Skip to main content
sharethis

9 เม.ย.50 - เวลา 09.00 น. ที่โรงแรมหาดใหญ่พาราไดส์ แอนด์รีสอร์ท อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีการประชุมเชิงปฏิบัติการข้าราชการฝ่ายปกครองในการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดสงขลา มีนายอำเภอ และปลัดอำเภอ 7 อำเภอในจังหวัดสงขลาเข้าร่วม ประมาณ 40 คน


 


นายชิต นิลพานิช รองประธานคณะที่ปรึกษาฝ่ายการเมืองและการบริหารราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แจ้งต่อที่ประชุมว่า ขณะนี้เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้ แก่ อำเภอเทพา สะบ้าย้อย จะนะ และนาทวี เริ่มมีความรุนแรงเหมือนกับที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีแนวโน้มว่าต่อไปจะเกิดการสังหารข้าราชการ ครู ตำรวจ ทหาร ผู้นำศาสนา รวมไปถึงพระมากขึ้น หากไม่รีบป้องกัน รวมทั้งการสังหารชาวมุสลิมที่ไม่ยอมเชื่อฟังกลุ่มขบวนการก่อความไม่สงบ


 


นายชิต กล่าวอีกว่า ต่อไปอาจมีการทำลายศาสนสถานมากขึ้น โดยเมื่อเกิดเหตุขึ้นมักจะมีการโยนความผิดว่า เจ้าหน้าที่รัฐเป็นคนก่อเหตุ ดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันตั้งแต่ การยิงรถตู้ที่อำเภอยะหา ตามมาด้วยยิงใส่มัสยิด โยนระเบิดใส่ร้านน้ำชา จนมาถึงเหตุการณ์ยิงใส่โรงเรียนปอเนาะในอำเภอสะบ้าย้อย ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้จะเกิดมากขึ้นหากไม่รีบป้องกัน นอกจากนี้แกนนำขบวนการได้พยายามปลุกระดมชาวบ้านให้เข้าร่วมขบวนการมากขึ้น โดยมีหมู่บ้านสีเหลืองที่เริ่มแดงเพิ่มมากขึ้นด้วย หลังจากนี้จุดที่ต้องระวังมาก คือ บริเวณตลาดหรือแหล่งชุมชน


 


นายชิต เปิดเผยด้วยว่า อย่างไรก็ตาม กลุ่มขบวนการก่อความไม่สงบก็มีจุดอ่อนเช่นกัน เช่น มีการซุมเปาะ หรือ การสาบานตนแบบหลอกๆ มีการทะเลาะกันระหว่างแกนนำกันเอง ในเรื่องการแบ่งเงินค่าคุ้มครองที่เก็บมาได้จากชาวบ้านวันละ 1 บาท เป็นต้น


 


นายชิต ยังได้แนะนำให้นายอำเภอและปลัดอำเภอจัดทำข้อมูลหรือทะเบียนผู้ก่อความไม่สงบ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่นเดียวกับที่ตนเคยปฏิบัติเมื่อครั้งเป็นนายอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อปี 2524 ซึ่งขณะนั้นมีปัญหาความไม่สงบจากขบวนการแบ่งแยกดินแดนพูโล รวมทั้งต้องเข้าถึงชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อให้เป็นแหล่งข่าวให้กับทางการ ซึ่งต้องสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชนด้วย จึงจะทำให้ได้รับข่าวกรองชั้นหนึ่ง แต่ปัจจุบันการเข้าถึงชาวบ้านในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองลดลง อาจเนื่องมากจากข้าราชการมัวแต่ใกล้ชิดกับนักการเมืองมากเกินไป จึงให้เวลากับการลงพื้นที่น้อยลง


 


นายชิต เปิดเผยด้วยว่า ที่ผ่านมา แม้ฝ่ายเสนาธิการของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก เองก็ยังมาถามทางสมาคมนักปกครองว่า เหตุใดข้อมูลที่ฝ่ายปกครองได้รับจึงมักเป็นข่าวกรองชั้นหนึ่ง ส่วนข่าวที่พวกเขาได้รับเป็นข่าวชั้นสอง ดังนั้นแสดงว่าการข่าวของฝ่ายปกครองย่อมดีกว่า เพราะการทำงานเข้าถึงชาวบ้านมากกว่า


 


จากนั้น ได้มีการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้แสดงความเห็นรวมทั้งเสนอแนะแนวทางป้องกันและแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดสงขลา โดยแต่ละกลุ่มมีเสนอให้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองต้องลงพื้นที่ เข้าถึงชาวบ้านให้มากขึ้น ยกตัวอย่างกรณีที่เกิดอุทกภัยในหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน ตำบลคูหา อำเภอสะบ้าย้อย ซึ่งหมู่บ้านถูกตัดขาดจากโลกภายนอก แต่เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ทันเวลา ทำให้ต่อมา กลายเป็นหมู่บ้านที่ให้ความร่วมมือกับรัฐมาตลอด ไม่มีความหวาดระแวง จากที่ก่อนหน้านั้นเป็นหมู่บ้านที่มีการเคลื่อนไหวของแกนนำขบวนการก่อความไม่สงบ และชาวบ้านไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ


 


นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอให้สร้างเอกภาพในการแก้ปัญหาความไม่สงบระหว่าง 4 อำเภอดังกล่าว โดยให้มีร้องผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ดูแล 1 คน รวมทั้งให้บูรณาการในการปฏิบัติงาน การข่าว เป็นต้น รวมทั้งให้แต่ละหมู่บ้านร่วมกันเสวนาเพื่อหาทางป้องกันความไม่สงบ การดูแลรักษาความปลอดภัยด้วยตัวเอง เป็นต้น


 


นายชิต ได้กล่าวสรุปอีกครั้งว่า จะเสนอให้ตั้งกองอำนวยการร่วมในการปฏิบัติการแก้ปัญหาความไม่สงบในพ้นที่ 4 อำเภอดังกล่าวว่า เนื่องจากฝ่ายปกครองไม่มีกำลังพลเพียงพอ ซึ่งจะทำให้สามารถดึงทหาร ตำรวจเข้ามาปฏิบัติการร่วมในพื้นที่ได้


 


นายปรีชา ดำเกิงเกียรติ นายอำเภอสะบ้าย้อย เปิดเผยว่า ขณะนี้คดีคนร้ายยิงเข้าไปในโรงเรียนปอเนาะบำรุงศาสน์วิทยา บ้านควนหรัน หมู่ที่ 2 ตำบลเปียน จนเป็นเหตุให้มีนักเรียนเสียชีวิตไป 2 คนนั้น ยังไม่มีความคืบหน้า หลักฐานที่กองวิทยาการนำไปตรวจสอบก็ยังไม่ได้รับรายงาน ส่วนหมวกทหารที่พบในสวนยางพาราชาวบ้านนั้น ทางกองกำลังสันติสุข ก็รับแล้วว่าทำตกจากเฮลิค็อปเตอร์ขณะโปรยใบปลิว ซึ่งเรื่องนี้จบแล้ว


 


ส่วนการเข้าถึงพื้นที่บ้านควนหรันนั้นสามารถทำได้ตามปกติ ชาวบ้านให้ความร่วมมือดี ไม่มีการเรียกร้องให้ถอนทหารพรานและตำรวจตระเวนชายแดนออกจากพื้นที่แต่อย่างใด ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและยาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทางราชการให้เงินค่าเยียวแล้ว ยกเว้นรายเดียวที่ผู้ปกครองของนักเรียนที่เสียชีวิตไม่ยอมรับ จึงได้มอบให้ทางยาติไปแทน


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net