Skip to main content
sharethis

การเมือง


นายกรัฐมนตรีเชื่อว่าการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะไม่มีปัญหาหากคนไทยไม่มีทิฐิ


กรมประชาสัมพันธ์ -- พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่หนักใจต่อการออกมาชุมนุมของกลุ่มต่างๆเพื่อต่อต้านการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าเป็นการร่างเพื่อป้องกันการกลับมาของระบอบทักษิณ โดยเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวไม่น่าจะเป็นปัญหาหากคนไทยไม่ถือทิฐิมากเกินไปและประชาชนยังสามารถเสนอแนะความคิดเห็นต่างๆเข้ามายังสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือสสร.ได้ เพราะขณะนี้ยังอยู่ในช่วงของการเปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข


 



โดยจะมีการหารือร่วมกับนายนรนิติ เศรษฐบุตร ประธานสสร. ภายหลังส่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกมาให้พิจารณาอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 เมษายนนี้



 


ประธาน คมช. เตรียมเข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พรุ่งนี้ในการประสานปรับการทำงานด้านความมั่นคงและงานประสัมพันธ์เชิงรุกให้สอด คล้องกันยิ่งขึ้น


กรมประชาสัมพันธ์ --พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานคณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช.กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ จะเข้ารายงานการดำเนินงานของ คมช.ต่อที่ ประชุมคณะรัฐมนตรีพร้อมกับเลขาธิการคมช. โดยจะเน้นหารือปรับการทำงานด้านความ มั่นคงให้สอดคล้องกัน เนื่องจาก งานด้านความมั่นคงมีความเกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง และจะเน้นหารือด้านการประชาสัมพันธ์ให้เกิดความชัดเจน ขณะ เดียวกันยืนยันว่า ไม่ได้รู้สึกกังวลกับการเคลื่อนไหวของกลุ่ม ต่างๆ เพราะขณะนี้ทราบรูปแบบและ วิธีการของกลุ่มเหล่านี้ที่ต้องการยั่วยุให้เกิดความวุ่นวายซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงต้องพยามยาม ป้องกันไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า พร้อมเชื่อว่า การเดินทางไปจังหวัด อุบลราชธานีของนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เป็นการเดินทางไปสกัดการการเดินทางเข้ามาประชุมที่กรุงเทพมหานคร ของกลุ่มต่างๆ แต่เป็นการไปเพื่อ รับฟังและแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน อย่างไรก็ดี พลเอกสนธิ ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นว่ามี การสนับสนุนเงินเพื่อเป็นทุนให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล และคมช.ว่าเป็นไปตามที่มีข่าวออกมาก่อนหน้านี้หรือ ไม่



 


คตส. มีมติให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีบริษัทแอมเพิลริชกว่า 2 หมื่นล้านบาท


ศูนย์ข่าวแปซิฟิค --การพิจารณาของที่ประชุมตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือ คตส.นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส. พร้อมด้วยนายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบคดีการซื้อขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นจำกัดมหาชน หรือ ชิน คอร์ป และนายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการ คตส. แถลงผลการประชุมว่า ที่ระชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เสนอผลการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการต่อกรมสรรพากร เพื่อให้ดำเนินการเรียกเก็บภาษีจากบริษัทแอมเพิลริช จำกัด รวมทั้งสิ้นจำนวน 22,000 ล้านบาท เนื่องจากผลการพิจารณาพบว่า การประกอบการของบริษัท เป็นการประกอบการของบริษัทต่างประเทศ ที่เข้าหลักเกณฑ์การประกอบการในประเทศไทย ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเต็มอัตรา โดยที่บริษัทไม่เคยยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลและชำระภาษี และแม้ในปัจจุบันครอบครัวชินวัตรจะได้ขายบริษัทแอมเพิลริชให้ผู้อื่นไปแล้วก็ตาม แต่กรรมการบริษัทในขณะที่เกิดหนี้ภาษีคือนายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทา ชินวัตร ยังคงต้องรับผิดชอบแทนบริษัทในจำนวนหนี้ดังกล่าว


 


"ตัวอย่างของการเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ปลอมเป็นฝรั่ง ขายก็ under value พงด.ก็ไม่ยื่น ก็เลยชะตากรรมเป็นอย่างนี้"


 


ขณะเดียวกัน ที่ประชุม คตส.วันนี้ยังมีมติแต่งตั้ง คณะอนุกรรมกรรมการไต่สวนคดีออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 ตัวและ 3 ตัว โดยมีนายอุดม เฟื่องฟุ้ง เป็นประธาน นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติร้องทุกข์แจ้งความกล่าวโทษ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ในกรณีที่นายจาตุรนต์ วิจารณ์การทำงานของ คตส.ว่าไม่อยู่ในร่องในรอยและปฏิบัติหน้าที่เหมือนศาลเตี้ย


 


 


เครือข่ายสลัม 4 ภาคยอมสลายตัว หลังคมนาคมรับสางปัญหาที่ดิน


ผู้จัดการออนไลน์ -- เครือขายสลัม 4 ภาคยอมสลายการชุมนุมแล้ว หลังจากกระทรวงคมนาคมรับเงื่อนไขทุกข้อในการแก้ไขปัญหาที่ดิน รฟท.มาพิจารณา ทั้งการพิจารณาเจรจาเช่าพื้นที่ใหม่ การลดค่าเช่าร้อยละ 50 เป็นเวลา 2 ปี และการตั้งคณะกรรมการ 3 ฝ่าย ร่วมพิจารณา


 


ภายหลังกลุ่มเครือข่ายสลัม 4 ภาค กว่า 300 คน ได้เข้าชุมนุมปิดล้อมกระทรวงคมนาคม เพื่อเรียกร้องให้ผู้บริหารกระทรวงเข้ามาแก้ไขปัญหาให้กับชุมชนที่เช่าพื้นที่ รฟท. ให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดในที่ดินของ รฟท. ตามที่เครือข่ายสลัม 4 ภาคเสนอ เมื่อปี 2543 โดยเครือข่ายสลัม 4 ภาค ระบุว่า การแก้ไขปัญหาดังกล่าวยังไม่เสร็จสิ้น โดยพบว่า ยังมีชาวชุมชนอีกกว่า 7,355 ครอบครัว ที่ยังไม่ได้เช่าที่ดินจาก รฟท. และเห็นว่าตั้งแต่มีการเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มาเป็นเวลา 6 เดือน ล่าสุดกระทรวงคมนาคมได้รับข้อเสนอของกลุ่มเครือข่ายสลัม 4 ภาค และผู้ชุมนุมได้ประกาศสลายตัวแล้ว


 


นายชัยสวัสดิ์ กิตติพรไพบูลย์ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ข้อเรียกร้องใน 3 ประเด็น ของเครือข่ายสลัม 4 ภาค ประกอบด้วย 1.ขออนุมัติการเช่าพื้นที่ใหม่จำนวน 7 แปลง ซึ่งผู้บริหาร รฟท. ได้ชี้แจงว่า มีพื้นที่ 4 ชุมชน ที่สามารถดำเนินการได้ และมีอีก 3 ชุมชน ที่ต้องลงพื้นที่สำรวจ 2.การพิจารณาทบทวนค่าเช่าพื้นที่เดิม จำนวน 17 แปลง โดยพบว่าพื้นที่ดังกล่าวได้ข้อยุติการเจรจาแล้ว แต่ไม่สามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้ เนื่องจากติดปัญหาผู้อาศัยเดิม จึงขอให้ รฟท. ชะลอการเก็บค่าเช่าพื้นที่ออกไปจนกว่าจะสามารถเข้าอยู่ได้ สำหรับพื้นที่ที่สามารถเข้าอยู่อาศัยได้แล้ว ก็ขอให้ รฟท. พิจารณาลดค่าเช่าลงจากเดิมในอัตราร้อยละ 50 เป็นเวลา 2 ปี เนื่องจากชาวชุมชนจำเป็นต้องใช้เงินในการสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ และ 3.ขอให้ตั้งคณะกรรมการร่วม 3 ฝ่าย คือ ผู้แทนกระทรวงคมนาคม รฟท. และตัวแทนเครือข่ายสลัม 4 ภาค ขึ้นมาติดตามการแก้ไขปัญหา ซึ่งในวันนี้ (23 เม.ย.) กระทรวงคมนาคมได้รับเงื่อนไขทั้งหมดไว้พิจารณา และมีการลงนามในข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งภายหลังลงนามในข้อตกลง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะลงนามรับทราบ และเสนอให้คณะกรรมการ รฟท. ดำเนินการต่อไป


 


 


พีทีวี.ขู่ปิดถนนราชดำเนิน ย้ายชุมนุมอนุสาวรีย์ ปชต. ให้เวลา กทม.ทบทวน 2 วัน มั่นใจคนร่วมมากกว่าทุกครั้ง


เว็บไซต์แนวหน้า-- นายจตุพร พรหมพันธุ์ รองประธานกรรมการบริหาร พีทีวี.กล่าวถึงความคืบหน้าในการเตรียมจัดชุมนุมที่ท้องสนามหลังวันที่ 27 เม.ย.นี้ว่า ทางพีทีวี.ได้รับการประสานแจ้งจากทางกรุงเทพมหานคร(กทม.)ว่าขอเลื่อนการอนุญาตให้ พีทีวี.ใช้พื้นที่ท้องสนามหลวงจัดชุมนุม ไปอีก 2 วัน ก่อนจะสรุปผลว่าจะอนุญาตให้ใช้หรือไม่เนื่องจาก กทม. จะมีการจัดงานคอนเสิร์ต "ข้าพระบาททุกชาติไป"ซึ่งทางพีทีวี.ขอตั้งข้อสังเกตว่าเป็นความพยายามที่จะขัดขวางการชุมนุมของพีทีวี.ด้วยวิธีสามานย์ เอาเบื้องสูง สถาบันมาบังหน้าเพราะที่ผ่านมาช่วงที่พีทีวสีได้ทำหนังสือเพื่อขออนุญาตใช้พื้นที่สนามหลวงตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย.จนถึงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทาง กทม.ก็ยังไม่เคยบอกว่าจะมีการจัดงานดังกล่าว แต่ล่าสุดกลับมีการแถลงข่าวผ่านสื่อ แสดงชัดเจนว่าเป็นการสกัดการชุมนุม พีทีวีอย่างชัดเจนโดยใช้เล่ห์เพทุบาย


 



 "เราขอประกาศว่า ขอให้ กทม.กลับไปทบทวนอีกสองวันว่าจะคงใช้พฤติกรรมใช้เล่ห์เพทุบายเพื่อสกัดการชุมนุมอยู่ต่อไปหรือไม่ เพราะทาง พีทีวี ก็มีความจงรักภักดีต่อสถาบันเช่นกัน หาก กทม.มีการจัดงานเอาสถาบันมาบังหน้าจริง เราจะย้ายไปจัดการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยพร้อมจะปิดถนราชดำเนินโดยจะจัดงานตามกำหนดวันเวลาเดียวกัน ในเวลา16.30น.เป็นต้นไป ครั้งนี้จะมีคนร่วมชุมนุมกว่าทุกครั้ง โดยจะมีทั้งประชาชนผู้ที่สนับสนุนพีทีวี.ทั้งองค์กรต่างๆจะเข้าร่วมชุมนุม อาทิกลุ่มไทย เซย์ โน เพื่อร่วมล่าชื่อคว่ำร่างรัฐธรรมนูญรวมทั้งกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงและมหาวิทยาลัยอื่นๆจำนวนหลายร้อยคนเข้าร่วมเคลื่อนไหว "นายจตุพร กล่าว


 


 


กลุ่มคนวันเสาร์ยืนยันไม่ร่วมชุมนุมกับพีทีวี


เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น -- นายสุชาติ ตันติธนไพศาล เลขาธิการกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ กล่าวถึงการเตรียมชุมนุมของกลุ่มพีทีวีที่สนามหลวง ในวันศุกร์ที่ 27 เมษายนนี้ว่า กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการจะไม่ร่วมชุมนุมด้วยแน่นอน เพราะมีจุดมุ่งหมายต่างกัน กลุ่มมีเป้าหมายการทวงคืนประชาธิปไตยจากเผด็จการทหารเท่านั้น โดยเป้าหมายแรกที่ดำเนินการอยู่คือรวบรวมรายชื่อประชาชนให้ครบ 1 แสนคน เพื่อถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนี้รวบรวมได้กว่า 3 หมื่นรายชื่อ ซึ่งจะนำรายชื่อดังกล่าวเสนอต่อพล.อ.เปรม เพื่อส่งสัญญาณเตือนไปยัง พล.อ.เปรมก่อน ถ้ารวบรวมได้ครบ 5 หมื่นชื่อ จะเรียกร้องให้ พล.อ.เปรม ลาออก ถ้ายังไม่เคลื่อนไหวใดๆ กลุ่มจะล่าชื่อให้ครบ 1 แสนชื่อเพื่อไปยื่นถวายฎีกา นอกจากนี้กลุ่มคนวันเสาร์ยังคงจุดยืนเป้าหมายหลัก คือการเรียกร้องให้ คมช.คืนประชาธิปไตยกลับสู่ประชาชนดังเดิม ตนเองยืนยันว่ากลุ่มคนวันเสาร์ฯ จงรักภักดีต่อสถาบัน เป็นกลุ่มที่มีความรักชาติ การที่มีคนพยายามใส่ร้ายว่าได้รับน้ำเลี้ยงจากคนอื่นนั้นไม่เป็นความจริง ค่าโทรศัพท์ต่อเดือน 4-5 พันบาท และค่าน้ำมันรถต้องควักจ่ายเอง สามารถมาพิสูจน์ได้ การกระทำใดๆ ของทุกคน เชื่อว่าล้วนมีจุดยืนเป็นของตัวเอง กลุ่มของเราต้องการเพียงเรียกร้องประชาธิปไตยจากทหารกลับคืนมาเท่านั้น" นายสุชาติกล่าว


 


อย่างไรก็ตามรายละเอียดทางกลุ่มจะจัดการแถลงข่าวเพื่อแสดงจุดยื่นในเรื่องการรวบรวมรายชื่อประชาชนในวันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ห้องรานี ในเวลา 15.00 น.เพื่อชี้แจงต่อสื่อมวลชนและประชาชน โดยกลุ่มจะแจกเสื้อสีเหลืองที่แสดงความรักพ่อให้กับผู้ที่มาร่วมงานแถลงข่าวด้วย


 


 


'มหาเธร์'จี้'อับดุลเลาะห์'ลาออก


ผู้จัดการรายวัน --เอเอฟพี - ตามรายงานในเว็บไซต์ข่าว มาเลเซียนกินิดอตคอม มหาเธร์กล่าวกับพวกผู้สื่อข่าวเมื่อวันอาทิตย์(22)ว่า ถึงแม้ไม่ได้มีการทำข้อตกลงกัน แต่เขาคาดหมายไว้ว่าอับดุลเลาะห์ที่ปัจจุบันอายุ 67 ปี จะอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงสมัยเดียว แล้วส่งมอบต่อให้แก่นาจิบที่เวลานี้อยู่ในวัย 53 ปี ทว่ามาถึงตอนนี้เขาเห็นว่าอับดุลเลาะห์คงอยากจะอยู่ให้ได้ถึง 3 สมัยเสียแล้ว


 


มหาเธร์กล่าวว่า เขาเลือกอับดุลเลาะห์เป็นทายาทขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากเขาในปี 2003 ก็เพราะภาพลักษณ์ความเป็น "มิสเตอร์คลีน" ปลอดคอร์รัปชั่น ทั้งที่นาจิบได้รับความนิยมมากกว่า


 


อย่างไรก็ตาม อับดุลเลาะห์เคยแถลงปฏิเสธตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วถึงข่าวลือที่ว่าเขากำลังจะลาออก โดยหนังสือพิมพ์นิวสเตรทส์ไทมส์ฉบับวันพฤหัสบดี(19) รายงานคำพูดของเขาว่า "พวกข่าวลือที่ว่าผมกำลังจะลาออกในเดือนกรกฎาคมน่ะ ใครเป็นคนพูดนะ บางข่าวบอกว่าผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยเดียว เอาไว้เราคอยดูกันต่อไปก็แล้วกัน"


 


 


คตส.เอาเรื่อง"จาตุรนต์"ฟ้องหมิ่นประมาทกล่าวหาเป็น"ศาลเตี้ย"


กรมประชาสัมพันธ์ -- นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. กล่าวว่า คตส.มีมติแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษนายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการ หัวหน้าพรรคไทยรักไทย กรณีกล่าวพาดพิงถึงการทำงานของ คตส.ว่าเป็นการทำงานที่คล้ายศาลเตี้ย ซึ่งถือเป็นการกล่าวดูหมิ่นเจ้าพนักงานของรัฐ ซึ่งขอยืนยันว่า คตส.มีการทำงานที่เป็นไปตามกฎหมาย โดยการกล่าวหาลักษณะเช่นนี้คตส.ไม่สามารถยอมรับได้ ถือเป็นการดูหมิ่นการทำงานองค์กรของรัฐ



 


ภูฏานโวพร้อมสู่ประชาธิปไตย


เดลินิวส์ --ดาโช คุนซัง วังดี ประธานคณะกรรมาธิการเลือกตั้งของภูฏานเปิดเผยกับเอเอฟพีทางโทรศัพท์จากเมืองหลวงทิมพูเมื่อวันอาทิตย์ว่า การเลือกตั้งจำลองครั้งแรกในจำนวนสองครั้ง ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง "และบัดนี้เราพร้อมแล้วที่จะเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย"


 


ทั้งนี้การเลือกตั้งจำลองเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา มีจุดประสงค์ที่จะสร้างความคุ้นเคยให้ประชาชนแห่ง "ดินแดนแห่งมังกรคำราม"ซึ่งไม่เคยมีโอกาสได้ออกเสียงมาก่อน กับประชาธิปไตยภายใต้ระบบรัฐสภา การทดลองดังกล่าวนับเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของอดีตกษัตริย์ จิกมี ซิงเย วังชุก ซึ่งได้สละมงกุฎ ให้กับพระโอรสซึ่งสำเร็จการศึกษาจากออกซฟอร์ดของพระองค์ เจ้าชายจิกมี เกเซอร์ นัมเกล วังชุก เมื่อเดือน ธ.ค. เพื่อทรงรับบทบาทด้านพิธีการมากขึ้น


 


ตามรายงานกล่าวว่า ประชาชนราว 400,000 คน มีสิทธิในการโหวตในประเทศ ซึ่งมีขนาดประมาณเท่ากับสวิตเซอร์แลนด์ และตั้งอยู่ระหว่างอินเดียและจีนแห่งนี้ แต่ดูเหมือนว่าจะมีผู้ออกมาใช้สิทธิค่อนข้างต่ำราว 30 เปอร์เซ็นต์ โดยมีผู้ออกเสียงเพียง 124,747 รายใน 47 เขตเลือกตั้ง โดยผู้ลงคะแนนมี 4 พรรคการเมืองสมมุติให้เลือกคือบลู กรีน เร็ดและเยลโลว์ ดรัคหรือมังกรคำราม ถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ และผลคะแนนเบื้องต้นที่ออกมาปรากฏว่าพรรค เยลโลว์ ดรัค ที่ใช้นโยบายรับรองความเป็นเอกภาพของประเทศ ผ่านทางการอนุรักษ์ประเพณี วัฒนธรรมและคุณค่า จะออกนำโดยได้ 55,187 เสียงหรือราว 44 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนักสังเกตการณ์หลายคนบอกว่า เป็นการบ่งชี้ว่าชาวภูฏานยังคงชอบที่จะอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ต่อไป


 


 


บังกลาเทศเนรเทศ 2 อดีตผู้นำหญิง


เดลินิวส์ --บังกลาเทศออกหมายจับนางชี้ค ฮาซินา วาเจด ผู้นำพรรคฝ่ายค้านเมื่อวันอาทิตย์ ในขณะที่ เครื่องบินลำหนึ่งเตรียมรับตัวนางกาเลดา เซีย นายกรัฐมนตรีคนล่าสุดของบังกลาเทศ คู่แข่งของเธอ ให้ลี้ภัยออกนอกประเทศไปอยู่ในซาอุดีอาระเบีย


 


ทั้งนี้ รัฐบาลบังกลาเทศ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ กำลังพยายามที่จะเนรเทศผู้นำทั้ง 2 คน ให้ไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลาหลายปี ในข้อหาคอร์รัปชันและบริหารประเทศผิดพลาด ผู้สื่อข่าว อย่างน้อย 200 คน มาปักหลักอยู่ที่ท่าอากาศยานระหว่างประเทศในกรุงธากาตั้งแต่เมื่อคืนวันเสาร์ เนื่องจากมีกระแสข่าวลือกระหึ่มประเทศว่า นางกาเลดา เซีย จะเดินทางออกจากบังกลาเทศ ในเร็วๆ นี้


 


อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เธอเตรียมเดินทางออกนอกประเทศอยู่นั้น ศาลบังกลาเทศก็ได้ออกหมายจับนางชี้ค ฮาซินา อดีตนายกรัฐมนตรีเช่นกัน ในข้อหาฆาตกร นางชี้ค ฮาซินา หัวหน้าพรรคสันนิบาตอวามี พรรคฝ่ายค้าน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เธอจะพยายามขึ้นเครื่องบินไปยังกรุงธากา ซึ่งเป็นการท้าทายความพยายามของรัฐบาลในการขัดขวางเธอไม่ได้เดินทางกลับประเทศ


 


ชี้ค ฮาซินา ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนต้องรับผิดชอบกับการสังหารที่เขตปัลตาน พื้นที่หนึ่งในกรุงธากา ซึ่งนักเคลื่อนไหวของพรรคสันนิบาตอวามีได้รุมทำร้ายประชาชนอย่างน้อย 4 คนถึงแก่ความตายเมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา โดยมีการยื่นฟ้องร้องในข้อกล่าวหาดังกล่าวต่อชี้ค ฮาซินา เมื่อต้นเดือนนี้ ในขณะที่เธอกำลังอยู่ระหว่างเดินทางไปเยี่ยมญาติในสหรัฐ แม้ว่าเธอจะให้คำมั่นว่าจะต่อสู้ข้อกล่าวหาดังกล่าวด้วยตัวเอง แต่รัฐบาลชั่วคราวก็ห้ามเธอไม่ให้เดินทางกลับและได้แจ้งสายการบินเที่ยวบินไปยังบังกลาเทศให้ทราบเรื่องนี้ด้วย


 


อย่างไรก็ตาม ผู้ช่วยของเธอกล่าวว่า ชี้ค ฮาซินาก็พยายามที่จะเดินทางกลับ รัฐบาลต้องการเนรเทศทั้งชี้ค ฮาซินาและเซีย หัวหน้าพรรคชาตินิยมบังกลาเทศ หรือบีเอ็นพี อันเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์กวาดล้างระบบการเมืองที่คอร์รัปชันของประเทศให้สิ้นซาก.


 


 


ประธานคมช.มั่นใจว่าการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ จะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น


ศูนย์ข่าวแปซิฟิค --จากกรณีความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือ คมช. พลเอกสนธิ บุญยรัตนกลิน ผู้บัญชาการทหารบกและประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ไม่กังวลกับความเคลื่อนไหวหรือการชุมนุม เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติของระบอบประชาธิปไตย แม้จะสืบทราบว่ามีความพยายามยั่วยุจากบางกลุ่มให้เกิดความรุนแรงก็ตาม แต่ได้การวางแนวทางป้องกันไว้แล้ว ขณะที่เชื่อว่าสถานการณ์จะไม่บานปลาย หากไม่มีการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่กับกลุ่มผู้ชุมนุม พร้อมทั้งยืนยันว่าการเดินทางลงพื้นที่ภาคอีสานของ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ไม่มีจุดประสงค์ในการสกัดกลุ่มผู้ชุมนุมแต่เป็นการปิดตาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเพื่อวางแนวทางแก้ไขต่อไป


 


"ไม่หรอกครับ ผมว่ามันระบอบประชาธิปไตย มันทำให้คนเราอยู่ในกรอบอยู่แล้วแล้วก็เผื่อมันออกไปนอกกรอบ ก็ถือว่ามันก็ไม่ถูกต้อง มันมีกฏหมายรองรับของมัน "


 


ประธานคมช. เชื่อว่า การออกมาระบุของนายพายัพ ชินวัตร น้องชายพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าจะล้างแค้นคมช. เป็นเพียงการพูดเล่นและยืนยันว่าไม่กังวลกับการถูกดำเนินการหรือเช็คบิลหลังลงจากตำแหน่ง เนื่องจากเชื่อมั่นในกฏหมายที่มีพร้อมปฏิเสธกระแสข่าวที่มีว่าประเทศสหรัฐอาหรับอีมิเรต จะเชิญพันตำรวจโททักษิณ เป็นที่ปรึกษา มั่นใจว่าทุกประเทศให้การสนับสนุนและร่วมมือกับรัฐบาลเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามย้ำว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางกลับประเทศของพันตำรวจโททักษิณ คือหลังช่วงหลังการเลือกตั้ง


 


 


นายกฯยาหอมเพิ่มกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน


ไอ.เอ็น.เอ็น. --ที่ โรงแรมเบล จ.นครปฐม พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการการมีส่วนร่วมของผู้นำท้องถิ่น ในการร่างรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปการเมือง ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านแห่งประเทศไทย โดยในการนี้ นายกฯ ได้ให้เกียรติพบปะ พร้อมพูดคุยและมอบนโยบายให้กับกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านทั่วประเทศโดยมีใจความว่า อยากให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ทราบและเข้าใจถึงบทบาทของคณะอนุกรรมการสนับสนุนการมีส่วนร่วมและระดมคณะกรรมการอำนวยการ การมีส่วนร่วมของประชาชน โดยการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับถาวรและบทบาทของผู้นำท้องถิ่นในร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมทั้งได้กล่าวฝาก 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การปฏิรูปการเมือง 2.การนำนโยบายอยู่ดีมีสุขของทางรัฐบาล ไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมในท้องถิ่น และ 3.การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน โดยจะมีการเพิ่มจำนวนของกำนัน-ผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อเป็นการเสริมแรงในการทำงานมากขึ้น


 


 


เศรษฐกิจ


ไฟแนนเชียล ไทมส์ เผยญี่ปุ่นอาจตั้งกองทุนแบบเทมาเซค


เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น --หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์ (FT) รายงานในวันนี้ว่า ญี่ปุ่นกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนแบบพิเศษของรัฐบาล เพื่อใช้ในการบริหารทุนสำรองเงินตราต่างประเทศบางส่วน โดยญี่ปุ่นมีทุนสำรอง 9.09 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับสองของโลก


 


การหารือในเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแนวคิดในการจัดตั้งกองทุนที่มีรูปแบบคล้ายกองทุนเทมาเซค ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ โดยการหารือในเรื่องนี้ยังคงอยู่ในขั้นเริ่มต้น


 


FT ระบุว่า รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาปัญหาที่ทางรัฐบาลต้องเผชิญในขณะที่ประชากรมีอายุมากขึ้นและอัตราการเกิดลดต่ำลง โดยภายในปี 2015 ประชากรญี่ปุ่นกว่า 25 % จะมีอายุไม่ต่ำกว่า 65 ปี ในขณะที่ประชากรวัยทำงานจะยังคงมีสัดส่วนลดลงต่อไป


 


 FT ระบุว่า ประเด็นดังกล่าวนี้ได้รับการพิจารณาโดยคณะกรรมการที่ปรึกษาเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะเป็นประธาน นอกจากนี้ ประเด็นนี้ยังอยู่ในการพิจารณาของกลุ่มศึกษานโยบายในสำนักงานบริการทางการเงิน และของพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของญี่ปุ่นด้วย


 


FT ระบุว่า ประเด็นที่ได้รับการหารือรวมถึงเรื่องความเป็นไปได้ที่จะมีการแตกกิจการกองทุนบำเหน็จบำนาญของรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นกองทุนประเภทนี้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยกองทุนนี้ครอบครองสินทรัพย์มูลค่าราว 160 ล้านล้านเยน (1.35 ล้านล้านดอลลาร์) และการแตกกิจการนี้มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มพูนอัตราผลตอบแทนของเงินออมของญี่ปุ่น


 


ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของญี่ปุ่นพุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ที่ 9.08958 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนมี.ค. โดยทุนสำรองนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากอัตราผลตอบแทนจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้รายได้จากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยทุนสำรองของญี่ปุ่นนี้อยู่ในอันดับต่ำกว่าจีนเพียงประเทศเดียวเท่านั้น เนื่องจากจีนมีทุนสำรองสูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์


 


เป็นที่เชื่อกันว่าญี่ปุ่นนำทุนสำรองส่วนใหญ่ไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จีนและเกาหลีใต้ได้ศึกษาหนทางต่างๆในการเพิ่มพูนอัตราผลตอบแทนให้กับการลงทุนของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา แต่ญี่ปุ่นยังไม่เคยแสดงท่าทีกระตือรือร้นในเรื่องนี้ โดยเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นกล่าวว่าการลงทุนดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดความผันผวนด้านสกุลเงิน


 


นายฮิโรชิ วาตานาเบ รมช.คลังญี่ปุ่นฝ่ายกิจการระหว่างประเทศกล่าวในสัปดาห์ที่แล้วว่า รัฐบาลญี่ปุ่นใช้ความระมัดระวังในการโยกย้ายทุนสำรองเงินตราต่างประเทศออกจากดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากทางรัฐบาลไม่ต้องการให้ค่าดอลลาร์


 ดิ่งลง


 


ทุนสำรองของญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นหลังจากญี่ปุ่นขายเยนเป็นมูลค่าราว 35 ล้านล้านเยนเพื่อซื้อสกุลเงินต่างประเทศในปี 2003 และต้นปี 2004 โดยเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่นในการป้องกันไม่ให้เยนพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างเปราะบางในช่วงนั้น


 


ความมั่นคง


"พล.อ.สนธิ" ค้านแนวคิดใช้ ม.17 ก.ม.ปราบคอมมิวนิสต์ แก้ปัญหาไฟใต้


ผู้จัดการออนไลน์ -- พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. กล่าวว่า การนำพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ มาตรา 17 ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ซึ่งถือเป็นเพียงแนวคิดของแม่ทัพภาคที่ 4 เนื่องจากในพื้นที่ได้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก ที่ครอบคลุมการทำงานในทุกด้านอยู่แล้ว ส่วนที่ยังคงมีความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ยอมรับว่า เป็นเพราะยังมีจุดอ่อนที่ทำให้เกิดช่องว่างของการทำงาน โดยเฉพาะพื้นที่ที่กว้างขวาง และกำลังพลไม่เพียงพอ ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณาเตรียมจัดส่งกำลังพลลงไปเพิ่มเติม


 


 อย่างไรก็ตาม พล.อ.สนธิ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ยังคงเป็นฝ่ายชนะด้านยุทธศาสตร์ แต่ด้านยุทธวิธีควรต้องมีการปรับปรุงแก้ไขในบางเรื่อง


 


ระเบิดตู้โทรศัพท์ยะลาอีก


ไอ.เอ็น.เอ็น. -- เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ จังหวัดยะลา เพิ่มความเข้มในการปฎิบัติหน้าที่ สถานที่ราชการ โรงเรียน และประชาชนมากขึ้นหลังคนร้ายลอบวางระเบิดตู้โทรศัพท์สาธารณะ บริเวณหน้าสำนักงานไปรษณีย์อำเภอบันนังสตา หมู่ 2 แต่โชคดีไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ส่วนตู้โทรศัพท์ได้รับความเสียหายเล็กน้อย หลังเกิดเหตุกำลังเจ้าหน้าที่ได้เข้าเคลียร์พื้นที่อย่างละเอียดก่อนเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ เนื่องจากเกรงว่าคนร้ายจะลอบวางระเบิดซ้อนอีกลูก ส่วนระเบิดที่คนร้ายใช้เป็นระเบิดชนิดแสวงเครื่องน้ำหนักเพียง 2 กก.ใช้นาฬิกาปลุกเป็นตัวจุดชนวนและในเวลาใกล้เคียงกัน คนร้ายได้ลอบยิงชาวบ้านได้รับบาดเจ็บอีก 1 ราย ในพื้นที่เขตเทศบาลนครยะลา คือ นายมะแอ ดาหามิ อายุ 69 ปี ถูกกระสุนยิงเข้าบิรเวณแขนด้านซ้ายจำนวน 1 นัดได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ผู้บาดเจ็บต้อนสัตว์เลี้ยงเข้าคอก บริเวณถนนยาลูพัฒนา เขตเทศบาลนครยะลา ส่วนสาเหตุ เชื่อว่า เป็นการสร้างสถานการณ์ในพื้นที่


 


สิทธิมนุษยชน


จีนบุกจับนักอนุรักษ์ธรรมชาติ


ผู้จัดการออนไลน์ -- อู๋หลี่หง เดินหน้ารณรงค์ต่อต้านการสร้างมลพิษในทะเลสาบไท่หูมาเป็นเวลาหลายปี ทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่ตอนกลางสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีเกียง ซึ่งทราบกันว่าเป็นบริเวณที่มีความงดงามทางธรรมชาติแต่กลับเต็มไปด้วยขยะจากโรงงานเคมีและอุตสาหกรรมเบาที่เป็นพิษ


 


นอกจากนี้ไท่หูซึ่งยังอยู่ติดกับมณฑลเจ้อเจียงและเจียงซูทางภาคตะวันออกของจีนยังเป็นแหล่งน้ำดื่มที่สำคัญของบริเวณที่มีประชากรหนาแน่น รวมถึงเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นเมืองข้างเคียง


 


"ทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากบุกเข้าบ้านของอู๋ ค้นข้าวของในบ้านกระจุยกระจาย และเอาคอมพิวเตอร์และเอกสารส่วนตัวของเขาไปด้วย และจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ปล่อยตัวเขา"ซี๋ว์เจียฮัวภรรยาของอู๋กล่าว


 


อู๋ให้สัมภาษณ์เอเอฟพีเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้วว่า รัฐบาลท้องถิ่นให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากกว่าการปกป้องสิ่งแวดล้อม โดยถึงแม้ว่าจีนจะให้คำมั่นว่าจะส่งเสริมการป้องกันสิ่งแวดล้อมที่กำลังเสื่อมโทรมอย่างหนัก แต่นักการเมืองท้องถิ่นมักเลี่ยงนโยบายแห่งชาติและตั้งกฎที่เอื้อผลประโยชน์ขึ้นมาใช้อย่างอิสระ ซึ่งรัฐบาลกลางก็ไม่ทราบถึงความเลวร้ายที่เกิดขึ้น


 


ก่อนหน้านี้อู๋ถูกข่มขู่จากเจ้าหน้าที่หลายครั้ง และถูกจับครั้งก่อนเมื่อปี 2002 ขณะนั้นเขาถูกตำรวจควบคุมตัวไว้ 10 วัน.


 


 


คุณภาพชีวิต


นักวิทย์ชี้ ไทยเจออากาศร้อนสุดๆ 60 วัน


เว็บไซต์คมชัดลึก -- ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.ศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (START) จุฬาลงกรณ์หาวิทยาลัย กล่าวภายในการสัมมนาวิชาการ เรื่อง ผลกระทบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อประเทศไทย ว่า สภาพภูมิอากาศของประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 20 -30 ปีข้างหน้า และจะค่อยๆรุนแรงขึ้น เห็นได้จากอัตราการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล โดยเฉพาะบริเวณทะเลอันดามันจะสูงกว่าอ่าวไทย เนื่องจากการเปลี่ยน แปลงของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และปริมาณฝนจะเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยบริเวณชายฝั่งทะเลจะเกิดฝนตกถี่ขึ้น นอกจากนี้ เมื่อ อุณหภูมิโลกสูงขึ้นการเกิดโรคระบาดอาจเพิ่มขึ้น


 



ดร.อานนท์ กล่าวว่า จากการศึกษาแบบจำลองสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยในอีก 30 -80 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือการเปลี่ยนแปลง พบว่า จำนวนวันร้อนที่สูงกว่า 33 องศาเซลเซียสจะมีมากขึ้นประมาณ 30-60 วันต่อปีจากปกติ 20 วันต่อปี ทั้งนี้ จังหวัดที่มีวันร้อนมากที่สุด คือ อุทัยธานี เนื่องจากมีพื้นที่อยู่ในหุบเขา รองลงมาคือ นครสวรรค์ ส่วนจังหวัดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงมากนัก คือ ขอนแก่น สกลนคร และชัยนาท สำหรับจำนวนวันเย็นที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียสจะมี ประมาณ 30-40 วันต่อปีจากเดิมประมาณ 20-30 วันต่อปีเท่านั้น โดยจังหวัดที่อยู่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันตกจะมีจำนวนวันเย็นมากที่สุด


 



 "พื้นที่ที่เข้าสู่ภาวะวิกฤตส่วนใหญ่ จะเป็นจังหวัดที่อยู่บนภูเขาสูงมากๆ ซึ่งปัจจุบันยังไม่วิกฤตรุนแรง เหมือนในประเทศแอฟริกาที่ได้รับผลกระทบจากน้ำแข็งที่ละลาย ทำให้ยุงภูเขาเพิ่มจำนวนขึ้น และก่อให้เกิดโรคมาลาเรียระบาด จนผู้คนล้มตายมากมายหากประเทศไทยยังไม่มีแผนหรือแบบจำลองในการรับมือ เหตุการณ์ดังกล่าวย่อมเกิดขึ้นในประเทศไทยเช่นกัน" ดร.อานนท์ กล่าว


 



ดร.อานนท์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ภาวะโลกร้อนยังส่งผลกระทบต่อแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ฤดูน้ำหลากเปลี่ยนแปลงไป โดยในเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคมจะมีปริมาณน้ำมากกว่าที่ผ่านมาถึงร้อยละ 40 เนื่องจากทั้งปริมาณน้ำฝน น้ำเหนือ และน้ำทะเลหนุน ซึ่งระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นกว่าที่ผ่านมา ทำให้กรุงเทพมหานครแลปริมณฑลเกิดน้ำท่วมง่ายและถี่ขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาวะโลกร้อนยังมี ประโยชน์สำหรับเกษตรกรจังหวัดเชียงราย เพราะทำให้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15 สาเหตุมาจากปริมาณฝนตกมากขึ้น


 



"ประเทศไทยควรหามาตรการรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ใช่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เหมือนพวกปอเต็กตึ้ง เกิดปัญหาก่อนค่อยมาแก้ไขทีหลัง ไทยควรศึกษาสภาพความสมบูรณ์ของป่าไม้และความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งการจัดตั้งธนาคารพืช เพื่อนำพืชไปปลูกให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งต้องมีการจัดหาแหล่งน้ำ การดูแลสุขภาพและสาธารณสุขของประชาชน โดยเฉพาะการจัดการโรคและพาหะของโรคที่เกิดจากโลกร้อน" ดร.อานนท์ กล่าวและว่า ในช่วงวันที่ 30 เม. ย.- 4 พ.ค.2550 จะมีการประชุม คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ หรือ "ไอพีซีซี" (Intergovernmental Panel on Climate Change : IPCC) ร่วมกับผู้แทนจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม เพื่อรับรองรายงานของคณะนักวิทยาศาสตร์กว่า 2,000 คนที่ทำการศึกษาผลกระทบจากภาวะโลกร้อน โดยจะมีการเจรจาให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศในการหาแนวทางป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น



 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net