ในการประชุมเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาและการเข้าถึงยาที่กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ 19-21 มี.ค.50 จัดโดยเครือข่ายกฎหมายเพื่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ และสถาบันเหนือใต้ แคนาดา สนับสนุนโดยองค์การเพื่อการพัฒนานานาชาติของรัฐบาลแคนาดา (CIDA) ได้มีการแสวงหาแนวทางการพัฒนาการใช้สิทธิกับยาที่มีสิทธิบัตรเพื่อการส่งออก โดนแคนาดาได้เร่งรัดการพัฒนาแนวปฏิบัติที่จะเร่งให้ใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิต่อยาที่มีสิทธิบัตรเพื่อการส่งออกได้

รองศาสตราจารย์ ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองผู้บริโภค คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้เข้าประชุมจากประเทศไทยซึ่งได้นำเสนอเรื่องการใช้สิทธิต่อยาที่มีสิทธิบัตรของประเทศไทย กล่าวว่า ผู้เข้าประชุมจากประเทศอิตาลีได้รายงานต่อที่ประชุมถึงการใช้สิทธิต่อยาที่มีสิทธิบัตรของประเทศอิตาลีและสามารถให้ส่งออกได้ในยุโรป

โดยเมื่อวันที่ 21 มี.ค.50 อิตาลีอนุมัติใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิยาที่มีสิทธิบัตร (Compulsory Licensing ) ของบริษัทเมอร์คเจ้าของตัวยาชื่อ ฟินาเสตอไรด์ (Finasteride) และ ยาสามัญที่เกี่ยวข้อง ยานี้ขายในตลาดในชื่อ Proscar and Propecia.ใช้รักษาต่อมลูกหมากโต มะเร็งต่อมลูกหมากและหัวล้านในเพศชาย โดยการอนุมัตินี้ระบุให้สามารถส่งออกได้ในประเทศในยุโรป และได้จัดให้มีการชดเชยค่าตอบแทนกับบริษัทเมอร์คเจ้าของตัวยาที่ได้คัดค้านการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิในครั้งนี้ด้วย

ทั้งนี้ อิตาลีมีการใช้สิทธิมาตั้งแต่ปี 2537 โดยมีการใช้สิทธิกับยาของบริษัท Sorin ที่ฟ้องบริษัท Chiron
ว่าละเมิดสิทธิยาของตน และภายหลังให้ระงับการฟ้องของ Sorin โดยให้ใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิกับยาได้ ในปี 2548 มีการใช้สิทธิกับยาปฏิชีวนะ ชื่อ  Imipenem Cilastatina ของบริษัทเมอร์ค และปี 2549 มีการใช้สิทธิกับยารักษาไมเกรน ชื่อ Sumatriptan ของบริษัทแกลกโซ

ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า รัฐมนตรีกระทรวงด้านการพัฒนาระหว่างประเทศของอังกฤษ กล่าวระหว่างร่วมประชุมเวทีดังกล่าวว่า บริษัทผู้ผลิตยาในประเทศตะวันตกควรจะลดราคายาลงให้มากกว่านี้และระลึกว่าประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายมีสิทธิที่จะละเมิดสิทธิบัตรเพื่อการเข้าถึงยาของประชาชน มันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ที่บริษัทยักษ์ใหญ่จะเอาแต่ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง