Skip to main content
sharethis


นายแพทย์ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโสเสนอบทความ นายกรัฐมนตรีกับการสร้างความเป็นเอกภาพในยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ โดยระบุว่าความรุนแรงใน

3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทวีมากขึ้น ซึ่งถ้าแก้ไม่ได้หรือแก้ผิด การนองเลือดจะมากขึ้น และลามมาถึงในกรุงเทพฯ

ทั้งนี้ ได้ระบุสาเหตุไว้ด้วยว่าที่ยังแก้ปัญหาไม่ได้เพราะขาดความเป็นเอกภาพในยุทธศาสตร์ แต่ละฝ่ายก็พูดและทำไปตามความรู้สึกนึกคิดของตนซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด รวมทั้งจะไปฝากความหวังไว้กับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)ไม่ได้ เพราะปัญหาใหญ่และซับซ้อนเกินศอ.บต.แล้ว นายกรัฐมนตรีและประธานคมช.จะต้องเป็นผู้นำในการสร้างความเป็นเอกภาพในยุทธศาสตร์ในทุกภาคส่วน คือคณะองคมนตรี รัฐบาล สภานิติบัญญัติ กองทัพ ข้าราชการ ผู้นำชุมชนท้องถิ่น นักวิชาการ สื่อมวลชน ผู้นำทางศาสนา และประชาสังคม มาสร้างยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ


ราษฎรอาวุโสได้ขอเสนอมาตรการ 7 ประการให้พิจารณา ดังต่อไปนี้ 1. ใช้คอมมานโดประกบผู้ก่อความรุนแรงให้ได้ เพราะการใช้ทหาร ตำรวจตามปรกติไม่เพียงพอ และตกเป็นเหยื่อผู้ก่อการร้ายอยู่บ่อยๆ ต้องฝึกทหารและตำรวจผู้มีความสามารถพิเศษอย่างยิ่งยวด ประกบ จับกุม ป้องกัน ผู้ก่อความรุนแรงให้ได้ผลอย่างจริงจัง ถ้ายุติการฆ่ารายวันไม่ได้ทุกอย่างจะเลวร้ายมากขึ้น


2.

รับเด็กหนุ่มใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาอยู่ในกองพันสันติเสนาให้หมด ผู้ที่ถูกชักนำให้ก่อความรุนแรงเป็นคนหนุ่มอายุ 18-25 ปี บ่อยครั้งพ่อแม่ไม่รู้หรือทำอะไรไม่ได้ แม่บางคนรู้สึกดีใจที่ลูกถูกเกณฑ์เป็นทหารเพราะรู้ว่าลูกจะปลอดภัยและมีเงินเดือนกิน ควรเปิดรับเด็กหนุ่มอายุ 18-25 ปี ทั้งหมดใน 3 จังหวัดภาคใต้เข้ามาอยู่ในกองพันพิเศษที่จัดตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะ อาจเรียกว่ากองพันสันติเสนา โดยได้รับเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยง

รับอนุศาสนาจารย์อิสลามจำนวนมากเข้ามาอยู่ในกองพัน เพื่อสั่งสอนอบรมคนหนุ่มเหล่านี้ เพื่อให้พ่อแม่พี่น้องและผู้ใหญ่ในชุมชนสบายใจว่าเด็กเหล่านี้จะไม่ถูกล้างสมองให้เลิกมีชีวิตทางศาสนา และควรมีการฝึกอบรมในเรื่องการพัฒนาชุมชนอย่างสอดคล้องตามวัฒนธรรมด้วย มาตรการนี้จะลดพลังก่อความรุนแรงลงเกือบหมด และเพิ่มพลังทางสันติ


3.

ส่งเสริมธุรกิจเพื่อสันติภาพ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีนักธุรกิจทั้งที่เป็นคนมุสลิมและคนจีน รัฐควรร่วมมือกับภาคธุรกิจทั่วทั้งพื้นที่ให้มีการจ้างงานอย่างทั่วถึง คนใน 3จังหวัดมีความยากจนไม่มีรายได้เป็นจำนวนมาก และมีความบีบคั้นอย่างยิ่ง ถ้าทำให้คนมีงานทำมีรายได้ให้เต็มพื้นที่จะลดความกดดันในทางที่จะไปก่อความรุนแรงลง และเพิ่มพลังทางสันติภาพ

4.

ส่งเสริมให้มีสภาผู้นำชุมชน ในชุมชนขนาดหมู่บ้านมีคนประมาณ 500-1000 คน ประชาชนจะมีส่วนร่วมโดยตรง เป็นประชาธิปไตยโดยตรงไม่ต้องใช้ตัวแทน ในชุมชนจะมีผู้นำตามธรรมชาติที่เป็นคนฉลาด คนดีที่ผู้คนเคารพนับถือ ผู้นำตามธรรมชาติเหล่านี้ โดยทั่วไปมีคุณสมบัติมากกว่าผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง

ควรมีสภาผู้นำชุมชนในระดับตำบลซึ่งมาจากการรวมตัวของผู้นำชุมชนจากทุกหมู่บ้าน และมีสภาผู้นำชุมชนระดับจังหวัดซึ่งมีผู้นำชุมชนที่มาจากทุกตำบล ผู้นำชุมชนเหล่านี้จะรู้เรื่องของชุมชนดีที่สุด รัฐควรส่งเสริมผู้นำชุมชนให้มีบทบาทในการพัฒนาต่างๆ ที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมชุมชน และภาครัฐควรรับข้อเสนอแนะหรือคำแนะนำของสภาผู้นำชุมชนมาปฏิบัติให้มากที่สุด ประชาธิปไตยชุมชนนี้จะเป็นประชาธิปไตยฐานราก และส่งเสริมให้มีสันติภาพมากที่สุด


5.

ส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นขนาดใหญ่ ขณะนี้มีองค์กรปกครองท้องถิ่นรวมกันประมาณ 8,000 องค์กรในรูปของ องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) เทศบาล และ องค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) องค์กรเหล่านี้เล็กเกินทำให้พลังสร้างสรรค์ทางเศรษฐกิจ สังคมและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมไม่พอเพียง ควรส่งเสริมให้จังหวัดใกล้เคียงที่มีวัฒนธรรมเดียวกันรวมตัวกันเป็นเขตการปกครองท้องถิ่นขนาดใหญ่ (กรุงเทพมหานครเป็นการปกครองท้องถิ่นที่มีประชากรตั้ง 10 ล้านคน) อาจใช้ชื่อโบราณเรียกว่า มณฑล อาจมีทั้งหมด 14-15 มณฑล เช่น มณฑลล้านนา มณฑลอีสานเหนือ อีสานใต้ อีสานกลาง มณฑลทวารวดี มณฑลปัตตานี...

มณฑลเหล่านี้สามารถจัดการเศรษฐกิจ การศึกษา สังคม การสื่อสาร ความปลอดภัยอันสอดคล้องกับวัฒนธรรมของตัวเอง ภายใต้ความเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกัน การมีเขตปกครองท้องถิ่นขนาดใหญ่จะเป็นปัจจัยยุติการนองเลือดอย่างเด็ดขาดและถาวร ไม่มีใครจะอยากแยกดินแดนอีกต่อไป


6.

ส่งเสริมความเข้าใจอันดีกับโลกมุสลิมให้หมด รัฐไทยควรส่งเสริมความเข้าใจอันดีกับโลกมุสลิมทั้งหมด ให้เห็นความตั้งใจอันดี การส่งเสริมความยุติธรรมและสันติภาพ การมีความเข้าใจอันดีกับโลกมุสลิมจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน และลดพลังของการก่อความรุนแรง

7.

การเจรจาเรื่องการวางอาวุธและร่วมพัฒนา มาตรการทั้ง 6 ประการข้างต้นคือการสร้างเงื่อนไขการวางอาวุธ ที่ทำให้พี่น้องของเราที่จับอาวุธคิดว่าการวางอาวุธ และมีโอกาสร่วมพัฒนานั้นดีกว่าการที่จะฆ่าฟันกันต่อไป

ต้องมาร่วมกันสร้างสันติภาพด้วยการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของกันและกัน หากคนไทยต่างเชื้อชาติและศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันฉันท์พี่น้องบนดินแดนแห่งนี้

จะเป็นพลังแห่งสันติภาพเพื่อช่วยโลกที่เต็มไปด้วยความรุนแรงได้ด้วย

มาตรการทั้ง

7 ประการต้องเชื่อมโยงกันเป็นเอกภาพในยุทธศาสตร์ ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งจะนำในการสร้างความเป็นเอกภาพในยุทธศาสตร์นี้ได้ นอกจากนายกรัฐมนตรี ในยุทธศาสตร์นี้อะไรที่ต้องทำก็ต้องทำให้ได้โดยรวดเร็ว ไม่ใช่ปล่อยให้ติดนั่นติดนี่ไปตามยถากรรม เช่น ติดกฎหมาย กฎ ระเบียบ ขาดงบประมาณ ฯลฯ การปล่อยให้เรื่องราวเป็นไปตามยถากรรมบ้านเมืองฉิบหายลูกเดียว ถ้านายกรัฐมนตรีไม่แสดงความเป็นผู้นำในการแก้ปัญหา บ้านเมืองจะนองเลือดมากยิ่งขึ้น

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net