ภัควดี วีระภาสพงษ์ แปลจาก
Jo Tuckman, "Man in the mask returns to change world with new coalition and his own sexy novel," The Guardian, Saturday May 12, 2007.
เนื่องจากแฟนานุแฟนของเอลซุปเรียกร้องข่าวคราวของชายไร้ใบหน้าหลังหน้ากากสกีอยู่เนืองๆ ผู้แปลจึงอดใจไม่ได้ที่จะตอบสนองความต้องการของท่านผู้อ่านประชาไท แม้บทสัมภาษณ์ไม่ค่อยเข้มข้น เพราะนักปฏิวัติย่อมรู้จักชรา รู้จักเหนื่อย รู้จักอ่อนล้า แต่ยังไม่ยอมพ่ายแพ้ กระนั้น นี่เป็นบทสัมภาษณ์ชิ้นล่าสุดในหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของโลกตะวันตก ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักในชีวิตนักรบของรองผู้บัญชาการมาร์กอส ชนิดที่ เดอะ การ์เดียน เองก็ยังย้ำคำว่า "หายาก" จึงหวังว่าผู้อ่านคงยินดีได้ทักทายมาร์กอส ผู้มีจุดยืนและไม่แสวงหาอำนาจ (อย่างน้อยก็จนถึงวันนี้) ซึ่งแตกต่างจาก.....ขออนุญาตไม่เปรียบเทียบ เชิญเติมคำลงในช่องว่างตามอัธยาศัยผู้แปล
สถานที่สัมภาษณ์ : กรุงเม็กซิโกซิตี
เหงื่อหยดหนึ่งผุดขึ้นมาให้เห็นตรงช่องตาของหน้ากากสกีสีดำอันลือลั่นของเขา นักรบขบถที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ของละตินอเมริกาคงรู้สึกร้อนไม่น้อย แต่ครั้นจะดื่มน้ำสักแก้วย่อมหมายถึงการถอดหน้ากากออก ซึ่งเรื่องนั้นไม่ต้องพูดถึง เขาทดแทนมันด้วยการสูบไปป์พ่นควันปุ๋ยๆ และเผยความในใจออกมา
"หนังสือเล่มใหม่ของผมจะออกมาในเดือนมิถุนายน" รองผู้บัญชาการมาร์กอสประกาศอย่างครึกครื้นระหว่างการให้สัมภาษณ์ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาเปิดปากพูดกับหนังสือพิมพ์อังกฤษในรอบหลายปี "เล่มนี้ไม่มีเรื่องการเมืองเลย มีแต่เซ็กส์อย่างเดียว ลามกล้วนๆ"
มีองค์ประกอบของวรรณศิลป์แฝงอยู่ในตัวตนนักปฏิวัติของมาร์กอสมาตลอด นับตั้งแต่เขานำกองทัพบ้านๆ ของชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองที่เรียกว่า ซาปาติสตา ออกมาจากป่าในรัฐเชียปาสทางตอนใต้ของประเทศเม็กซิโกเมื่อวันขึ้นปีใหม่ ค.ศ. 1994 มันฉายแววออกมาให้เห็นตั้งแต่แถลงการณ์ลำนำกวีว่าด้วยสิทธิของชาวอินเดียนแดงเผ่ามายา เปลี่ยนผ่านไปสู่การเขียนเสียดสีแดกดันและถึงขั้นด่าว่าเปรียบเปรยกับขี้เยี่ยว [1] จนกระทั่งล่าสุดคือนวนิยายอาชญากรรมที่มีตัวเอกเป็นนักสืบนักรบขบถ
หาทุนรอน
ตอนนี้ แม้กระทั่งจินตนาการกามาวิจิตรของเขาก็ยังใช้เพื่อหาทุนรอนสนับสนุนซาปาติสตา "ผมแน่ใจว่ามันจะขายได้แน่ ถ้าเราใส่รูป X เยอะๆ ไว้บนหน้าปก"
กระนั้นก็ตาม มาร์กอสกล่าวว่า โครงการเขียนหนังสือเล่มถัดไปจะเป็นงานเขียนเชิงทฤษฎีการเมือง วิเคราะห์กลุ่มพลังต่างๆ ที่เขาเชื่อว่ากำลังผลักดันเม็กซิโกไปสู่การลุกฮือทางสังคม นับตั้งแต่ชุมชนชาวพื้นเมืองไร้ที่ทำกิน เพราะไร้อำนาจหยุดยั้งเขื่อนและธุรกิจเกษตรที่เข้ามาทำลายที่ดินของตน ไปจนถึงผู้ค้าเร่ข้างถนนที่ถูกขับไล่จากบาทวิถีในเมืองหลวง เพื่อเปิดทางให้ห้างค้าปลีกทรงอิทธิพล เขาบอกว่าคนจนและผู้เสียเปรียบในประเทศใกล้ถึงขีดสุดแล้ว
จากอดีตสาวกมาร์กซ์-เลนินเคร่งคัมภีร์ กลายมาเป็นคุรุนักต่อต้านโลกาภิวัตน์ตัวยง ตัวเขาเองมิใช่ชาวพื้นเมือง มาร์กอสทำนายว่า ในปี ค.ศ. 2010ศักราชแห่งการครบรอบ 200 ปีของสงครามประกาศเอกราชและครบรอบ 100 ปีของการปฏิวัติแห่งเม็กซิโก อำนาจของจิตใต้สำนึกจะจุดประกายไฟขึ้นมา โดยชนวนอยู่ที่ความพยายามของอเมริกาที่จะปิดกั้นพรมแดนระหว่างสองประเทศ ทำให้คนหลายล้านไม่สามารถเล็ดลอดไปหางานทำในซีกโลกเหนือ "เม็กซิโกจะกลายเป็นหม้อต้มแรงดัน" เขากล่าว "และเชื่อผมสิ มันจะระเบิดตูม"
มาร์กอสกล่าวว่า นักการเมือง, สื่อมวลชน และแม้กระทั่งนักวิชาการฝ่ายซ้ายที่จริงใจจริงจังในเม็กซิโก ก็ไม่เคยรับรู้ถึงสิ่งที่เขาพบเห็น นั่นคือ ความขบถอย่างถอนรากถอนโคนที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่ภายใต้พื้นผิว เขาชี้ให้เห็นว่า เมื่อ 13 ปีก่อน คนเหล่านี้ก็ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่า ชาวพื้นเมืองในรัฐเชียปาสที่ดูเหมือนเชื่องเชื่อจะลุกขึ้นมาจับอาวุธปฏิวัติ แม้ว่าการก่อกบฏของซาปาติสตาไม่จัดอยู่ในแบบฉบับเดิมๆ ของการต่อสู้ติดอาวุธบ้าพลังของละตินอเมริกา อีกทั้งมาร์กอสก็ไม่เคยวางท่าหรือพูดจาแบบผู้นำกองกำลังจรยุทธ์ที่ไหน กระทั่งคำว่า "รอง" ในตำแหน่งของเขา ก็อวยไว้เพื่อสื่อนัยยะถึงการเป็นผู้น้อยที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของสภาผู้บัญชาการชาวพื้นเมือง ถึงฟังแล้วไม่น่าเชื่อ [2] แต่มันก็สวนทางกับแนวคิดของวินัยทหารที่ใช้กันอยู่ในกองกำลังจรยุทธ์ส่วนใหญ่
"ตอนนั้นเราออกจากป่ามาหาที่ตาย" มาร์กอสย้อนรำลึกความหลัง เขายังจำได้ว่า นักรบซาปาติสตาขัดสนอาวุธขนาดไหน "ผมรู้ว่ามันฟังดูเหมือนนิยาย แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ"
ชาวซาปาติสตาถูกกองทัพเม็กซิกันโจมตีถอยร่นไม่เป็นกระบวนภายในไม่กี่วัน แต่แค่ไม่กี่วันนั้นก็พอแล้วที่จะกระตุกให้เกิดคลื่นแห่งความเห็นอกเห็นใจสาดซัดไปทั่วประเทศและทั่วโลก จนบีบให้รัฐบาลต้องยอมหยุดยิง รวมทั้งตกลงเปิดเจรจาสันติภาพที่ล่มกลางคันลงในท้ายที่สุด
ภายในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ ชาวอินเดียนแดงแห่งรัฐเชียปาสกลายเป็นศูนย์กลางของเสียงสดุดีการต่อสู้อันสูงส่งจากนานาประเทศ และผู้นำลึกลับใส่หน้ากากสกี คาบไปป์ และพรั่งพรูบทกวี กลายเป็นนักปฏิวัติที่ใกล้เคียงที่สุดกับภาพอันโลดโผนมีชีวิตชีวาของเช เกวารา ผู้พลีชีพ นับแต่นั้นมา ชาวซาปาติสตาก็แทบไม่ได้สู้รบด้วยอาวุธอีกเลย
ภาพลักษณ์อันเย้ายวน
ระหว่างที่นั่งในห้องด้านหลังอันร้อนระอุของร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ในกรุงเม็กซิโกซิตี มาร์กอสยอมรับว่า สารที่พยายามสื่อออกมาในช่วงปีแรกๆ บางครั้งก็ถูกภาพลักษณ์สะดุดตาของตัวเขาเองกลบหายไปหมด เขาถึงกับสารภาพว่า มีบางครั้งคราวเหมือนกันที่ความอยากเด่นดังผ่านเข้ามาในสมอง "แต่ทุกครั้งก็มีอารมณ์ขันฝาดปร่าคอยปรามความคิดนั้นเอาไว้ว่า "พอที จำไว้ว่าแกเป็นแค่สิ่งสมมติ แกไม่มีอยู่จริงหรอก""
แต่มันก็เป็นสิ่งสมมติที่ยั่งยืน ซึ่งยืนหยัดมาได้ แม้เมื่อโลกหันเหความสนใจไปหาความขัดแย้งที่น่าตื่นเต้นกว่าในแห่งหนอื่น รวมทั้งการที่รัฐบาลเม็กซิกันเปิดโปงว่า บุรุษหลังหน้ากากสกีคืออดีตอาจารย์สอนปรัชญาชื่อ ราฟาเอล เซบาสเตียน กีลเญน
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนรองผู้บัญชาการคนนี้คอยสำรวจมองตัวเองอย่างระแวดระวังเสมอ นั่นอาจเป็นคำอธิบายถึงหลายครั้งที่เขาเงียบหายไปเกือบสิ้นเชิง ครั้งที่นานที่สุดเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 2001 ไม่นานหลังจากปรากฏการณ์ที่เรียกขานกันว่า ซาปาทัวร์ ซึ่งคณะของมาร์กอสออกเดินทางตระเวนไปทั่วประเทศ โดยมีมิตรนานาชาติหลายร้อยคนและกองกำลังตำรวจติดตาม
ในตอนนั้น ผลการเลือกตั้งเพิ่งยุติการปกครองระบอบพรรคเดียวที่ยาวนานถึง 71 ปีในเม็กซิโก และชาวซาปาติสตาตัดสินใจทดสอบระบอบประชาธิปไตยใหม่ ด้วยการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของชาวพื้นเมืองตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐสภาเพิกเฉยต่อแรงกดดัน นักรบขบถจึงคืนสู่ป่าและหันไปมุ่งมั่นกับการนำระบบปกครองตัวเองของชาวพื้นเมืองมาปฏิบัติจริง โดยไม่สนใจว่าจะได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ มาร์กอสหายไปจากสายตา จนปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อ 4 ปีให้หลัง พร้อมกับภารกิจใหม่ในการสร้างพันธมิตรนอกขบวนการชาวพื้นเมือง
"นี่คือสมรภูมิสุดท้ายของชาวซาปาติสตา" เขากล่าวถึงยุทธศาสตร์นี้ ซึ่งต้องอาศัยการที่รัฐบาลตัดสินใจไม่รื้อฟื้นหมายจับใบเก่า ด้วยเกรงว่าจะกระตุ้นให้เกิดความเห็นอกเห็นใจซาปาติสตายิ่งไปกว่าเดิม "ถ้าเราไม่ชนะ เราจะพบกับความพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง"
เป้าหมายชัดเจนของรองผู้บัญชาการมาร์กอสในการตระเวนเงียบๆ ไปทั่วประเทศครั้งนี้ คือการผนึกกำลังกลุ่มฝ่ายซ้ายชายขอบให้รวมตัวกันหลวมๆ แต่ครอบคลุมกว้างขวาง โดยขนานนามปฏิบัติการครั้งนี้ว่า การรณรงค์ทางเลือกอื่น มาร์กอสหวังว่า การผสมผสานอย่างค่อนข้างสับสนของคนทุกคนที่มีตั้งแต่กระเทยขบถไปจนถึงนักสหภาพแรงงานมาร์กซิสต์ ในที่สุดจะนำไปสู่การปลดปล่อยความคับข้องใจ ซึ่งเขามั่นใจว่าอีกไม่นานจะเดือดพล่านกลายเป็นขบวนการพลเรือนไม่ติดอาวุธที่จัดตั้งบนหลักการแกนกลาง นั่นคือ การเคารพในความแตกต่าง
"เราคิดว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นที่นี่ จะไม่มีคำว่า "ลัทธิ" มานิยามมันได้" น้ำเสียงของเขาเริ่มระคนความโหยหา "มันจะแปลกใหม่ สวยงามและร้ายกาจ จนทำให้โลกหันมามองประเทศนี้ด้วยสายตาที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง"
หีบบัตรเลือกตั้ง
คำพูดแบบนี้อาจฟังดูขัดแย้งสำหรับช่วงเวลาที่ฝ่ายซ้ายกำลังก้าวสู่อำนาจในหลายประเทศของละตินอเมริกาโดยอาศัยหีบบัตรเลือกตั้ง แต่มาร์กอสไม่เคลิ้มไปกับการเลือกตั้ง ซึ่งเขามองว่าเป็นแค่กลไกตีปิงปองอำนาจไปมาภายในหมู่ชนชั้นนำเท่านั้นเอง ดังนั้น แม้ว่าเขาพยักหน้าเห็นชอบกับเอโว โมราเลสแห่งโบลิเวีย เพราะโมราเลสมีความเชื่อมโยงกับขบวนการชาวพื้นเมืองรากหญ้า เขากลับนิยามอูโก ชาเวซแห่งเวเนซุเอลาว่า "น่าหวั่นใจ" และประณามประธานาธิบดีลูลาแห่งบราซิลและดานีเอล ออร์เตกาแห่งนิคารากัวเป็นคนทรยศ
ส่วนนักการเมืองทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาในเม็กซิโกได้รับเพียงความเหยียดหยันจากเขา เพราะคนเราอ้างจุดยืนทางจริยธรรมได้ง่ายกว่าหรือเปล่าเมื่อปิดบังใบหน้าเอาไว้?
มาร์กอสยอมรับว่า หน้ากากมีส่วนไม่น้อย แม้เขาจะย้ำด้วยว่า หน้ากากก็เป็นภาระเหมือนกัน มันคันและน่ารำคาญ มันยังพันกันยุ่งกับตัวตนปฏิวัติของเขา กระทั่งหากถอดหน้ากากออกในที่สาธารณะแม้เพียงเสี้ยววินาที ย่อมหมายถึงจุดจบของรองผู้บัญชาการ
"หน้ากากใบนี้จะหลุดออกเมื่อไรที่รองผู้บัญชาการมาร์กอสหมดความจำเป็น" เขากล่าว "ผมหวังว่าคงเร็วๆ นี้ ผมจะได้ไปทำงานเป็นพนักงานดับเพลิงอย่างที่อยากเป็นเสียที พนักงานดับเพลิงได้สาวสวยที่สุดเป็นแฟนเสมอ"
.....................................................
[1] ผู้เขียนคงหมายถึงครั้งหนึ่งที่เอลซุปเขียนจดหมายชื่อ "I shit on all the revolutionary vanguards of this planet." ในวิวาทะที่เขามีกับขบวนการ ETA ในสเปน
[2] ในข้อเขียนของสื่อกระแสหลัก ทุกครั้งจะต้องมีการแสดงความไม่เชื่อว่า มาร์กอสไม่ใช่ผู้นำของซาปาติสตา
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)