Skip to main content
sharethis

สุริยันต์ ทองหนูเอียด


ผู้ปฏิบัติงานภาคสนาม กลุ่มเพื่อนประชาชน


 


 


"พี่...อะไรคือหัวใจหลักของการเจรจา"


 


ผมจำไม่ได้แล้วว่า เคยตั้งคำถามเรื่องนี้กับพี่สุวิทย์เมื่อไหร่ รู้แต่ว่า เคยขอร้องให้พี่แกช่วยเขียน "เทคนิคการเจรจา" ให้สักชิ้นหนึ่ง ในช่วงที่ขบวนการภาคประชาชนสายเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงขาลง แต่จนแล้วจนรอด ผมก็แอบเรียนวิชาแกมาในวงเหล้านั่นแหละ


 


แต่ความทรงจำที่ชัดเจนของพวกเราต่อบุคลิกตัวตนของพี่สุวิทย์ คือ "พี่ชายผู้แสนดี" พี่ผู้พร้อมที่จะเสียสละดูแลเพื่อนพ้องน้องพี่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าจะเป็นงานขึ้นบ้านใหม่ รดดำน้ำผู้อาวุโส งานแต่งงาน งานบวช และที่ไม่ยอมขาด คืองานศพของมิตรสหายพี่น้องพรรคพวก


 


แน่นอน พี่สุวิทย์ ย่อมเป็นเจ้ากี้เจ้าการหลัก ในการประสานงาน จัดหา รถรา งบประมาณ เสบียง เพื่อนำหมู่มิตรร่วมงานเพื่อนฝูงเหล่านั้นเสมอ กระทั่งงานศพของพี่อ๊อด ภิรมย์ที่พิษณุโลก ครั้งล่าสุด


 


นั่นเป็นงานศพของมิตรสหายคนสุดท้าย ก่อนที่เราทั้งหลายต้องไปเคารพศพแกที่สัตหีบชลบุรี


 


-1-


 


3 - 4 กรกฎาคม 2538 ปากช่อง โคราช


 


นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสรู้จักตัวตนของพี่สุวิทย์ เป็นครั้งแรก เนื่องในวันครบรอบ 3 ปีแห่งชัยชนะของพี่น้องประชาชนภาคอีสาน อันเนื่องจากการต่อสู้คัดค้านจนนำไปสู่การยกเลิกโครงการจัดสรรที่ดินที่ทำกินแก่ราษฎรผู้ยากไร้ในเขตป่าสงวนเสื่อมโทรม (คจก.) ในอันเกรียงไกรในปี 2534-2535


 


การแลกเปลี่ยนระหว่างนักเคลื่อนไหวมือฝึกหัดเช่นผม กับนักปฏิวัติมืออาชีพอย่างสหายเชิด ก็ได้เปิดโลกทัศน์ชีวิตและการเรียนรู้ของผมจากโลกเก่าไปสู่โลกใหม่อีกใบหนึ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


 


และมันทำชีวิตเปลี่ยนไป อะไรคือการเรียนรู้ด้วยตนเอง และอะไรคือการเรียนรู้ท่ามกลางการปฏิบัติ


 


พี่น้อย (ประสิทธิพร กาฬอ่อนศรี) ผู้ประสานงานกลุ่มเพื่อนประชาชน เคยพูดในวงที่ประชุมของหมู่พี่น้องๆ อย่างเนืองๆ ว่า


 


"พี่สุวิทย์ คือคนสำคัญที่บุกเบิกเชื่อมประสานงานระหว่างเมืองกับชนบทเข้าด้วยกัน"


 


ทั้งนี้ เพราะในระหว่างการเดินทัพทางไกลของพี่น้องสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน (สกย.อ.) เพื่อเรียกร้องให้รัฐแก้ปัญหาที่ดินทำกิน หนี้สินเกษตรกร ปัญหาราคาสุกรตกต่ำ ปัญหาหมอนไหม โคพลาสติก เป็นต้น ระหว่างปี 2536-2538 จากกุจินารายณ์ มาสี้คิ้ว ถึงปากช่อง พี่สุวิทย์ ก็เป็นตัวตั้งตัวตี ในการประสานงานระดมข้าวปลาอาหาร ขอรับบริจาคงบประมาณ จัดแถลงข่าวร่วมกับ "เครือข่ายสลัมเพื่อประชาธิปไตย" หนุนเสริมสร้างความชอบธรรมให้กับการเคลื่อนไหวของพี่น้องภาคอีสาน รวมไปประสานกำลังคนลงไปให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็น "มิตรร่วมอุดมการณ์ สหายร่วมรบ" หลายคน


 


กระทั่ง การเดินเท้าจากเชียงใหม่ไปลำพูนของพี่น้องเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ (คกน.) ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของกรมป่าไม้ที่จะอพยพคนออกจากป่า ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2537 การเจรจาระหว่างรัฐบาลกับชาวบ้านที่ ดอยติ ลำพูน พี่สุวิทย์ กับพี่น้องสลัม ก็ขึ้นมาให้กำลังใจอย่างอบอุ่น


 


ความพยายามเชื่อมชนบทกับเมือง ก็ปรากฏเป็นรูปธรรมเด่นชัด เมื่อเครือข่ายองค์กรภาคประชาชน 6 เครือข่าย อันประกอบด้วยกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน, สมัชชาชาวนาชาวไร่ภาคอีสาน, เครือข่ายสลัม4 ภาค, กลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย, เครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ, กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการรัฐ ร่วมกับพันธมิตร นักวิชาการ เครือข่ายองค์กรประชาธิปไตย องค์กรพัฒนาเอกชน และสื่อมวลชนสายก้าวหน้า ได้ประกาศการจัดตั้ง "สมัชชาคนจน" ขึ้น เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2538 ณ ห้องประชุมคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


 


 


-2-


 


หลายๆ ครั้ง ทั้งในวงสัมมนา การเคลื่อนไหว กระทั่งวงสุรา สิ่งที่พี่สุวิทย์ เคยเตือนอยู่เสมอสำหรับการเป็นน้องๆ นักพัฒนา เอ็นจีโอรุ่นใหม่ ว่าให้ระวัง 3 เรื่องคือ


 


1. การติดกับดัก ในตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ และผลประโยชน์


2. ปัญหาเกี่ยวกับความโปร่งใส ในการจัดการงบประมาณ การเงิน การบัญชี


3. ปัญหาทางจริยธรรม ปัญหาชู้สาว


 


พร้อมย้ำว่าการใช้ชีวิตครอบครัวของนักพัฒนาแจะต้องเจอทั้งเรื่องเศรษฐกิจ และเรื่องจริยธรรมอยู่เสมอ เรื่องเศรษฐกิจนั้นยังพอกู้ยืมกันได้ แต่เรื่องคุณธรรมพลาดแล้วก็พลาดเลย ขอให้ระวังอย่างหนักแน่น


 


 


-3-


 


และด้วยความที่พี่สุวิทย์ เคยเป็นครูสอนโรงเรียนช่างกลพระรามหกมาก่อน ยิ่งทำให้เวลาแลกเปลี่ยนพูดคุยมักจะมีแบบแผนคำอธิบาย และตัวอย่างให้พวกเราๆ น้องทั้งหลายเข้าใจง่ายๆ เสมอ เช่น


 


หลักของลัทธิมาร์กซ ก็เหมือนคำสอนของศาสนาพุทธ


 


หลักพระพุทธองค์ทรงสอนในโอวาทปาติโมกข์ ให้พุทธบริษัทปฏิบัติไว้ 3 ประการคือ


 


1. ทำดี


2. ละชั่ว


3. ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส


 


ขณะที่หลัก 3 ประการของลัทธิมาร์กซ ในการปฏิวัติสังคม ก็คือ


 


1. จะต้องทฤษฎีชี้นำ ที่เป็นวิทยาศาสตร์


2. ทฤษฎีจะต้องสอดคล้องกับการปฏิบัติ


3. การปฏิบัติตามทฤษฎีต้องมีพรรคเป็นองค์กรนำ ในการจัดตั้งมวลชนเพื่อทำการเปลี่ยนแปลง


 


ครั้งหนึ่ง ผมเคยตั้งคำถามที่ค้างคาใจมานาน ระหว่างขับรถมาด้วยจากเชียงใหม่เข้ากรุงเทพฯ


 


"พี่ว่า อะไรคือ ความแตกต่างระหว่างเศรษฐศาสตร์การเมืองกับวัฒนธรรมชุมชน" ผมถาม


 


"เศรษฐศาสตร์การเมือง หลักสำคัญ คือ การวิเคราะห์โครงสร้างแบบชนชั้น ความเหลื่อมล้ำทางสังคม การเอารัดเอาเปรียบ ในแนวดิ่งทั้งโครงสร้างและนโยบายจากรัฐ การกดขี่เอาเปรียบก็จะลดหลั่นไปตามชนชั้น ดังนั้น ถ้าจะการเปลี่ยนแปลงสังคมต้องเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ ไม่ใช่จุดใดจุดหนึ่ง ส่วนแนวคิดวัฒนธรรมชุมชน เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงชุมชนเป็นจุดๆ ในแนวราบ หากสร้างชุมชนเข้มแข็งไปหลายๆ พื้นที่แล้วเป็นชุมชนตัวอย่างแล้ว สังคมก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นตามไปเอง" พี่สุวิทย์ ตอบ


 


และยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมก็แอบครูพักลักจำมาใช้ในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิเคราะห์สถานการณ์สังคม การปราศรัยต่อสาธารณะชน และที่สำคัญคือ การใช้ชีวิต ครอบครัว กิจกรรมและสังคม


 


 


-4-


 


"จงหนักแน่นในกระแสต่ำ ขบวนการประชาชนยุคขาลง จะพิสูจน์คนทำงาน"


 


นี่เป็นคติอีกข้อหนึ่งที่พี่สุวิทย์ คอยเตือนให้เราตระหนัก และยึดเป็นหลักในการทำงาน โดยเฉพาะในยุครัฐบาลทักษิณ เกียรติภูมิของขบวนการประชาชนได้ถูกนโยบายประชานิยมดูดกลืนจนอ่อนเพลีย


 


การประชุมเพื่อค้นคว้ายุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวภาคประชาชนจึงถูกจัดขึ้นหลายๆ ครั้งในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งที่อาศรมดอนแดง มหาสารคาม, ห้วยน้ำล้อม เชียงใหม่, หรือที่ชายทะเล บางสะเหร่ ชลบุรี ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงในวงประชุม คือ ข้อจำกัดสำคัญที่เคลื่อนไหวภาคประชาชนไปไม่ถึง


 


นั้นคือ การเคลื่อนไหวเชิงนโยบาย เช่น พ.ร.บ.ป่าชุมชน, กฎหมายการปฏิรูปที่ดิน, พ.ร.บ.ชุมชนแออัด, กฎหมายแรงงาน, และนโยบายอื่นๆ กระทั่งหลายครั้งการเคลื่อนไหวภาคประชาชนได้รับการตราเป็นมติคณะรัฐมนตรี มีการแต่งคณะกรรมการหลายคณะ แต่นั่นมันไม่เคยมีหลักประกันอะไรเลย


 


ตราบใดที่รัฐบาลเปลี่ยน การเมืองเปลี่ยน นโยบายก็เปลี่ยนตาม


 


"มันอยู่ที่ว่า พวกเราวิเคราะห์สังคมแบบไหน เป็นสังคมแห่งการปะชุน ด้วยการปฏิรูป บางสิ่งให้ใช้ได้ก็พอ หรือ มองว่าสังคมต้องเปลี่ยนทั้งโครงสร้างไม่ใช่แค่ปฏิรูป แต่ต้องปฏิวัติเปลี่ยนแปลง"


 


และนั่นคือที่มาของความพยายามใหม่ ในการจัดตั้ง "พรรคการเมือง" ของพี่สุวิทย์ หลังจากที่สหายเชิดกลับมาป่า เข้ามาร่วมเคลื่อนไหวกับภาคประชาชนทั้งชนบทและในเมือง


 


สุดท้าย ก็เจอคำตอบ ในคำถามเดิม


 


"What is to be done?"


 


 


-บทส่งท้าย-


 


แม้นว่าระยะหลัง ความขัดแย้งในแวดวงนักพัฒนา เอ็นจีโอ นักวิชาการ สื่อมวลชนอิสระ ชนชั้นนายทุนน้อยผู้ก้าวหน้า ได้ทวีเพิ่มยิ่งขึ้น เป็นความขัดแย้งที่ไม่มีรุ่น ไม่มีพี่ ไม่มีเพื่อน หรือประวัติศาสตร์การต่อสู้เป็นพรมแดนทางความคิดให้หยิบฉวยแลกเปลี่ยนอย่างละเอียด เรื่องชนิดนี้ พี่สุวิทย์ เคยบอก ผมว่า


 


"จะตัดสินใคร ต้องคำนึงถึง 3 เรื่อง คือ 1.กรอบคิดทฤษฎี ตรงกันหรือไม่ เป็นวิทยาศาสตร์เพื่อการปฏิวัติสังคมหรือไม่ 2.จุดยืนอยู่ฝ่ายไหน รัฐ นายทุน หรือภาคประชาชน 3.วิธีการ"


 


และพี่สุวิทย์จะยินยอมประนีประนอมเฉพาะวิธีการเท่านั้น ส่วนกรอบคิดกับจุดยืนนั้นต้องชัดเจน


 


วันนี้ ในทุกๆ วงการ การมีเพื่อนแท้ที่มองตาแล้วรู้ใจ นั้นช่างหายากแท้ แสนเข็ญยิ่ง


 


แต่การหาพี่ดีๆ ไว้เป็นจัดตั้งทางความคิด คอยให้คำปรึกษา ชี้นำ คอยติติง เสนอแนะ ให้ปรึกษาปรับทุกข์ทั้งชีวิตและครอบครัว ใครซักคนที่เราไว้เนื้อเชื่อใจ พูดจนสิ้นก้นบึง กลับหายากยิ่งกว่า


 


สำหรับผมแล้ว การสูญเสียพี่สุวิทย์ นับว่าสูญเสียพี่ชาย ผู้ชี้นำอุดมการณ์แนวคิดครั้งใหญ่หลวง


 


แต่แบบอย่าง ความงดงาม ความเป็นภราดรภาพ การต่อสู้เพื่อผู้ด้อยโอกาสจะอยู่ในใจผมตลอดไป


 


 


...............


 


"การเจรจา คือ การบีบให้มันยอม" พี่สุวิทย์ ตอบ


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net