ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี
ศูนย์เฝ้าระวังเชิงองค์ความรู้สถานการณ์ภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
เหตุการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในระยะหลัง มักเกิดขึ้นโดยมีความพยายามที่จะนำเอามวลชนเข้ามามีส่วนร่วมโดยเปิดเผย ทั้งนี้ เพราะความรุนแรงหรือการก่อการร้ายในปัจจุบัน เป็นรูปแบบพิเศษของการเมืองว่าด้วยอัตลักษณ์ อาจจะกล่าวในอีกแง่หนึ่งได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสงครามแห่งสัญลักษณ์นั่นเอง
แม้ว่าการรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 ผ่านมาเป็นเวลา 5 เดือนกว่าแล้ว แต่สถานการณ์ในพื้นที่ก็ยังมีแนวโน้มไปในทางรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทั้งๆ ที่นโยบายรัฐบาลปัจจุบันมุ่งเน้นการส่งสัญญาณเชิงสมานฉันท์ไปสู่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ประชาชนโดยทั่วไป และพยายามใช้ความประนีประนอมในการแก้ปัญหาด้านชาติพันธุ์และศาสนาในพื้นที่
แต่ปัญหาก็ยังคงรุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งแสดงออกให้เห็นในรูปแบบของการใช้ความรุนแรงด้วยความถี่สูงขึ้นและด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยมมากยิ่งขึ้น
นอกจากวิธีการใช้ความรุนแรงแล้ว สัญญะของความรุนแรงก็ยังถูกแสดงออกในรูปอื่นๆ เพื่อเสริมความเข้มแข็งของปฏิบัติการทางวาทกรรมในการต่อสู้เพื่อต่อต้านและลดทอนอำนาจอันชอบธรรมของรัฐ ทั้งในรูปของการแจกใบปลิวและข่าวลือในหมู่ประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งการแสดงออกด้วยการชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองเพื่อต่อต้านอำนาจรัฐ นโยบายและการปฏิบัติการทางยุทธวิธีของรัฐต่อการเคลื่อนไหวมวลชน จึงมีผลต่อการสกัดกั้นและยับยั้งไม่ให้ความขัดแย้งขยายตัวไปสู่ประชาชนในวงกว้างอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
จากสถิติที่ผ่านมาในรอบ 3 ปีกว่าของความรุนแรงในพื้นที่ มีเหตุการณ์ที่เรียกว่า การชุมนุมประท้วงโดยมวลชนรวม 26 ครั้ง ครั้งล่าสุดก็คือในอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา (20 มี.ค. 50)
จะเห็นได้ว่า ในช่วงเวลา 38 เดือน มีการประท้วงเกิดขึ้นที่จังหวัดยะลา 12 ครั้ง จังหวัดปัตตานี 7 ครั้ง นราธิวาส 4 ครั้ง และสงขลา 3 ครั้ง
เหตุประท้วงเกิดขึ้นมากที่สุดที่จังหวัดยะลา ซึ่งมีเหตุเกิดขึ้นมากทั้งในปี 2549 และ 2550
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ลักษณะข้อเรียกร้องในการชุมนุมประท้วงส่วนใหญ่ เป็นการเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในคดีการก่อความไม่สงบ (13 ครั้ง) รองลงมาคือการเรียกร้องขับไล่กองกำลังทหารหรือตำรวจออกจากพื้นที่ (5 ครั้ง)
เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ต้องหา | 13 ครั้ง |
ขับไล่กองกำลังทหารและตำรวจออกจากพื้นที่ | 5 ครั้ง |
ประท้วงเจ้าหน้าที่การยิงผู้ต้องสงสัย | 1 ครั้ง |
ประท้วงสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ก่อสถานการณ์ | 3 ครั้ง |
เสนอข้อเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รักษาความสงบ | 3 ครั้ง |
เกิดการประท้วง 8 ครั้งในปี 2549 และ 16 ครั้ง ในปี 2550 ทั้งๆ ที่ปีนี้เพิ่งจะผ่านมาเพียงแค่สองเดือนกว่าเท่านั้น จึงเป็นสัญญานบอกเหตุว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวมวลชนในลักษณะเช่นนี้อาจจะเกิดขึ้นมากขึ้นในปีนี้
องค์ประกอบของผู้ชุมนุมประท้วงในระยะแรก มักจะเป็นชายฉกรรจ์หรือรวมกันทั้งผู้ชายกับผู้หญิง จำนวนผู้ชุมนุมประท้วงส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 50 คนจนถึงสูงสุดประมาณ 300-500 คน
แต่เมื่อดูจากจำนวนผู้ชุมนุมประท้วงแต่ละครั้ง มีผู้ร่วมชุมนุมประท้วงระหว่าง 50-100 คน เป็นจำนวน 15 ครั้ง (ร้อยละ 58), 200-300 คน 8 ครั้ง (ร้อยละ 31), 400-500 คน เพียงแค่ 3 ครั้ง (ร้อยละ 11) จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า เหตุการณ์ส่วนมาก เป็นการรวมตัวชุมนุมขนาดเล็ก โดยมีผู้ประท้วงจำนวน 50-100 คน
ประเด็นที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ นับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2549 องค์ประกอบของผู้เข้าร่วมการชุมนุมประท้วง จะเป็นกลุ่มผู้หญิงมุสลิมและเด็กเป็นส่วนใหญ่ รวมแล้ว การชุมนุมประท้วงของผู้หญิงและเด็ก มีจำนวน 15 ครั้ง หรือร้อยละ 58 ของเหตุประท้วงทั้งหมด
ในจำนวนนี้ มากกว่าครึ่งเป็นการชุมนุมประท้วงของผู้หญิงที่มีคนเข้าร่วมไม่เกิน 100 คน แสดงให้เห็นว่าผู้ชุมนุมประท้วงที่เป็นผู้หญิงมักจะเป็นการจัดตั้งในกลุ่มที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการรวมตัวหรือสลายตัว
ปรากฏการณ์ที่เห็นได้ชัดในขณะนี้ก็คือ การชุมนุมประท้วงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กลายเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองที่มีพลังมากในการเคลื่อนไหว และสามารถก่อผลกระทบได้เป็นอย่างสูง โดยเฉพาะต่อความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ ทั้งในและนอกพื้นที่ ควรสนใจด้วยว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้น ยังขึ้นอยู่กับวิธีการในการจัดการแก้ปัญหาของเจ้าหน้าที่รัฐด้วย
นับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา การชุมนุมครั้งแรกในพื้นที่ ก็คือกรณีอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ในวันที่ 25 ต.ค. 47 ซึ่งรัฐต้องเผชิญหน้ากับการชุมนุมประท้วงใหญ่เป็นครั้งแรก มีผู้เข้าร่วมชุมนุมประมาณ 1,300 คน การจัดการที่ไม่มีความพร้อมของเจ้าหน้าที่รัฐทำให้การเจรจาไม่ประสบผล
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ การเผชิญหน้าและปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจกับมวลชน เหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้น มีคนตายในที่เกิดเหตุ 7 คน และมีการควบคุมตัวผู้ประท้วง 1,292 คน หลังจากนั้นมีผู้เสียชีวิตจากการลำเลียงคนไปค่ายอิงคยุทธบริหารอีก 78 คน ผลสะเทือนของความล้มเหลวในการจัดการเจรจากับผู้ชุมนุมประท้วงที่ตากใบ ทำให้เหตุการณ์นองเลือดเป็นข่าวไปทั่วโลก และก่อให้เกิดความรู้สึกโกรธแค้นในหมู่ประชาชนในพื้นที่
ในเดือนก.ย. 2548 เกิดเหตุประท้วงเป็นครั้งที่สอง คราวนี้มีการประท้วงและจับตัวประกันนาวิกโยธิน 2 นายที่บ้านตันหยงลิมอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส มีชาวบ้านทั้งชายและหญิงเข้าร่วมประมาณ 100 กว่าคน การเจรจาล้มเหลวอีก ทำให้นาวิกโยธิน 2 นายที่ถูกจับเป็นตัวประกันเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
เหตุการณ์รุนแรงที่เกี่ยวกับการชุมนุมประท้วงครั้งที่สาม เกิดขึ้นในเดือนพ.ค. 49 ที่โรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาสเช่นเดียวกัน ในเหตุการณ์ดังกล่าว ชาวบ้านทั้งผู้ชายและผู้หญิงจับครูผู้หญิงคนพุทธ 2 คนเป็นตัวประกัน หนึ่งในนั้นคือครูจู หลิง ปงกันมูล ผลการเจรจาที่ล้มเหลวทำให้มีการทำร้ายครูทั้งสองอย่างทารุณ ครูจูหลิงได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
เหตุการณ์ตากใบ ตันหยงลิมอ และกูจิงลือปะ เป็นกรณีความรุนแรงที่เกี่ยวกับการชุมนุมประท้วงสามครั้งแรกที่มีการบันทึกไว้ในระหว่างปี พ.ศ. 2547-2549 และมีผลกระทบอย่างมากต่อสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่
ประเด็นที่สำคัญก็คือ ทั้งสามกรณี รัฐล้มเหลวในการจัดการและเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง
แต่สิ่งที่ควรบันทึกไว้ด้วยก็คือ เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับการชุมนุมประท้วงรัฐในพื้นที่สี่จังหวัดภาคใต้ที่เหลืออีก 23 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2549-2550 ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงและการนองเลือด แม้ว่าหลายครั้งจะมีความตึงเครียดและแนวโน้มของการเผชิญหน้ากันระหว่างรัฐกับประชาชนในระหว่างการชุมนุมประท้วง แนวทางและยุทธวิธีในการจัดการความขัดแย้งในสถานการณ์ประท้วง จึงน่าจะมีนัยสำคัญต่อการลดความรุนแรงและผลกระทบที่เกิดขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีเหตุการณ์หลายครั้งที่เจ้าหน้าที่ใช้วิธีการเจรจาโดยอาศัยผู้นำท้องถิ่น เช่นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. และผู้นำทางศาสนาเช่นอิหม่ามและกรรมการอิสลามประจำจังหวัด เข้าร่วมเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อหาข้อยุติ
กรณีที่มีการเรียกร้องมากที่สุดในระยะหลังก็คือ การเรียกร้องความเป็นธรรมจากการจับกุมผู้ต้องสงสัยในการกระทำผิดคดีความมั่นคง เนื่องจากความหวาดระแวงที่มีต่อรัฐและความไม่ไว้ใจในกระบวนการยุติธรรมของรัฐของชุมชนมุสลิมในพื้นที่ ทำให้ครอบครัวและญาติพี่น้องไม่พอใจต่อการดำเนินการของเจ้าหน้าที่
เพื่อให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายต่อความวิตกกังวลดังกล่าว มีหลายกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้วิธีการประนีประนอม ด้วยการจัดการให้ญาติเข้าเยี่ยมตัวผู้ต้องสงสัย และเปิดโอกาสให้มีการประกันตัวหรือปล่อยผู้ต้องหาบางคนที่หลักฐานไม่เพียงพอ เพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงที่อาจจะขยายตัว เนื่องจากในระยะหลัง เกิดจากการชุมนุมของสตรีและเด็กมากขึ้น ในลักษณะคล้ายโล่มนุษย์ เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้ เจ้าหน้าที่รัฐได้มีการใช้ทหารพรานหญิงเพื่อป้องกันการกระทบกระทั่งและการยั่วยุให้เกิดความรุนแรง
การใช้ทหารพรานหญิงทำให้ลดความรุนแรงและมีส่วนช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้ดังเหตุการณ์ชุมนุมประท้วง 2 ครั้งที่อำเภอรามัน จังหวัดยะลาและอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เป็นต้น นอกจากนั้น ประเด็นที่น่าสังเกตด้วยก็คือ การชุมนุมประท้วงในระยะหลัง มีบางครั้งที่กลุ่มผู้ชุมนุมรวมตัวกันและไม่สามารถแสดงข้อเรียกร้องของตนเองให้ชัดเจน ผู้ประท้วงจะพากันสลายตัวไปเองเมื่อเวลาพลบค่ำโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย
อย่างไรก็ดี การที่รัฐหันมาใช้วิธีการประนีประนอมในการชุมนุมประท้วงของชุมชน ในกรณีที่เกิดการจับกุมผู้ต้องสงสัย ทำให้เกิดปัญหาในอีกด้านหนึ่ง กล่าวคือ ภาพลักษณ์ของรัฐเสียไปในแง่ที่ว่า ทำให้เสียกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมาย และอ่อนเกินไปในการจัดการปัญหาความขัดแย้งโดยเฉพาะต่อความรุนแรงที่มีต่อชุมชนชาวพุทธในพื้นที่
ดังจะเห็นได้จากใน 26 ครั้งของการเกิดเหตุประท้วงทั้งหมดนั้น 3 ครั้งเป็นการประท้วงของกลุ่มชาวพุทธในพื้นที่ เหตุการณ์ปลายเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2549 ที่อำเภอธารโต จังหวัดยะลา เริ่มมีการชุมนุมเรียกร้องของคนพุทธเป็นครั้งแรก โดยชาวบ้านชุมชนพุทธกว่า 200 คนรวมตัวกันปิดถนนสาย 410 ยะลา-เบตงเพื่อยื่นข้อเสนอให้ทหาร ตำรวจเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลรักษาความปลอดภัยของคนพุทธและเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐทำกฎหมายให้ศักดิ์สิทธ์
ต่อมามีการชุมนุมของชุมชนชาวพุทธอีกที่ตำบลนาประดู่ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานีเพื่อเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายต่อผู้กระทำผิด ในวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมาก็มีการชุมนุมของชุมชนชาวพุทธอีกครั้งที่อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา โดยมีชาวบ้าน 500 คนจาก 3 ตำบลคือตำบลเขาแดง ตำบลคูหาและตำบลทุ่งพอยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลมีความเด็ดขาดกับผู้ก่อความไม่สงบและช่วยเหลือเยียวยากับผู้ถูกกระทำอย่างเท่าเทียมกัน
การชุมนุมของชาวพุทธในพื้นที่ สะท้อนให้เห็นแรงกดดันอีกด้านหนึ่งที่รัฐต้องเผชิญในการจัดการปัญหาด้วยความสมานฉันท์ คือความรู้สึกไม่พอใจของชุมชนพุทธในพื้นที่ และความรู้สึกไม่เข้าใจกันระหว่างชุมชนพุทธกับมุสลิมที่เพิ่มระดับมากขึ้น อันเนื่องมาจากสถานการณ์ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า นโยบายและแนวการปฏิบัติของรัฐต่อการเคลื่อนไหว โดยอาศัยมวลชนมาต่อต้านรัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผลต่อการสกัดกั้นและยับยั้งไม่ให้ความขัดแย้งขยายตัวไปสู่ประชาชนในวงกว้าง ในช่วงเวลาที่ผ่านมา รัฐทำได้ดีในการจัดการความขัดแย้งด้วยการใช้วิธีประนีประนอมในการจัดการการชุมนุมประท้วงของมวลชนมิให้เกิดปัญหาดังเช่นกรณีตากใบ ตันหยงลิมอและกูจิงลือปะ
แต่ในอีกด้านหนึ่ง การที่ผู้ก่อความรุนแรงหันไปพุ่งเป้าการโจมตีอย่างโหดร้ายต่อคนพุทธในพื้นที่และชุมชนหลายแห่ง ก็กระตุ้นความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ระหว่างคนพุทธกับคนมุสลิมให้เพิ่มมากขึ้น ทำให้ประเด็นความรู้สึกต่อความปลอดภัยของคนพุทธกลายเป็นตัวแปรที่อ่อนไหวมากขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการปะทะกันระหว่างชุมชนระหว่างชาติพันธุ์และศาสนาที่ต่างกันดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ
ในสถานการณ์เช่นนี้ จะเห็นได้ว่า ในขณะที่รัฐเพิ่มปัจจัยในเรื่องความสมานฉันท์เข้าไปในนโยบายแก้ปัญหาไฟใต้เพื่อลดพื้นที่การเคลื่อนไหวสร้างเงื่อนไขของฝ่ายขบวนการก่อการร้าย และกลุ่มก่อความไม่สงบ ฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบก็สามารถลดพื้นที่ทางการเมืองของรัฐด้วยการเพิ่มปัจจัยความแตกแยกในหมู่คนมุสลิมและคนพุทธเข้าไปในสมการความรุนแรง เร่งกระแสสาธารณะที่ปฏิเสธนโยบายสมานฉันท์และสันติวิธี และในที่สุดก็เพื่อที่จะลดความน่าเชื่อถือความชอบธรรมของรัฐในการปกครอง
ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่จะต้องยอมรับก็คือ นโยบายสมานฉันท์และสันติวิธีในการจัดการการชุมนุมประท้วงของประชาชนในรอบสองปีที่ผ่านมาของรัฐบาล มีผลทำให้ลดความรุนแรงหรือผลกระทบด้านลบที่มีต่อประชาชนในเหตุการณ์แต่ละครั้งได้อย่างมาก ดังจะเห็นได้ว่า หลังจาก 3 กรณีแรกที่การเจรจาต่อรองล้มเหลว ทุกครั้งที่มีการชุมนุมเรียกร้อง ไม่ว่าจะโดยมีเจตนาแอบแฝงหรือไม่ก็ตาม เหตุการณ์ยุติลงโดยสงบแม้จะมีความตึงเครียดเกิดขึ้นในระหว่างการเจรจาต่อรองและการเผชิญหน้า
สิ่งที่รัฐจะต้องทำเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับนโยบายสมานฉันท์ก็คือ พยายามรักษาความปลอดภัยในชีวิตของชุมชนพุทธให้ได้ โดยการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย ในขณะเดียวกัน ฟื้นความมั่นคงปลอดภัยให้กลับคืนมาให้ได้มากที่สุดโดยเฉพาะในเขตที่มีอันตรายสูงเช่นเขตแดง
ในพื้นที่ดังกล่าวทั้งชุมชนมุสลิมและชุมชนพุทธต้องได้รับการปกป้องและปฏิบัติโดยเท่าเทียมกัน การปฏิบัติโดยเท่าเทียมกัน ไม่มีอคติของรัฐเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายสมานฉันท์และสันติ ท่าทีการปฏิบัติของรัฐที่ให้ความเสมอภาคเท่าเทียมกัน จะช่วยลดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์และศาสนาได้
ในอีกด้านหนึ่ง การสร้างความยุติธรรมในกระบวนการทางกฎหมายก็มีความสำคัญ การดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดโดยอาศัยกระบวนการยุติธรรมเป็นสิ่งที่จะต้องทำโดยอาศัยความร่วมมือขององค์กรชุมชน ผู้นำท้องถิ่น และผู้นำทางศาสนาในทุกขั้นตอนกระบวนการ รัฐจะต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจผู้นำท้องถิ่นและพลังชุมชนเพื่อจัดการความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นเพื่อฟื้นอำนาจของสังคมให้กลับมา
วันที่ | พื้นที่ | สาเหตุประท้วง | จำนวน (คน) | ศาสนา | เพศ | การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ | ผลของเหตุการณ์ | |
1 | 25 ตค 47 | อ.ตากใบ นราธิวาส | ประท้วงเรื่องผู้ต้องหา ชรบ. แจ้งความเท็จกรณีปล้นปืน ชรบ. | 1,000 | มุสลิม | ชายและหญิง | เจ้าหน้าที่เจรจาไม่สำเร็จ | สลายการชุมนุมด้วยกำลังผู้เสียชีวิตในการชุมนุม 7 คน |
2 | 21 กย 48 | อ.ระแงะ นราธิวาส | ประท้วงและจับตัวประกันนาวิกโยธิน 2 นาย | 100 | มุสลิม | ชายและหญิง | เจ้าหน้าที่เจรจาไม่สำเร็จ | ตัวประกัน 2 นาวิกโยธินถูกฆ่าตาย |
3 | 19 พค 49 | อ.ระแงะ นราธิวาส | เรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาและจับครู 2 คนเป็นประกัน | 100 | มุสลิม | ชายและหญิง | เจ้าหน้าที่เจรจาไม่สำเร็จ | ผู้ประท้วงทำร้ายครู 2 คน ครูจูหลิงบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตต่อมา |
4 | 5 พย 49 | บันนังสตา ยะลา | เรียกร้องให้ย้ายฐานตำรวจ ตชด. | 300 | มุสลิม | ชายและหญิง | เจ้าหน้าที่เจรจาสำเร็จ | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
5 | 20 พย 49 | อ.ยะหา ยะลา | เรียกร้องให้ย้ายฐานตำรวจ ตชด. | 60 | มุสลิม | ชาย หญิง และเด็ก | นายอ. ตำรวจ ผู้ใหญ่บ้านและโต๊ะอิหม่ามเจรจาสำเร็จ | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
6 | 21 พย 49 | อ.ยะหา ยะลา | เรียกร้องให้ย้ายฐานตำรวจ ตชด. (อีกครั้ง) | 300 | มุสลิม | ชายและหญิง | เจ้าหน้าที่เจรจาสำเร็จ | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
7 | 22 พย 49 | อ.ธารโต ยะลา | แย่งศพคนร้ายถูกเจ้าหน้าที่ยิงตาย | 400 | มุสลิม | ชายและหญิง | ไม่มีการตอบโต้จากเจ้าหน้าที่ | มีการทำลายทรัพย์สินและสลายตัว |
8 | 17 ธค 49 | อ.ยะรัง ปัตตานี | เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ต้องหา | 60 | มุสลิม | ผู้หญิงและเด็ก | เจ้าหน้าที่เจรจาสำเร็จ ให้ญาติเข้าเยี่ยม | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
9 | 27 ธค 49 | อ.ธารโต ยะลา | เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ต้องหา | 50 | มุสลิม | ผู้หญิงและเด็ก | เจ้าหน้าที่เจรจาสำเร็จ ปล่อยตัวกลับบ้าน | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
10 | 27 ธค 49 | อ.ธารโต ยะลา | เสนอข้อเรียกร้องให้รักษาความสงบ | 200 | พุทธ | ชายและหญิง | เจ้าหน้าที่รับฟังและเจรจาสำเร็จ | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
11 | 5 มค 50 | อ.กะพ้อ ปัตตานี | เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ต้องหา | 50 | มุสลิม | ผู้หญิง | เจ้าหน้าที่เจรจาให้ประกันตัวโดยร่วมกับ ประธานณะกรรมการอิสลามและกำนัน | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
12 | 9 มค 50 | อ.กะพ้อ ปัตตานี | เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ต้องหา | 200 | มุสลิม | ผู้หญิง | เจ้าหน้าที่เจรจาสำเร็จ ให้ประกันตัว | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
13 | 26 มค 50 | อ.เมือง ยะลา | เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ต้องหา 8 คน | 50 | มุสลิม | ผู้หญิงและเด็ก | เจ้าหน้าที่เจรจาและปล่อยผู้ต้องหาไป 1 คน | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
14 | 29 มค 50 | อ.หนองจิก ปัตตานี | เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ต้องหา | 80 | มุสลิม | ผู้หญิงและเด็ก | เจ้าหน้าที่เจรจาสำเร็จ ให้ประกันตัว | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
15 | 15 กพ 50 | อ.รามัน ยะลา | ประท้วงเจ้าหน้าที่ยิงผู้ต้องสงสัยบาดเจ็บ | 100 | มุสลิม | ผู้หญิงและเด็ก | เจ้าหน้าที่เจรจาชี้แจงสำเร็จ | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
16 | 16 กพ 50 | อ.รามัน ยะลา | ขับไล่ทหารพัฒนาและพิทักษ์ทรัพยากร | 100 | มุสลิม | ผู้หญิงและเด็ก | เจ้าหน้าที่เจรจาอีกครั้ง ยังไม่มีข้อสรุปเจรจา | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
17 | 27 กพ 50 | อ.เมือง ยะลา | เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ต้องหา | 100 | มุสลิม | ผู้หญิง | เจ้าหน้าที่เจรจาสำเร็จ | ยุติการชุมนุมโดยสงบ ปล่อยตัว |
18 | 2 มีค 50 | อ.เมือง ยะลา | เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ต้องหา | 100 | มุสลิม | ผู้หญิงและเด็ก | เจ้าหน้าที่ใช้ทหารพรานหญิงสลายการชุมนุม | เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุม ปะทะกันเล็กน้อย |
19 | 8 มีค 50 | อ.บาเจาะ นราธิวาส | เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ต้องหา | 50 | มุสลิม | ผู้หญิงและเด็ก | เจ้าหน้าที่ร่วมกับผู้ใหญ่บ้านทำการเจรจาให้ญาติเข้าเยี่ยมและถ้าไม่ผิดจะปล่อยตัว | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
20 | 8 มีค 50 | อ.บันนังสตา ยะลา | เรียกร้องให้ถอนฐานของทหารในหมู่บ้าน | 100 | มุสลิม | ผู้หญิงและเด็ก | เจ้าหน้าที่เจรจา ยังไม่มีข้อสรุป | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
21 | 11 มีค 50 | อ.โคกโพธิ์ ปัตตานี | เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ต้องหา | 200 | มุสลิม | ผู้หญิงและเด็ก | เจ้าหน้าที่เจรจา | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
22 | 11 มีค 50 | อ.โคกโพธิ์ ปัตตานี | เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามกฏหมาย | 100 | พุทธ | ชายและหญิง | เจ้าหน้าที่เจรจาสำเร็จ | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
23 | 11 มีค 50 | อ.หนองจิก ปัตตานี | เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ต้องหา | 200 | มุสลิม | ผู้หญิงและเด็ก | เจ้าหน้าที่กดดันด้วยทหารพรานหญิงขอจดรายชื่อผู้ประท้วง | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
24 | 19 มีค 50 | อ.สะบ้าย้อย สงขลา | ประท้วงสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ยิงนักเรียนปอเนาะ | ~200 | มุสลิม | ชายและหญิง | เจ้าหน้าที่เจรจาร่วมกับประธานกก. อิสลาม | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
25 | 20 มีค 50 | อ.สะบ้าย้อย สงขลา | ประท้วงสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ยิงนักเรียนปอเนาะ | 200 | มุสลิม | ผู้หญิงและเด็ก | เจ้าหน้าที่เจรจาร่วมกับกำนัน นายก อบต. และกรรมการอิสลามจังหวัด | ยุติการชุมนุมโดยสงบ ให้เจ้าหน้าที่วิทยาการตำรวจเข้าตรวจพิสูจน์หลักฐาน |
26 | 20 มีค 50 | อ.สะบ้าย้อย สงขลา | เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลืออย่างเท่าเทียมกัน | 500 | พุทธ | ชายและหญิง | เจ้าหน้าที่รับข้อเรียกร้อง | ยุติการชุมนุมโดยสงบ |
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)