นายเสน่ห์ จามริก ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวถึงสถานการณ์ภาคใต้ขณะนี้ว่า สถานการณ์ทางภาคใต้เลวร้ายลงไปทุกขณะ ทั้งประชาชน ทหาร ตำรวจ ต้องมาเสียชีวิตไปจำนวนมากต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ดังนั้นข้อเสนอของคณะกรรมการสิทธิฯ ต่อเหตุการณ์เพื่อที่จะให้สถานการณ์คลี่คลายและบรรเทาลงไปคือรัฐบาลจะต้องนำนโยบายในเรื่องการใช้ความสันติเป็นหลักของการแก้ไขปัญหา แทนการใช้ความรุนแรง เพราะการใช้หลักสันติจะสามารถทำให้ดึงประชาชนเข้ามาเป็นแนวร่วมกับรัฐบาลได้
"ถึงแม้ว่านายกรัฐมนตรีจะประกาศของโทษเมื่อครั้งที่เข้ามาเป็นรัฐบาล ซึ่งผมมองเห็นว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แม้ว่าจะมีความเสี่ยงในเรื่องของการแก้ไขปัญหาก็ตาม เพราะเป็นดาบ 2 คม ที่อาจจะสามารถแก้ไขเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดก็ได้ แต่ในเมื่อรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ยอมที่จะเสี่ยงแล้ว แต่ผมกลับเสียดายว่า เมื่อยอมเสี่ยงแล้วทำไมกลับไม่ยอมสานต่อให้ต่อเนื่องต่อไป เพราะที่ผ่านมาหลังจากที่นายกรัฐมนตรีประกาศขอโทษไปแล้ว สิ่งที่ตามมากลับไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหา และการที่คณะกรรมการสิทธิฯออกมาแสดงความคิดเห็นไม่ใช่ว่าจะมาแทรกแซง หรือก้าวก่ายการทำหน้าที่ของรัฐบาล แต่เราเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่กรรมการสิทธิควรจะต้องออกมากระตุ้นเตือนให้รัฐบาลได้ฉุกคิดถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้กันบ้าง " นายเสน่ห์ กล่าว
ทั้งนี้ การที่คณะกรรมการสิทธิฯ ออกมาเสนอแนวความคิดนี้ต่อรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีเพราะมีความศรัทธาและมีความเชื่อมั่นว่าน่าจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ แต่ถ้าหากเป็นรัฐบาลชุดที่ผ่านมาจะไม่ออกมาเคลื่อนไหว หรือเสนอแนะความคิดเห็นใดๆ เพราะเสนอความคิดเห็นไปแล้วหลายครั้งแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง
นายเสน่ห์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังมีประชาชนจำนวนมากในพื้นที่รอคอยโอกาสที่รัฐบาลจะเข้ามาหยิบยื่นความยุติธรรมให้ แต่หลายรัฐบาลผ่านมาจนถึงรัฐบาลชุดนี้ก็ยังไม่สามารถที่จะทำความยุติธรรมในเกิดขึ้นในพื้นที่ได้ ทำให้ประชาชนเกิดความเพิกเฉยต่อรัฐบาลและไม่ร่วมมือในการแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตามคณะกรรมสิทธิมีความเข้าใจว่าการแก้ไขปัญหาความรุ่นแรงในภาคใต้จำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลา แต่รัฐบาลก็ควรที่จะต้องเริ่มให้เป็นรูปธรรมเกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะหากปล่อยให้เหตุการณ์ดังกล่าวยืดเยื้อต่อไปจะทำให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่งเลวร้ายลงไปอีก อีกทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิฯในเรื่องของการใช้สันติวิธีมาเป็นตัวนำในการแก้ไขปัญหานั้น ก็รู้ว่าจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมครวไม่ใช่ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วทันใจ
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความคิดเห็นอย่างไรหากคมช.และรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว ในพื้นที่มีความรุนแรงเกิดขึ้น นายเสน่ห์ กล่าวว่า การประกาศเคอร์ฟิวนั้นเหมาะสมหรือไม่ ไม่สามารถจะไปพูดได้ แต่การที่มีคนไปพูดว่าเมื่อเกิดเหตุการเช่นนี้เกิดขึ้นก็จะใช้การแก้ไขปัญหาแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันนั้น การใช้ถ้อยคำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องและเป็นการพูดที่มองปัญหาที่แคบมาก อยากให้รัฐบาลมองให้รอบคอบกว่านี้ ถ้าทำเช่นนั้นจริงเชื่อว่าจะให้ทำให้เหตุการณ์ยืดเยื้อและบานปลายมากยิ่งขึ้น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า การที่รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ขอโทษแทนรัฐบาลก่อนไปแล้ว แต่เรื่องความยุติธรรมไม่ได้ต่างกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลก่อน รัฐบาลนี้ต้องขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลตนเองด้วยหรือไม่เพื่อยืนยันท่าทีในเรื่องความยุติธรรมให้สถานการณ์คลี่คลายขึ้น นายเสน่ห์ย้ำคำตอบเดิมว่าการขอโทษเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้นแต่การไม่มีอะไรเกิดขึ้นคือเรื่องที่ห่วง
นายสุรสีห์ โกศลนาวิน กรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวว่าในเรื่องกระบวนการยุติธรรมต้องยอมรับ มีคำร้องเรียนเรื่องมีการทรมานผู้ต้องหา การไม่เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมทำให้เกิดปัญหาซ้อน จึงต้องเน้นเรื่องความยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ
เมื่อมีการถามเพิ่มเติมในประเด็นเกี่ยวกับการตั้งศูนย์อำนายการบริการชายแดนภาคใต้(ศอ.บต) ที่รัฐบาลมีคำสั่งให้ตั้งขึ้นใหม่โดยคาดว่าน่าจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้ ทำไมยังมีความรุนแรงต่อเนื่อง คุณหญิงอัมพร มีศุข กรรมการสิทธิมนุษยชนตอบในประเด็นดังกล่าวว่า เรื่อง ศอ.บต.เป็นระบบบริหารที่ตั้งขึ้นมานานแต่ถึงใช้เวลา 4 เดือนในการตั้งออฟฟิซ น่าอายที่มีกระบวนการราชการที่ติดระเบียบต่างๆ น่าจะมีระเบียบที่ทำได้คล่องตัวกว่านี้