักจะมีคำพูดที่ว่า ความสุขนั้นไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ ขณะนี้และที่นี่ แต่ความสุขนั้นจะหาได้ในอนาคต คนส่วนใหญ่มักจะหาความสุข เงื่อนไขของความสุขที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่มีคนมากนักที่จะมีความสามารถมีความสุขกับปัจจุบันขณะและเบิกบานกับขณะนี้

 

พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสว่า อดีตได้ผ่านไปแล้ว และอนาคตยังมาไม่ถึง มีเพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้น ที่จะเป็นชั่วขณะที่เราจะมีชีวิตได้อย่างแท้จริง นั่นก็คือ ชั่วขณะปัจจุบัน หากเธอสามารถนำใจกลับมาหากายได้ เธอจะสามารถสัมผัสถึงความมหัศจรรย์ของชีวิต ที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ ท่านติช นัท ฮันห์ กล่าวในช่วงหนึ่งของการปาฐกถา

 

ทั้งนี้ การเยือนวัดสวนดอก จ.เชียงใหม่ เพื่อแสดงปาฐกถาธรรมของท่านติช นัท ฮันห์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเยือนประเทศไทยระหว่างวันที่ 19 พฤษภาคม ถึง 31 พฤษภาคม 2550 ของท่านติช นัท ฮันห์ และคณะสงฆ์จากหมู่บ้านพลัม เมืองดิวลิวโว ประเทศฝรั่งเศส ตามคำเชิญของสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ร่วมกับ ศูนย์ปฏิบัติธรรมนานาชาติ หมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส เพื่อนำภาวนาและแสดงปาฐกถาเนื่องในวันวิสาขบูชาโลก ณ ประเทศไทย

 

โดยกำหนดการหลังจากนี้ ระหว่างการพำนักในประเทศไทยคือการร่วมกิจกรรม ภาวนา : สู่ศานติ สมานฉันท์ ณ ศูนย์พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ล้านนา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ วันพุธที่ 23 - วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม

 

การปาฐกถาธรรมเนื่องในวันวิสาขบูชาโลก ณ องค์การสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม เวลา 08.30 น. การปาฐกถาธรรม "สู่ศานติสมานฉันท์ : ความรักอันไม่แบ่งแยก" ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถ.วิภาวดี-รังสิต กรุงเทพฯ วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม เวลา 18.00 - 21.00 น.

 

และการปาฐกถาธรรม เนื่องในวันวิสาขบูชา ณ องค์พระประธานพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ในวันพฤหัสที่ 31 พฤษภาคม เวลา 18.30 - 19.30 น. ก่อนเดินทางกลับประเทศฝรั่งเศสในวันที่ 1 มิถุนายน            

 

เกี่ยวกับท่านติช นัท ฮันห์ และหมู่บ้านพลัม

ชีวประวัติท่านติช นัท ฮันห์

เว็บไซต์หมู่บ้านพลัม

กำหนดการเยือนประเทศไทยของท่านและคณะสงฆ์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท