อานุภาพ นุ่นสง นับเป็นข่าวคราวที่เงียบๆหายๆไปเป็นระยะสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำสาละวิน ซึ่งเมื่อวันที่
สำนักข่าวประชาธรรม
ต่อมาวันที่ 9 ธ.ค.2548 บันทึกข้อตกลง (Memorandum of Agreement : เอ็มโอเอ) ในการดำเนินการโครงการดังกล่าวระหว่างรัฐบาล 2 ประเทศก็เกิดขึ้น โดยจะเริ่มจากการสร้างเขื่อนฮัจจีเป็นเขื่อนแรก มีพื้นที่ดำเนินการในรัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ส่วนอีก 4 โครงการที่เหลือจะค่อยๆ ทยอยสร้างขึ้นตามมาทีหลัง
ขณะที่โครงการเขื่อนสาละวินชายแดนตอนบนและตอนล่าง ที่จะสร้างบนแม่น้ำสาละวินตามแนวพรมแดนไทย-พม่านั้นมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสาละวินชายแดน" แม้จะมีแผนการสร้างตามมาทีหลังเขื่อนฮัจจีแต่ปัจจุบันถูกจับตามองรวมทั้งมีเสียงคัดค้านทั้งจากนักวิชาการ องค์กรสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้น แต่กระนั้นฝ่ายไทยโดย กฟผ.ยังคงผลักดันอย่างต่อเนื่อง
แรกเริ่มเดิมทีแนวคิดที่จะสร้างเขื่อนในลุ่มน้ำสาละวินที่ กฟผ.ผลักดันนั้นเป็นไปเพียงเพื่อต้องการกักเก็บน้ำไว้ใช้ และเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับเขื่อนภูมิพล แต่เมื่อโครงการเกิดกระแสคัดค้านประกอบกับนโยบายของรัฐบาลยุคนั้นที่ต้องการให้เอกชนเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น จึงทำให้ดูเหมือนว่าโครงการจะเงียบหายไป
จนกระทั่งปลายปี 2545 โครงการดังกล่าวถูก กฟผ.พูดถึงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เน้นหนักไปที่การสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าราคาถูกเพียงแค่ 90 สตางค์ต่อหน่วยแทน ขณะที่ราคารับซื้อมาจากประเทศเพื่อนบ้านจะอยู่ที่ 1.8 บาทต่อหน่วย จากราคาที่ถูกกว่าถึงครึ่งต่อครึ่งนี้ทำให้ นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (ขณะนั้น) กล่าวอย่างหนักแน่นว่าหากศึกษาแล้วพบว่าเป็นเช่นนั้นจริงจะต้องผลักดันให้เกิดขึ้นให้ได้
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสาละวินชายแดนดังกล่าวมีแผนดำเนินการสร้าง 2 เขื่อน คือเขื่อนสาละวินบนและเขื่อนสาละวินล่าง ทั้ง 2 เขื่อนมีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 2.7 แสนล้านบาทมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมกันประมาณ 5,332 เมกะวัตต์
จุดที่ตั้งของเขื่อนทั้ง 2 จะกั้นแม่น้ำสาละวิน ชายแดนไทย-พม่า บริเวณ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ตรงข้ามกับรัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า โดยเขื่อนบนจะอยู่ที่เว่ยจี เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวิน มีหน้าที่หลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยเฉพาะ จำนวน 4,540 เมกะวัตต์ ขณะที่เขื่อนล่างตั้งอยู่ใกล้บ้านท่าตาฝั่ง เขตอุทยานแห่งชาติสาละวิน สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้บ้างแต่ไม่มากเท่าเขื่อนบนคือประมาณ 792 เมกะวัตต์ ขณะที่กระแสไฟฟ้าที่ได้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งจะส่งเข้าไปยังพม่า และอีกส่วนหนึ่งจะส่งเข้ามายังไทย โดยจะผันลอดอุโมงค์เข้ามากักเก็บที่เขื่อนภูมิพล จ.ตาก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโครงการเขื่อนสาละวินนี้จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ปริมาณมหาศาล ซ้ำมีราคาถูกแสนถูก(ตามการกล่าวอ้างของ กฟผ.) แต่ต้องไม่ลืมว่าเหตุผลในการคัดค้านของกลุ่มนักวิชาการ องค์กรสิ่งแวดล้อม นักสิทธิมนุษยชนที่หยิบยกปัญหาผลกระทบทั้งด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเนื่องจากเป็นเขื่อนขนาดมหึมา ทำให้พื้นที่รับน้ำกินอาณาบริเวณกว้างขวางตามไปด้วยนั้นย่อมส่งผลต่อผืนป่าบริเวณดังกล่าวให้จมอยู่ใต้ผืนน้ำอย่างเลี่ยงไม่ได้ และต้องไม่ลืมว่าแม่น้ำสาละวินเป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากแม่น้ำโขง และยังคงไหลอย่างอิสระโดยปราศจากเขื่อนหรือสิ่งก่อสร้างใดๆมากั้นขวาง หากมีการสร้างเขื่อนใครจะเป็นผู้รับผิดชอบกับปัญหาหรือผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
ขณะที่ผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนนั้นพบว่าบริเวณที่จะมีการสร้างเขื่อนสาละวินนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนไม่ต่ำกว่า ส่วนกรณีไฟฟ้าราคาถูกเพียงแค่ คำถาม ข้อทักท้วงเหล่านี้ยังไม่มีคำตอบหรือคำอธิบายที่ชัดเจนใดๆจาก กฟผ ร้ายไปกว่านั้น โครงการต่างๆกลับยังคงเดินหน้าต่อไป เพราะเขื่อนฮัจจีที่จะสร้างเป็นเขื่อนแรก มีการระบุในเอ็มโอเอว่าจะมีแผนการก่อสร้างในช่วงปลายปี สำหรับจุดที่จะมีการสร้างเขื่อนฮัจจีนั้นอยู่บนแม่น้ำสาละวินในเขตรัฐกะเหรี่ยงของพม่า ห่างจากจุดบรรจบแม่น้ำเมยและแม่น้ำสาละวินที่บ้านสบเมย อ ดังนั้น ปัญหาโดยเฉพาะกรณีน้ำท่วมนอกจากจะเกิดในรัฐกะเหรี่ยงแล้วย่อมส่งผลกระทบต่อพื้นที่ อ กรณีที่เกิดขึ้นสร้างความเคลื่อนไหวแก่องค์กรสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย และนานาชาติเป็นอย่างมาก ล่าสุดวันที่ กป พร้อมกันนี้ กป กระบวนการดำเนินการขาดความโปร่งใส ที่ผ่านมาเป็นไปอย่างเร่งรีบและรวบรัด ทั้งการทำเอ็มโอยู เอ็มโอเอ รวมทั้งการร่วมกับบริษัท นอกจากนี้ ธรรมาภิบาลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โครงการนี้เกิดขึ้นจากความเหลื่อมล้ำและช่องว่างของการบังคับใช้กฎหมายไทยคือ สถานะของ กฟผ แต่ท่ามกลางความคลุมเครือนี้ กฟผ อีกทั้งรัฐบาลพม่า เป็นรัฐบาลที่ได้ชื่อว่าสร้างปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วยการกวาดล้างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆในประเทศ ส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศนับล้านคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย และกว่า นอกจากนี้ หากเขื่อนเหล่านี้เกิดขึ้นจะสร้างความสูญเสียต่อระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง จะสูญเสียระบบนิเวศน์ของแม่น้ำทั้งระบบ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ด้านธรณีวิทยาอย่างมหาศาลด้วย
อย่างไรก็ตาม จากการผลักดันที่เป็นไปอย่างเข้มข้น ท่ามกลางกระแสการคัดค้านที่กว้างขวาง กล่าวได้ว่า ณ เวลานี้ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาล พล