ประชาไท - 29 มี.ค. 50 องค์การแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ออกแถลงการณ์ลงชื่อ นายบุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การ แสดงความห่วงใยกรณีรัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) อาจมีมาตรการคุมการชุมนุมด้วยพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในเขตกรุงเทพฯ มีเนื้อความว่า
ประการแรก แอมเนสตี้ฯ มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งสถานการณ์ความขัดแย้งที่ลุกลามขยายตัวรุนแรงใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนความขัดแย้งทางการเมืองที่อาจนำพาบ้านเมืองมาสู่ภาวะวิกฤตมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ประการต่อมา แอมเนสตี้ ฯ ยังเห็นว่า สิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะในเรื่องความมั่นคงของชีวิตของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่มิอาจล่วงละเมิดได้ ถือเป็นภาระหน้าที่ของรัฐที่จะต้องจัดการ โดยมิให้มาตรการ หรือนโยบายดังกล่าวกระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนกลุ่มอื่น ๆ
ประการที่สาม เสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นหรือความเชื่อของประชาชน ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของหลักการสำคัญในสังคมประชาธิปไตย การปิดกั้นการแสดงออกทางความคิดเห็นก็อาจนำมาสู่ปัญหาที่ตึงเครียด และทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น รัฐบาล และ คมช. ต้องมีความเชื่อมั่นในความแตกต่าง หลากหลายทางความคิดเห็น แม้ว่าแต่ละส่วนจะมีปูมหลังทางสังคมการเมืองที่แตกต่างกัน ผลประโยชน์ทางการเมือง และธุรกิจที่แตกต่างกัน รัฐบาลและ คมช. จะต้องใช้ความพยายาม และขันติธรรมระดับสูงในการแยกแยะ และจัดการกับปัญหาอย่างรอบคอบ
ประการที่สี่ แอมเนสตี้ฯ เห็นว่า การประกาศใช้ พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือการประกาศใช้กฎอัยการศึก ให้ครอบคลุมพื้นที่ กรุงเทพมหานคร หรือพื้นที่อื่นใด ย่อมไม่เป็นผลดีต่อบ้านเมือง ไม่ว่าจะในเรื่องของความเชื่อมั่นของประชาชนไทยในประเทศ หรือต่อสายตาประชาคมโลก การประกาศใช้มาตรการดังกล่าวจะมีผลให้ภาพพจน์ของรัฐบาล คมช. และประเทศไทยถดถอยไปอีกมาก ซึ่งจะส่งกระทบในทางลบ และเป็นเรื่อง ที่ไม่มีผู้ใดปรารถนา เว้นแต่ผู้ไม่หวังดีตอประเทศไทย
ประการที่ห้า มาตรการ "ขี่ช้างจับตั๊กแตน" ด้วยการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในยามที่ยังไม่ถึงขั้นวิกฤตที่มีความจำเป็นยิ่งยวด ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ แต่น่าจะก่อให้เกิดปัญหา ผลกระทบติดตามมาอีกมากมาย ทั้งด้าน สังคม เศรษฐกิจ การลงทุน การท่องเที่ยว ความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อรัฐ ฯลฯ และที่สำคัญที่สุด ย่อมกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ประชาคมโลกไม่สามารถยอมรับได้
ทั้งนี้ต้องยอมรับความเป็นจริงข้อหนึ่งว่า ประเทศไทยกำลังถูกจับตามองโดยองค์กรระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คณะมนตรีสิทธิมนุษยชน แห่งองค์การสหประชาชาติ และ รัฐภาคีสมาชิกของสหประชาชาติว่า เมื่อไรสถานการณ์ในประเทศไทยจะกลับคืนสู่ภาวะประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
ประการที่หก หากรัฐบาล และ คมช. เลือกใช้มาตรการประกาศพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน ย่อมมีนัยว่ามาตรการปกติที่ยึดหลักการทางกฎหมาย หรือนิติธรรมนั้น ไม่สามารถใช้การได้ ซึ่งจะยิ่งถูกตั้งคำถามจากสาธารณชนมากขึ้นถึงความล้มเหลว และอ่อนแอของหลักนิติธรรม ซึ่งเป็นเสาหลักของบ้านเมือง
ประการที่เจ็ด โจทย์ใหญ่ของรัฐบาล และ คมช. เมื่อก้าวเข้ามามีภารกิจหลังการเปลี่ยนแปลงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 นั้น ย่อมก่อให้เกิดความคาดหวังในหมู่ประชาชนไม่มากก็น้อย เป็นสิ่งที่รัฐบาล และ คมช. จะต้องพิสูจน์ถึงความบริสุทธิ์ใจ และความสามารถในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและหนักหน่วงอย่างมีระบบ และมีประสิทธิภาพภายใต้สถานการณ์ที่กดดันในทุกทิศทาง ในสายตาของประชาชนผู้รักความเป็นธรรม ระยะเวลา 6 เดือนหลังจากการเปลี่ยนแปลง อาจจะยาวนานเกินไปกว่าที่จะรอคอย ด้วยมีความคาดหวังอย่างสูงว่าปัญหาที่ประสบอยู่จะได้รับการแก้ไข เช่น ปัญหาของประชาชนกลุ่มเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ตลอดจนผู้ใช้แรงงาน คนจนเมือง กลุ่มต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหามลภาวะ และนโยบายรัฐตลอดระยะเวลากว่า 5 - 6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสมควรจะได้รับการแก้ไข ด้วยการจัดความสำคัญไว้ในอันดับต้น ๆ
ประการสุดท้าย แอมเนสตี้ฯ หวังที่จะเห็นการแก้ไขปัญหาด้วยมาตรการที่เป็นประชาธิปไตย บนพื้นฐานของการเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มีความเป็นธรรม และใช้หลักการแห่งสันติวิธี จึงขอให้รัฐบาล และ คมช. ได้โปรดทบทวนการประกาศใช้ พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือการใช้กฎอัยการศึก อย่างมีสติ ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง หรือทำลายหลักการสำคัญของสังคมประชาธิปไตย