"จาตุรนต์" ซัดแรง 4 เดือน คมช. ระวังนวัตกรรมเผด็จการ ฮั้ว ปชป.สืบทอดอำนาจ

"อ๋อย" เดินหน้าเร่งทำนโยบายไทยรักไทย ตามรอยการริเริ่มของทักษิณ สรุป4เดือน คมช. รัฐบาลเหลวทั้งเศรษฐกิจต่างประเทศ ความมั่งคง ตกในกับดักความกลัวที่ตัวเองสร้าง หลงลมประชาธิปัตย์ สอนมวยไม่รู้จักใช้คำพูดทักษิณให้เป็นประโยชน์ ห่วงคู่ชิงประธานยกร่าง รธน. ล้วนแต่ผู้มีอคติ เตือนระวังนวัตกรรมสืบทอดอำนาจผ่านทางประชาธิปัตย์

"อ๋อย" เดินหน้าเร่งทำนโยบายไทยรักไทย ตามรอยการริเริ่มของทักษิณ สรุป4เดือน คมช. รัฐบาลเหลวทั้งเศรษฐกิจต่างประเทศ ความมั่งคง  ตกในกับดักความกลัวที่ตัวเองสร้าง หลงลมประชาธิปัตย์  สอนมวยไม่รู้จักใช้คำพูดทักษิณให้เป็นประโยชน์ ห่วงคู่ชิงประธานยกร่าง รธน. ล้วนแต่ผู้มีอคติ เตือนระวังนวัตกรรมสืบทอดอำนาจผ่านทางประชาธิปัตย์

 

 

 

22 ม.ค. 50 เวลา 11.00 น. นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แถลงข่าวเกี่ยวกับการดำเนินงานของพรรคไทยรักไทยการปรับกระบวนของพรรคไทยรักไทยว่า เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชนวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศว่าต่อจากนี้ จะขอใช้ชีวิตอย่างประชาชนธรรมดา และจะอุทิศตนให้กับสังคมไทยนอกเวทีการเมือง ซึ่งเป็นการประกาศอย่างชัดเจน เป็นทางการ และเป็นที่รับรู้ไปทั่วโลก ทั้งยังมีการเผยแพร่โดยสื่อมวลชนในประเทศไทยแล้วด้วยนั้น พรรคไทยรักไทยก็จะต้องทำการปรึกษาหารือกันในบรรดาแกนนำและผู้ที่ยังร่วมงานรวมทั้งสนับสนุนพรรคไทยรักไทยอยู่ เพื่อที่จะดำเนินการทางการเมืองต่อไป พิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่า พรรคไทยรักไทยเป็นสถาบันทางการเมืองที่ไม่ขึ้นกับตัวบุคคล

 

 

เดินตามรอยที่ทักษิณริเริ่ม

นายจาตุรนต์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ตั้งคณะทำงานบริหารจัดการพรรคขึ้นมาแล้ว ต่อจากนี้ก็จะวางคนที่จะดูแลงานการเมืองในภาคต่างๆ และจะเร่งทำเรื่องนโยบาย เดิมตั้งใจว่าจะรอคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ แต่ในช่วง 2-3 สัปดาห์มานี้ก็ได้สรุปกันว่าจะไม่รอ และจะให้มีการดำเนินการโดยเร็ว โดยในช่วงแรกก็จะเป็นการสรุปนโยบายสำคัญๆ ที่จะยืนยันทำต่อไป และบางส่วนก็จะเป็นการปรับปรุง คาดว่า ประมาณกลางเดือนหน้า จะสามารถทราบถึงนโยบายที่จะยืนยันทำต่อไปและบางส่วนที่จะมีการปรับปรุง ส่วนนโยบายที่จะทำใหม่เพิ่มเติมนั้น คงต้องใช้เวลาต่อไปอีกระยะหนึ่ง

 

รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยกล่าวด้วยว่า อยากจะยืนยันต่อพี่น้องประชาชนทั่วประเทศว่า แม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค และอยู่นอกกิจกรรมทางการเมือง หรือวงการการเมือง พรรคไทยรักไทย แกนนำของพรรคไทยรักไทย ก็เห็นว่าสิ่งที่ท่านทักษิณได้ร่วมคิดไว้ก็ดี ได้เป็นผู้ริเริ่มขึ้นก็ดี เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในการผลักดันนโยบายของพรรคไทยรักไทย จนกระทั่งนำไปสู่การปฏิบัติและมีผลดีต่อประเทศชาติบ้านเมืองนั้นมีเป็นจำนวนมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ควรที่จะได้รับการนำมาใช้ในการแก้ปัญหาบ้านเมืองต่อไป รวมทั้งในบางเรื่อง ถ้าหากจะมีข้อบกพร่อง มีปัญหาบ้าง เราก็สามารถจะใช้กระบวนการรับฟังความเห็นประชาชนในการปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านั้นได้ และสามารถทำให้แนวความคิดที่ดีๆ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ นโยบายต่างๆ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ได้สร้างไว้นั้นจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมือง นี่คือสิ่งที่แกนนำพรรคไทยรักไทยจะร่วมกันทำต่อไป ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้มาอยู่ในวงการการเมือง ไม่ได้มาช่วยเราใกล้ชิดอย่างในอดีตที่ผ่านมา

 

 

รัฐบาลบริหารเศรษฐกิจเหลว

ในเรื่องการประเมินรัฐบาล และ คมช.ในรอบ 4 เดือน นายจาตุรนต์กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำงานในด้านสมานฉันท์ได้บ้าง ได้ดีพอสมควร เพียงแต่ว่าในการส่งเสริมให้การมีส่วนร่วมจากประชาชน ซึ่งรัฐบาลพยายามทำอยู่ไม่ได้ผลมากนัก เนื่องจากไปติดขัดอยู่ที่ความไม่เข้าใจของ คมช. และการไม่สนับสนุนของ คมช. และปัญหาที่สำคัญที่คิดว่าเป็นจุดอ่อน รวมทั้งต้องเรียกว่าเป็นความผิดพลาดที่สำคัญของรัฐบาล ก็คือการดำเนินงานทางด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศ ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้สัมพันธ์กัน รัฐบาลยังไม่ได้ให้ความสำคัญในการบริหารการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน รวมทั้งนโยบายสำคัญๆ ทางเศรษฐกิจที่ออกมาในช่วงระยะประมาณ 1 เดือนมานี้ ก็เป็นนโยบายที่ผิดพลาด คือเป็นการประกาศไม่ต้อนรับการลงทุนจากต่างประเทศ รวมทั้งยังได้ดำเนินงานที่ไม่เป็นผลดีต่อความร่วมมือกับมิตรประเทศ ซึ่งโดยรวมแล้วก็จะส่งผลให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้า การลงทุนจากต่างประเทศ และในที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยส่วนรวมในเวลาอันใกล้นี้

 

ระบุ คมช.ตกกับดักความกลัว หลงลมประชาธิปัตย์

"ในส่วนของ คมช. นั้น มีเรื่องหนึ่งใน 4 ข้อที่ คปค.ได้ประกาศไว้ว่าจะมาแก้ไข คือเรื่องความแตกแยกในสังคม จะเห็นว่าใน 4 เดือนที่ผ่านมา ในเรื่องความแตกแยกในสังคม ไม่เพียงแต่แก้ไม่ได้ แต่กลับทำให้แย่ลง รวมทั้งเรื่องที่เป็นหน้าที่โดยตรงของ คมช.คือเรื่องความมั่นคง ก็ทำให้ความเชื่อมั่นต่อความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยของประเทศลดน้อยลงไปด้วย

 

"เรื่องความแตกแยกนี้ที่สำคัญส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้นำ คมช.หลายคนไม่เข้าใจเรื่องเสรีภาพ และไม่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตย เมื่อเห็นประชาชนใช้เสรีภาพแสดงความคิดเห็น ก็เห็นเป็นปัญหา และนำไปสู่การปิดกั้นเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน ซึ่งก็จะทำให้ผู้คนยิ่งไม่เห็นด้วยกับ คมช. และเกิดเป็นการแตก แยกทางความคิดมากยิ่งขึ้น"

 

ปัญหาสำคัญในเรื่องความแตกแยกนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องการสร้างความหวาดระแวงในสังคม จากการที่ใช้บรรทัดฐานว่า ใครเป็นพวกของอำนาจเก่าหรือไม่ เพราะเมื่อใช้บรรทัดฐานนี้ไปกับผู้คนในสังคม รวมทั้งข้าราชการด้วย ก็ทำให้เกิดเป็นความหวาดระแวงต่อกัน ไม่เป็นการสร้างความสมานฉันท์ ไม่สามารถแก้ปัญหาความแตกแยกได้

 

ที่สำคัญยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ การที่ผู้นำ คมช.ร่วมมือกับกลุ่มที่เคยเป็นพันธมิตรกัน หรือปัจจุบันยังเป็นพันธมิตรกันอยู่ สร้างภาพความน่ากลัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ สร้างไปสร้างมาจนกระทั่งกลายเป็นตัวเองก็กลัวไปด้วย แล้วก็สาละวนอยู่กับเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ และสิ่งที่เรียกกันไปว่ากลุ่มอำนาจเก่า จนกระทั่งลืมหน้าที่ของตัวเองในการที่จะต้องส่งเสริมการสร้างประชาธิปไตย ซึ่งจะต้องอาศัยการสร้างความสมานฉันท์และการมีส่วนร่วมของประชาชน

 

"ที่เป็นอย่างนี้อาจจะมีเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง คือไปหลงกลเชื่อตามคำพูดของพรรคประชาธิปัตย์ จนกระทั่งกลายเป็นว่า ถ้าใครถามว่า คมช. รัฐประหารมาเพื่ออะไร ถึงวันนี้ก็ต้องตอบว่า รัฐประหารมาเพื่อที่จะอธิบายว่า ทำไมจึงรัฐประหาร คือแทนที่จะไปทำอะไรที่เป็นหน้าที่ที่บอกว่าจะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งจะต้องทำอะไรหลายอย่าง แต่ไม่ได้ทำอะไรมากกว่าที่จะพยายามอธิบายว่า ทำไมจึงรัฐประหาร เป็นแนวความคิดของพรรคประชาธิปัตย์ที่พยายามจะพูดอยู่ทุกวัน เพราะว่าเขาต้องการจะยืมมือ คมช.มาทำลายคู่แข่งขัน คมช.ก็เต้นตามไป ทำตามไป จนทุกวันนี้ใครถามว่า ตกลงคุณทำอะไร ก็ที่ทำมาคือพยายามอธิบายว่า ทำไมจึงต้องรัฐประหาร ยึดอำนาจ คงไม่มีที่ไหนในโลก รัฐประหารมาแล้ว สิ่งที่ทำมีอยู่ ที่สำคัญอยู่เรื่องเดียวคือ การอธิบายว่าทำไมตัวเองจึงรัฐประหาร"

 

 

สอนการเมือง คมช. ไม่รู้จักใช้คำพูดทักษิณให้เป็นประโยชน์

"ที่ว่าสร้างภาพความน่ากลัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ จนตัวเองก็กลัวไปเอง และไม่เป็นอันทำอะไร สาละวนอยู่แต่เรื่องนี้ จนดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดตามมา ประกอบกับความอ่อนแอของฝ่ายข่าวกรองและเสนาธิการฝ่ายความมั่นคงทั้งหลายนั้น เห็นได้ชัดจากกรณีที่ท่านทักษิณ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านีเอ็นเอ็น ฝ่ายข่าวกรองหรือฝ่ายความมั่นคงก็อ่อนมาก ทำตัวเหมือนกระต่ายตื่นตูม ไม่ทันศึกษาว่าท่านพูดอะไร ก็ไปเสนอให้มีการเซ็นเซอร์ ห้ามโทรทัศน์เผยแพร่ภาพ จนกระทั่ง มีแรงกดดันจากต่างประเทศมากๆ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากๆ ก็ต้องยอมให้มีการเผยแพร่ และสื่อมวลชนก็นำมาพิมพ์เผยแพร่ด้วย ถ้าใครอ่านก็จะพบว่า คมช.ผิดพลาดมากที่ไม่รู้จักใช้ประโยชน์จากคำสัมภาษณ์ของท่านทักษิณ แต่ไปมองเป็นเรื่องเป็นพิษเป็นภัยต่อบ้านเมืองในตอนแรกๆ เพราะถ้าดูคำสัมภาษณ์แล้วจะพบเนื้อหาสำคัญมากก็คือ การที่ท่านประกาศวางมือทางการเมืองนั่นเอง เพราะท่านบอกว่า ต่อไปนี้ต้องใช้ชีวิตอย่างประชาชนธรรมดา ปล่อยให้คนอื่นทำงานของเขา ไม่มีความทะเยอทะยานทางการเมืองอีกแล้ว ต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบ กลับไปอยู่บ้านเกิด กลับไปอยู่กับครอบครัว แล้วก็จะอุทิศตนให้กับสังคมไทยนอกเวทีการเมือง อันนี้เป็นการพูดต่อคนทั่วโลก ที่ คมช. ก็ดี พวกที่เรียกตัวเองว่าพันธมิตรประชาธิปไตย หรือพรรคการเมืองบางพรรค เรียกร้องมาตลอดว่าไม่เห็นพูดเองเลย ให้แต่คุณนพดลพูด ตอนนี้พอท่านพูดเองแล้ว พูดต่อคนทั่วโลกแล้ว ก็ดูเหมือนจะบอกว่ายังไม่เชื่ออีก"

 

"สิ่งที่พูดไปนี้ ถ้ามาคิดดูให้ดี รวมทั้งบอกว่าพรรคไทยรักไทยต่อไปนี้ เป็นเรื่องของคนบริหารพรรค สมาชิกพรรคจะว่ากันไป ย่อมเป็นไปไม่ได้แล้วที่ท่านทักษิณจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกในการเลือกตั้งครั้งหน้านี้ การประกาศอย่างนี้ชัดเจนว่า ไม่กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องการทะเยอทะยานทางการเมือง รวมทั้งสิ่งที่พูดบอกว่า ต้องการสร้างความสมานฉันท์ ต้องการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวสำหรับคนไทย จะเห็นว่านี่คือการพูดที่แสดงให้เห็นว่า ท่านไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ต่อ คมช.และรัฐบาลปัจจุบัน

 

"การที่ท่านทักษิณพูดว่าเข้าใจ เคารพ และเล่นตามกติกา เมื่อผ่านการลงนาม ในที่นี้ก็คือ พูดเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาไทยก็คือการลงพระปรมาภิไธย มีการลงพระปรมาภิไธยไปแล้วในเรื่องการตั้งรัฐบาลหรือตั้ง คมช. นั่นก็คือจบกันไปแล้ว เคารพในเรื่องนี้ แสดงว่าท่านทักษิณ ไม่ได้วางตัวเป็นปฏิปักษ์กับ คมช.และรัฐบาล และยังต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างความสมานฉันท์ในสังคมไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเป็นผลดีต่อทั้งประเทศชาติ บ้านเมือง เป็นผลดีต่อ คมช.และรัฐบาลเอง

 

"ส่วนเรื่องการที่วิจารณ์รัฐบาลบ้าง ก็เป็นการวิจารณ์ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครก็วิจารณ์ ที่ท่านทักษิณวิจารณ์ก็ยังเบากว่าที่ผมวิจารณ์ตั้งเยอะ เพราะโดยมากก็เป็นการชี้แจงเรื่องของตัวท่านเอง ซึ่งถ้าใครมีใจเป็นธรรมก็ต้องเห็นว่า ที่ผ่านมา คมช.ก็ปล่อยให้หลายฝ่าย ทั้งผู้นำ คมช. ทั้งคนในสังคม พรรคการเมือง องค์กรต่างๆ บ้าง โขกสับท่านฝ่ายเดียว แล้วก็ยังปิดกั้นสื่อที่เกี่ยวกับข่าวของท่านทุกอย่าง ทำให้ท่านต้องไปพูดกับสื่อต่างประเทศ เพราะสื่อในประเทศถูกห้ามเสนอข่าวท่านหมด พรรคไทยรักไทย ซึ่งความจริงท่านก็พูดชัดเจนแล้วว่า ท่านไม่ได้มาเกี่ยวข้องอะไร ก็ยังถูกห้ามเสนอข่าวไปด้วย เพราะฉะนั้น ไปให้สัมภาษณ์ในต่างประเทศก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ความจริงถ้าดูกันอย่างเป็นธรรมแล้ว ก็ต้องให้ความเห็นใจเหมือนกันว่าปล่อยให้ถูกโขกสับ ใครไปตรวจสอบอะไร ยังไม่ทันพิสูจน์ ยังไม่ทันสรุปอะไรก็ออกมาพูดต่างๆ นานา โดยที่ไม่เปิดโอกาสให้ตัวท่านชี้แจงอะไรเลย"

 

"จากการให้สัมภาษณ์ของพ.ต.ท.ทักษิณ จะเห็นว่า การวางมือ การประกาศไม่เป็นปฏิปักษ์ และจะร่วมสร้างความสมานฉันท์ วิจารณ์นโยบายรัฐบาลบ้าง ชี้แจงเรื่องตัวเอง เหล่านี้ไม่ได้เรียกว่าเป็นพิษเป็นภัย เป็นเรื่องที่ควรส่งเสริม นำมาเผยแพร่บ่อยๆ แต่กลับไม่เข้าใจ แล้วก็พลาดโอกาสในการที่จะสร้างความสมานฉันท์ไป" นายจาตุรนต์ วิเคราะห์

 

 

ทวงนายกฯ อย่านิ่งเงียบหลังตำรวจแกะรอย "คาร์บอมบ์"

นายจาตุรนต์ ยังกล่าวถึงเรื่องการเผาโรงเรียนกับการวางระเบิดว่า ผู้นำ คมช.ทั้งพูดเอง และปล่อยให้คนอื่นพูด เพื่อให้คนเข้าใจว่าเป็นเรื่องกลุ่มอำนาจเก่า หรือคือคนในรัฐบาลที่แล้ว

 

"เมื่อเหตุการณ์มาถึงตอนนี้เป็นอย่างไร ผมขอทวงถามผู้นำ คมช.หน่อย ว่าทำไมไม่ออกมาแก้ข่าวอะไรกันบ้าง ว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว คือที่ผ่านมาพยายามสร้างภาพ พยายามอธิบายให้ไปเห็นว่าเป็นเรื่องของท่านทักษิณ และกลุ่มอำนาจเก่า เวลานี้การเผาโรงเรียน เผาวัด ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ก็พบว่าเป็นความแตกแยกในท้องถิ่นบ้าง แตกแยกในโรงเรียนบ้าง วัดไฟไหม้ไปนั่นก็เป็นเพราะว่ามีการจุดเทียนแล้วเทียนล้ม แต่ก็สร้างภาพให้กลายเป็นกลุ่มอำนาจเก่า

 

"มาถึงเรื่องใหญ่กว่านั้นคือเรื่องระเบิด เมื่อเกิดระเบิดวันที่ 31 ธันวาคม ก็ออกข่าวกันเป็นที่เอิกเกริก สรุปได้ตั้งแต่วันแรกว่าเป็นกลุ่มอำนาจเก่า ให้คนเข้าใจไปทั้งประเทศหมดแล้วว่า เป็นกลุ่มอำนาจเก่าวางระเบิด มาถึงตอนนี้ตำรวจสงสัยใคร แล้วไปค้นใคร ก็ได้ความว่าตำรวจสงสัยกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอำนาจเก่า รวมทั้งอาจจะเป็นผู้วางระเบิดลอบสังหารท่านทักษิณมาแล้วด้วย การที่ตำรวจสงสัยอย่างนี้แล้วไปตรวจค้นนี้ จะเชื่อได้หรือไม่ ความจริงจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครทราบ แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า ตำรวจกำลังสงสัย ไม่เหมือนกับที่ผู้นำ คมช.เคยพูดไว้ ผู้นำรัฐบาลเคยพูดไว้ อย่างน้อยผู้นำ คมช.และผู้นำรัฐบาลก็ควรจะออกมาบอกว่า ที่เคยพูดไว้เดิม อาจจะไม่จริงก็ได้ อย่างน้อยต้องพูดอันนี้ แต่นี่ไม่พูด กลับอยู่เฉยๆ อีก

 

"การที่ไปกำชับว่าตำรวจอย่าจับแพะนั้นก็เป็นเรื่องดี แต่ว่าเราก็ขอเรียกร้องเหมือนกันว่า ขอให้ความมั่นใจต่อสังคมว่า จะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานอย่างตรงไปตรงมา พบว่าใครผิด ก็จะต้องไม่ไปกลบเกลื่อน ไม่ไปบิดเบือนข้อเท็จจริง ใครผิดก็ต้องว่าไปตามผิด เป็นพวกใครก็ต้องว่าตามนั้น ไม่ใช่ว่า ถ้าหากว่าเป็นพวกอำนาจเก่าแล้วก็ให้เปิดเผย ถ้าไม่ใช่พวกอำนาจเก่าก็ต้องกลบเกลื่อน ตรงนี้ต้องให้ชัดเจน

 

"การอธิบายเรื่องเผาโรงเรียน เรื่องระเบิด ได้ทำให้เกิดความหวาดระแวงในสังคมไทยไปมาก ขณะนี้ข้อเท็จจริงที่ตำรวจกำลังสงสัยอยู่ ไปตรวจอยู่ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม อย่างน้อยทำให้เห็นว่าท่านทักษิณ หรือกลุ่มอำนาจเก่า ไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกกล่าวหาอยู่ ไม่ได้ทำในสิ่งที่ผู้นำ คมช. ผู้นำรัฐบาล พยายามทำให้คนคิดไปอย่างนั้น หรืออย่างน้อยก็ต้องพูดได้ว่า "ไม่แน่แล้ว" ถ้าใครเคยเชื่อก็ต้องคิดใหม่ว่า แล้วทำไมตำรวจถึงไปค้นแบบนี้ ทำไมตำรวจถึงบอกว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มที่วางระเบิดลอบสังหารท่านทักษิณเสียเอง นี่ก็ฝากให้ผู้นำ คมช. และท่านนายกรัฐมนตรี ช่วยรีบพิจารณาในการที่จะสร้างความสมานฉันท์เสียใหม่" รักษาการหัวหน้าพรรคระบุ

 

 

ชี้ล้อบบี้ยิสต์กี่บริษัทก็ไม่กระเทือนรัฐบาล

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ว่าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ จ้างบริษัทล๊อบบี้ยิสต์ทางอเมริกา จะทำให้ทาง คมช.หรือคนทั่วไปมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่หรือไม่ นายจาตุรนต์ตอบว่า การวางมือทางการเมือง การไม่ทำงานการเมืองแล้ว อันนี้พูดไปชัดเจน ไม่ต้องการมาเป็นอะไรอีกแล้ว สิ่งที่พูดอยู่ สิ่งที่ชี้แจงอยู่ ก็เป็นการแก้ข้อกล่าวหา ซึ่งผมคิดว่าการแก้ข้อกล่าวหาเป็นเรื่องเข้าใจได้ ถ้าจะให้ว่าท่านฝ่ายเดียว โดยไม่ให้ท่านชี้แจงด้วย เหมือนอย่างตอนนี้พรรคการเมืองบางพรรคออกมาเรียงหน้าทีละคน ทีละคน ด่าทักษิณฝ่ายเดียว แถมบอกว่าทำไมไม่หยุด ตัวเองด่าท่านตั้งแต่หัวหน้า ยันโฆษก เจ้าหน้าที่พรรคทุกคน ด่าท่านทักษิณ เป็นหัวข้อเดียว ไม่มีหัวข้อสร้างสรรค์อะไรอื่นเลย แล้วก็บอกว่าทำไมทักษิณ ไม่หยุด อันนี้มันจะยุติธรรมตรงไหน ส่วนเรื่องการจ้างบริษัทล้อบบี้ ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องเก่า แล้วถ้าจะจ้าง จะจ้างกี่บริษัทก็ย่อมไม่มีทางจะกระทบกระเทือนอะไรต่อรัฐบาลและประเทศไทยไปได้ เพราะว่าท่านก็ประกาศไปแล้วว่า ยอมรับว่าการยึดอำนาจมันผ่านไปแล้ว ยอมรับว่าต่อไปนี้จะอยู่ในฐานะประชาชนธรรมดา เพราะฉะนั้น ตอนนี้ก็อ้างกันเกินเลยไป

 

 

น่าเป็นห่วงประธาน กมธ. ร่าง รธน. ล้วนแต่ผู้มีอคติ

เมื่อถามถึงการเลือกประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมี น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นตัวเต็งอันดับหนึ่ง นายจาตุรนต์ ตอบว่า ขณะนี้ดูจากชื่อ ซึ่งไม่ได้มีคนเดียว ก็ดูจะน่าเป็นห่วง ไม่แน่ใจว่าใครน่าเป็นห่วงกว่าใคร เพราะว่าผู้ที่ต้องการเป็น มีภารกิจสำคัญคือมาทำลายล้างทักษิณและสิ่งที่เขาเรียกว่าระบอบทักษิณ เป็นเรื่องเดียวที่เขาคิดอยู่ บางท่านที่เป็นข่าวก็เป็นผู้ที่มีอคติต่อระบบรัฐสภา อคติต่อนักการเมืองและพรรคการเมืองอย่างรุนแรง ตอนนี้จึงต้องยอมรับว่าใครจะมาเป็นประธานกรรมาธิการร่างฯ มีความสำคัญและน่าเป็นห่วงมาก ผมยังอยากจะเห็นกรรมาธิการทั้งหลาย ได้ใช้เหตุใช้ผลและคำนึงว่า คนจะมาเป็นประธานกรรมาธิการจะมีบทบาทมาก ควรจะเป็นผู้ที่มีความเข้าใจประชาธิปไตย มีจิตใจเป็นประชาธิปไตยพอสมควร ถ้าหาที่เป็นประชาธิปไตยมากๆ ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นประชาธิปไตยพอสมควร และถ้าปล่อยให้ผู้ที่มีภารกิจอยู่ในใจเพียงอย่างเดียวคือมาทำลายล้างทักษิณและสิ่งที่เรียกว่าระบอบทักษิณ ก็จะกลายเป็นรัฐธรรม นูญที่มีอคติอย่างมาก จะเกิดผลเสีย เราจะไม่ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย แล้วประธานกรรมาธิการมีบทบาท อาจจะเรียกได้ว่าไม่น้อยกว่าประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ ถ้าเราดูจากในอดีต ในรัฐธรรมนูญปี 40

 

ส่วนอายุของรัฐธรรมนูญที่จะร่างขึ้น เวลานี้ไม่มีใครทราบ และไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าจะยืนยาว ไม่ว่าจะร่างกันแบบใดก็ตาม เรื่องของการที่จะให้รัฐธรรมนูญมีอายุยืนยาว โดยเฉพาะเมื่อเป็นรัฐธรรมนูญที่ดี เป็นเรื่องใหญ่มากของสังคมไทย ซึ่งในวันนี้ยังไม่มีคำตอบและก็ยังไม่มีความหวังเท่าไหร่นัก ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่สังคมไทยจะต้องช่วยกันคิด ที่ผ่านมารัฐธรรมนูญที่ดีๆ ก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะสังคมไทยยังเห็นดีเห็นงามหรือโอนอ่อนผ่อนตามการยึดอำนาจ ที่เป็นการกระทำของเผด็จการ

 

 

ระวังนวัตกรรมเผด็จการ สืบทอดอำนาจผ่านทางประชาธิปัตย์

สำหรับรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ โดยธรรมชาติแล้ว ยังเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง สังคมไทยต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเกิดขึ้นได้ทุกขณะ การพยายามสร้างภาพว่า กลุ่มอำนาจเก่ายังคิดจะก่อกวน สร้างความวุ่นวาย ไปจนถึงวางระเบิด การสร้างภาพว่า ขณะนี้มีภัยจากต่างชาติ ไว้ใจต่างประเทศ มิตรประเทศไม่ได้ อะไรเหล่านี้ มันอาจจะนำไปสู่การปกครองที่ต้องการความเด็ดขาดอย่างเผด็จการทหาร ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น มันก็ทำได้ทั้งโดยระบุลงไปในรัฐธรรมนูญ และก็ทำเรื่องนอกรัฐธรรมนูญด้วย หมายถึงการดำเนินการทางการเมือง เช่น การทำลายล้าง สกัดกั้น ขัดขวางพรรคการเมืองบางพรรค แล้วก็เปิดโอกาส เปิดเสรีให้กับพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งเป็นพรรคที่คุยกันรู้เรื่อง จะได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษ

 

"พรรคอย่างไทยรักไทยอาจจะถูกสกัดกั้น ขัดขวางทุกวิถีทาง พูดก็ไม่ให้พูด ทำอะไรก็ไม่ให้ทำ พูดก็ไม่ให้เสนอข่าว แต่พรรคอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ก็ให้ทำอะไรได้เต็มที่ ร่วมไม้ร่วมมืออะไรกันได้เต็มที่ อันนี้มันก็จะเป็นการสืบทอดอำนาจอีกแบบหนึ่ง คือสืบทอดโดยการวางตัว วางพรรค กำหนดล่วงหน้าว่า จะให้พรรคไหนเป็นรัฐบาล เสร็จแล้วถ้าในระหว่างนั้น สามารถจะขายความคิดเรื่องนายกฯ ไม่ต้องเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ก็ตกลงร่วมมือกัน โดยเอาพรรคบางพรรคเป็นแกนนำของรัฐบาลใหม่ แล้วก็เอาคนนอกมาเป็นนายกรัฐมนตรี" รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยระบุ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท