จี้ "พิสิษฐ์ ณ พัทลุง" ออกจากปธ.มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าฯ

ประชาไท - 21 พ.ค. 50 ตามที่เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา นายพิสิษฐ์ ณ พัทลุง ประธานมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้มีหนังสือคำสั่งแต่งตั้งนายศิระจิตวรมนตรี ให้ทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งเลขาธิการมูลนิธิ แทนนายสุรพล ดวงแข เลขาธิการคนเดิม รวมทั้งยังมีคำสั่งให้นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการ ไปเป็นเจ้าหน้าที่กิจกรรมอนุรักษ์ โดยในหนังสือดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค.เป็นต้นไป พร้อมกับมีหนังสือภายในแจ้งให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ เข้าประชุมเพื่อรับทราบถึงรายละเอียดของการดำเนินการของโครงสร้างองค์กร ในวันที่ 21 พ.ค.นี้

ทว่าเหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ทั้ง 36 คนได้ลุกขึ้นยื่นหนังสือจี้ให้ นายพิสิษฐ์ ณ พัทลุง ลาออกจากตำแหน่งประธานมูลนิธิฯ  

 

นายนิคม พุทธา เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ตอนเช้าได้เข้าประชุมร่วมกับนายพิสิษฐ์ ณ พัทลุง ตามที่มีหนังสือแจ้งเข้าร่วมประชุมเพื่อรับทราบรายละเอียดถึงการถอด ดร.สุรพล ดวงแข ออกจากตำแหน่งเลขาฯ มูลนิธิฯ และปรับตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ หลายตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งจากการประชุม นายพิสิษฐ์ ได้อ้างถึงเหตุผลถึงการปรับย้ายบุคลากรว่า ต้องการปรับปรุงการบริหารงาน เพราะที่ผ่านมามีการบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้การเงินภายในมูลนิธิไม่ดี จึงจำเป็นต้องมีการปรับโยกย้ายบุคลากรดังกล่าว

 

"จะเห็นได้ว่า ทางคุณพิสิษฐ์ ได้สั่งการปรับและโยกย้าย ดร.สุรพล ดวงแข จากเลขามูลนิธิฯ ไปเป็นที่ปรึกษามูลนิธิฯ รวมทั้งมีการปรับย้ายนายหาญณรงค์ เยาวเลิศ จากผู้ช่วยเลขาฯ มูลนิธิ ไปเป็นเจ้าหน้าที่กิจกรรมอนุรักษ์ฯ ทั้งที่ผ่านมา ทั้งสองท่านมีบทบาทสำคัญในการทำงานด้านอนุรักษ์เป็นอย่างมาก แต่คุณพิสิษฐ์ กลับปรับโยกย้าย และเข้ามาบริหารด้วยตนเอง และเป็นที่สังเกตว่า การประชุมครั้งนี้ คุณพิสิษฐ์ไม่ได้อธิบายถึงเรื่องธุรกิจการค้าสัตว์ที่มีการเข้าไปพัวพันแต่อย่างใด ซึ่งถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สังคม ประชาชนทั่วไปกำลังเคลือบแคลงสงสัย และเป็นเรื่องมัวหมองต่อมูลนิธิฯ เป็นอย่างมาก "

 

นายนิคม กล่าวต่อว่า ดังนั้น ในช่วงบ่าย ทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ทั้ง 36 คน จึงตัดสินใจเข้ายื่นหนังสือเรียกร้องให้นายพิสิษฐ์ ณ พัทลุง ลาออกจากตำแหน่งประธานมูลนิธิฯ เพื่อรับผิดชอบต่อภาพพจน์และชื่อเสียงขององค์กร ที่ถูกประชาชนและสังคมวิพากษ์ประณาม และเพื่อให้ตัวนายพิสิฐ ได้พิสูจน์ตัวเอง หลังจากลาออกไปแล้ว ขอให้มีกระบวนการไต่สวนสาธารณะ ซึ่งผลการไต่สวนหากไม่ขัดต่อกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสัตว์ป่า หรือตามหลักของไซเตส ไม่ขัดต่อหลักศีลธรรม ไม่ขัดต่อวัตถุประสงค์ขององค์กร หรือประชาชนยอมรับได้ ก็ค่อยกลับมาเป็นประธานก็ได้

 

"ซึ่งหลังจากนี้ ต้องดูต่อไปว่านายพิสิษฐ์ จะยอมรับข้อเสนอนี้หรือไม่ และจำเป็นต้องมีการเรียกกรรมการมูลนิธิฯ มาประชุมพิจารณากัน แต่ถ้ายังไม่เป็นผล ทางเราอาจยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง หรือกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีบทบาทหน้าที่รับผิดชอบองค์กรหรือมูลนิธิฯ ที่จดทะเบียนไว้ เพื่อตรวจสอบว่าเหมาะสมเพียงพอต่อการเป็นประธานมูลนิธิฯ หรือไม่ นอกจากนั้น เราอาจยื่นหนังสือถึงกระทรวงทรัพยฯ เพื่อทำการตรวจสอบสัตว์ป่าที่คุณพิสิษฐ์ มีไว้ครอบครองถูกต้องหรือไม่"

 

ด้านนายหาญณรงค์ เยาวเลิศ เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับกับการปรับแต่งตั้งโยกย้ายบุคลากรของมูลนิธิฯ ในครั้งนี้ เพราะว่า 1.นายพิสิษฐ์ มีวิธีทำงานและมีท่าทีกับบุคลกรเปลี่ยนไป ไม่เหมือนแต่เดิม  2.การปรับโครงสร้าง ปรับ ย้ายเจ้าหน้าที่ที่ผ่านมา ไม่ได้มีการปรึกษาพวกเขามาก่อนเลย ซึ่งก่อนหน้านั้น เคยเสนอแผนงาน ให้ตั้งกรรมการที่เป็นกลางเข้ามาประเมินองค์กรกันใหม่ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง หนำซ้ำ จู่ๆ ก็มาทำปลด ปรับย้ายกัน ซึ่งมันขัดกันกับการทำงานร่วมกันที่ผ่านมา และมันไม่ใช่วัฒนธรรมของการบริหารองค์กร  เพราะแต่เดิมนั้น ก่อนจะดำเนินการอะไร ก็จะมีการวางแผนทำงานร่วมกันมาตลอด

 

"ซึ่งปัญหาทั้งหมดมันไม่ได้อยู่ที่เรา แต่มันอยู่ที่ตัวนายพิสิษฐ์ เพราะปัญหามันอยู่ที่ความกังขาของประชาชนและสังคมที่ตั้งคำถามว่า นายพิสิฐ ณ พัทลุง ประธานมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าฯ ทำธุรกิจค้าสัตว์ป่า มีการจัดตั้งบริษัท บ้านเพื่อนเดรัจฉานจำกัด มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่มีการเพาะเลี้ยง ซื้อขาย แลกเปลี่ยนสัตว์ป่าในเชิงธุรกิจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองโดยตรงหรือไม่ ซึ่งมันขัดต่อวัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ และเราต้องการให้แกพิสูจน์ตัวเอง ถ้าอยากเป็นประธานมูลนิธิฯ ก็เลิกทำธุรกิจแอบแฝงนั้นซะ หรือถ้าอยากทำธุรกิจค้าสัตว์ป่า ก็ขอให้ลาออกจากประธานมูลนิธิฯ ไปเลย"

 

ทั้งนี้ ในแถลงการณ์ฉบับดังกล่าว ได้กล่าวถึงพฤติกรรมนายพิสิษฐ์ ณ พัทลุง ประธานมูลนิธิฯ ว่าสวนทางกับเจตนารมณ์ของการก่อตั้งมูลนิธิฯ ที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์สัตว์ป่า ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์สัตว์ป่า แต่ปรากฏว่าพฤติกรรมของนายพิสิษฐ์นั้น มีทั้งการเกี่ยวข้องกับการซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนสัตว์ป่า พร้อมทั้งยังใช้ตำแหน่งประธานมูลนิธิฯหาประโยชน์ส่วนตัวด้วย พร้อมกันนี้ยังได้เรียกร้องให้นายพิสิษฐ์แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก

               

 





 

แถลงการณ์

เรียกร้องให้ นายพิสิษฐ์ ณ พัทลุง ออกจากตำแหน่งประธานมูลนิธิฯ

 

 

มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ซึ่งเป็นองค์กรสาธารณะที่ก่อตั้งโดยนายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล เมื่อปี พ.ศ. 2526 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์ของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

 

ตลอดระยะ 20 กว่าปีที่ผ่านมาการดำเนินงานของมูลนิธิฯ ได้ยึดหลักการตามวัตถุประสงค์ขององค์กร ซึ่งว่าด้วยเรื่องของการอนุรักษ์มาโดยตลอดซึ่งจะเห็นได้จากโครงการต่างๆ ที่มีทั้งการทำงานในลักษณะที่สร้างรูปธรรมในแต่ละพื้นที่ที่เน้นกระบวนการการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เช่น โครงการปลูกป่าฯ เขาแผงม้า และการติดตามตรวจสอบความโปร่งใสของการดำเนินงานโครงการต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและสิ่งแวดล้อม  เช่น โครงการสวนสัตว์เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ตลอดถึงการติดตามแก้ไขในเชิงนโยบาย เช่น การเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

 

ในขณะเดียวกัน มูลนิธิฯ ได้ตระหนักถึงเจตนารมณ์ของคุณหมอบุญส่ง เลขะกุล ผู้ก่อตั้งมูลนิธิคุ้มครองสัตวป่าฯ  ว่าต้องการให้ประเทศไทยมีการอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์ป่าอย่างแท้จริง ดังนั้นมูลนิธิฯ จึงได้ดำเนินโครงการรณรงค์เกี่ยวกับการ "หยุดกิน หยุดซื้อ หยุดล่าสัตว์ป่าไม่สูญพันธุ์" เพราะกิจกรรมดังกล่าวเป็นตัวเร่งที่จะทำให้เกิดปัญหากระทบต่อทรัพยากรสัตว์ป่าโดยตรง ซึ่งรวมไปถึงการรณรงค์ห้ามมิให้มีการเพาะเลี้ยง ซื้อขาย แลกเปลี่ยนสัตว์ป่า อีกด้วย

 

แต่ปัญหาที่มูลนิธิฯ กำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ก็คือ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในภาคประชาชน สื่อมวลชน และบุคคล หน่วยงานจำนวนมากโดยเฉพาะในแวดวงที่ทำงานอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติด้วยกันว่านายพิสิษฐ์  พัทลุง ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าฯ ได้มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่มีการเพาะเลี้ยง ซื้อขาย แลกเปลี่ยนสัตว์ป่าในเชิงธุรกิจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองโดยตรง เช่น การใช้ตำแหน่งประธานมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าฯ ไปเป็นที่ปรึกษาให้กับ บริษัทสยามโอเชี่ยนเวิลด์ ที่สยามพารากอน ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจเอกชนแสวงหาผลกำไรจากนำสัตว์น้ำจากท้องทะเลที่หายากมาจัดแสดง และการตั้งบริษัท เอเชี่ยน ไวด์ไลฟ์ คอนซัลแตนซี (Asian Wildlife Consultancy) ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งช้างไทย 8 เชือกไปประเทศออสเตรเลียร่วมกับองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รวมทั้งการจัดหาสัตว์ป่าที่หายากทั้งในและต่างประเทศให้กับโครงการสวนสัตว์เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี

 

ข่าวสารข้อมูลที่เจ้าหน้าที่และมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าฯ ได้รับมานั้นยังระบุอีกว่า ประธานมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าฯ มีการจัดตั้งบริษัท บ้านเพื่อนเดรัจฉาน จำกัด มีการเปิดร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม และการจัดแสดงสัตว์ป่าที่หายาก อีกทั้งยังเป็นที่สงสัยว่าร้านอาหารดังกล่าวจะเป็นแหล่งที่มีการซื้อขาย แลกเปลี่ยนสัตว์ป่า และการดำเนินการธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์ป่าของนายพิสิษฐ์ ณ พัทลุง มักจะนำชื่อขององค์กรมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าฯ ไปกล่าวอ้างเสมอ

 

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวของนายพิสิษฐ์  พัทลุง ประธานมูลนิธิฯ ขัดต่อเจตนารมย์ ขององค์กรที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อการอนุรักษ์สัตว์ป่าไม่ใช่เพื่อส่งเสริมการกักขังทรมานสัตว์ และการซื้อขาย สัตว์ป่า

 

เจ้าหน้ามูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าฯ ได้ร่วมกันพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อเป็นการรักษาองค์กรมูลนิธิฯ ที่ทำหน้าที่ในการส่งเสริมการอนุรักษ์มาโดยตลอด จึงเห็นสมควรเรียกร้องให้นายพิสิษฐ์ ณ พัทลุง ได้พิจารณาลาออกจากการเป็นประธานมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าฯ และเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ ตลอดถึงการพิสูจน์ตัวเองว่าตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่ร่วมงานด้วยกันมานั้นนายพิสิษฐ์  พัทลุง เป็นนักอนุรักษ์ที่แท้จริงหรือไม่

 

เจ้าหน้ามูลนิธิฯ  ทุกคนตระหนักดีว่ามูลนิธิฯ เป็นองค์กรสาธารณะที่สามารถทำงานอยู่ได้เพราะความศรัทธา ความเชื่อมั่นจากภาคประชาชนที่ได้ร่วมกันบริจาคเงิน และให้การสนับสนุน ให้ความร่วมมือในด้านอื่นๆ ต่อเนื่องมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว เจ้าหน้าที่ทุกคน ใคร่ขอกราบขอโทษ ประชาชน บุคคล และหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน และขณะเดียวกันพวกเราขอให้คำมั่นสัญญาว่าจะรักษาองค์กรที่ได้ชื่อว่าทำงานอนุรักษ์ในนามของมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าฯ เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศไทยต่อไป.

 

เจ้าหน้าที่มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์

 

 

 

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท