Skip to main content
sharethis

วิทยากร บุญเรือง


 


 






 



 


... มีตัวเลือกให้ผู้บริหารสโมสรไม่มากนัก ในสิบอันดับแรกของมหาเศรษฐี ของโลก ที่จะเข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอย่าง Liverpool, เพราะ Bill Gates ก็คงยังสนุกกับโลกเสมือนจริงของเขาอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ... ดังนั้นท่าน ชี้ค แห่งดูไบ ก็คงจะดูไม่ขี้เหร่เท่าไหร่นัก สำหรับ "เศรษฐีบ้าบอลคนต่อไป"


 


และถ้าจะพูดถึงสิ่งที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของ Sheikh Mohammed bin Rashid Al Maktoum ว่าที่เจ้าของสโมสร Liverpool คนใหม่แล้ว แน่นอนเราจะพูดถึงความทะเยอทะยานและการหาสิ่งแปลกใหม่ให้แก่อาณาจักรทะเลทรายของเขาเสมอ


 


ด้วยจำนวนเงินสูงถึง 450 ล้านปอนด์ ที่ Dubai International Capital (DIC) สถาบันการเงินอันดับต้นๆ ของกลุ่มประเทศอาหรับ เตรียมนำมาเทคโอเวอร์ สโมสรที่ประสบความสำเร็จอันดับ 1 ตลอดกาลแห่งเกาะอังกฤษ (แหะๆ ผมก็แฟน Liverpool ;-)


 


โดย DIC นั้นยังเป็นบริษัทแม่ของกลุ่มธุรกิจ Madame Tussauds Group , โรงแรม Travelodge  ในกรุงลอนดอน , มีหุ้นใน Daimler Chrysler ถึง 1 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ , เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดใน Emirates airline สายการบินซึ่งมีลิขสิทธิ์ถูกต้องในการใช้ชื่อ Emirates airline นี้เป็นชื่อสนามของทีมสโมสร Arsenal และยังมีเครือข่ายธุรกิจอีกต่างๆ นานา


 


ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสโมสรแห่งนี้ฝันถึงตัวเลขที่มหาเศรษฐีจากอาหรับจะนำมาลงทุน Rafael Benitez ยิ้มย่องกับเงิน 80 ล้านปอนด์ในการหาซื้อนักเตะใหม่ๆ สู่ทีม ใครอีกหลายคนก็ฝันถึงสนามแห่งใหม่ที่จุคนได้กว่า 60,000 ที่นั่งใน Stanley Park ด้วยวงเงินก่อสร้างถึง 200 ล้านปอนด์


 


แน่นอนว่าท่านชี้คผู้นี้ไม่ได้ซื้อ Liverpool เพื่อนำมาปัดฝุ่นแล้วก็ส่งออกแบรนด์หงส์แดงไปทั่วโลกเพียงอย่างเดียว จะกล่าวได้ว่าชี้คคนนี้เหมือนมีส่วนผสมของเสี่ยหมีผู้คลั่งไคล้เกมส์กีฬาอย่าง Roman Abramovich และผู้มีวิสัยทัศน์ทางธุรกิจกว้างไกลอย่างตระกูล Gelzer ที่ Manchester


 


เพราะตระกูล Maktoum เองนอกจากจะมีธุรกิจอื่นครอบจักรวาลแล้ว ตระกูลนี้ยังเป็นเจ้าของทีมรถแข่ง  ,สนับสนุนการแข่งขันคริกเก็ตรายการระดับโลกอย่าง Dubai World Cup Cricket รวมถึงเจ้าของม้า - คอกม้า


 



 


และว่ากันว่าถ้า Roman Abramovich เป็นผู้นำเงินมาถลุงให้กับวงการฟุตบอลจนเกิดความคึกคักขึ้นมาถนัดตา --- ท่านชี้คผู้นี้ก็ทำแบบเดียวกัน แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวงการม้าแข่งระดับโลก (world of horse racing)


 


โดยผู้เกี่ยวข้องและแฟนบอลสโมสร Liverpool เองโดยส่วนใหญ่ก็คาดหวังถึงการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ครั้งนี้เป็นอย่างมาก


 


"ผมได้คุยกับคนที่เกี่ยวข้องแล้วและมันก็เป็นการพบกันที่น่าประทับใจมาก เราไม่ได้คุยกันถึงเรื่องรายละเอียดการเทกโอเวอร์ แต่พวกเขาบอกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาต้องการทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อ Liverpool ในอนาคต นี่จะไม่ใช่สัญญาระยะสั้น แนวความคิดของพวกเขาคือการทำให้ Liverpool ประสบความสำเร็จในระยะยาว" Rafael Benitez ผู้จัดการทีมกล่าว


 


"ผมรู้สึกตื่นเต้น เพราะว่าคนพวกนั้นให้ความมั่นใจกับผมและผู้เล่นคนอื่นๆ ว่าสโมสรนี้จะตกอยู่ในมือของคนที่ปลอดภัย และต้องการนำพาสโมสรไปสู่ความสำเร็จมากยิ่งขึ้น โดยสิ่งแรกที่พวกเขารับปากกับผมคือ พวกเขาให้ความสำคัญกับผลงานทีมเป็นหลัก และเชื่อมั่นจะสามารถประสบผลทั้งในและนอกสนาม และนั่นเป็นสิ่งที่พวกเราอยากได้ยินมากที่สุด" Steven Gerrard กัปตันทีมว่าไว้


 


"นี่เป็นย่างก้าวล่าสุดบนถนนของการค้นหาการลงทุนระยะยาวที่สโมสรต้องการ DIC เป็นนักลงทุนที่มีศักยภาพ พวกเขาแสดงให้เห็นว่าเต็มไปด้วยความเข้าใจในคุณค่าและเคารพในทรัพย์สมบัติของสโมสร เรายังเชื่อว่าพวกเขาต้องการมีส่วนร่วมแบ่งปันความกระหายในความสำเร็จของเรา นี่ถือว่าสำคัญมากในส่วนของข้อเสนอสร้างสนามใหม่ ซึ่งเป็นกุญแจสำหรับแผนการก่อร่างชุมชนท้องถิ่นขึ้นมาใหม่ ทั้งหมดเกี่ยวกับการทำสัญญานี้จะช่วยให้เรามีเงินทุนในระยะยาวต่อไป" Ric Perry ประธานบริหารของสโมสร Liverpool ให้ความเห็นถึงการที่กลุ่มทุนใหญ่จะเข้ามาร่วมลงทุน


 


 



 


และแน่นอนว่าแฟนบอลหลายๆ คนคงให้ความเห็น อาทิ "ที่ London มีคนรัสเซีย , ที่ Manchester มีคนยิวอเมริกัน แล้วที่ Liverpool จะมีคนอาหรับเพิ่มอีกซักคนก็ไม่เห็นเป็นไร ... ถ้ามันจะทำให้เรามีผลการแข่งขันที่น่าพอใจในทุกวันเสาร์"  


 


โดยสโมสร Liverpool จะเป็นสโมสรแห่งที่ 7 ในศึก Premiership ที่มีเจ้าของเป็นคนต่างชาติต่อจาก Chelsea (Roman Abramovich /รัสเซีย) Manchester United (ตระกูล Gelzer /สหรัฐ) Fulham ( Mohamad Al fayed/อียิปต์) Portsmouth (Alexandre Gaydamak /รัสเซีย) Aston Villa (Randy Lerner/สหรัฐ) และ West Ham (Eggert Magnússon /ไอซ์แลนด์)


 


ทั้งนี้เราใกล้ที่จะเห็น "ตำนานแห่งสโมสรลิเวอร์พูลแบบอนุรักษ์นิยม" ปิดลง พร้อมกับเปิดศักราชใหม่ให้สโมสรแห่งนี้ก้าวสู่ยุคโลกาภิวัตน์อย่างเต็มรูปแบบเสียที >>


 


>> แมวมองจาก Liverpool กำลังอาจจะไปเสาะหานักเตะเยาวชนจากซีกโลกใต้เพื่อเอามาขัดเกลาที่The academy , แฟนบอลในกรุงเทพอาจจะเลือกซื้อของที่ระลึกลิขสิทธิ์แท้ๆ ในร้านสะดวกซื้อแฟรนไชน์ของสโมสร Liverpool แถวหน้าปากซอย , หนุ่มอเมริกันก็อาจจะเมามันกับเกมส์เพลย์สเตชัน3 ด้วยการบังคับผู้เล่นทีม Liverpool ที่เขาจัดการแผนการเอง , ส่วน Rafael Benitez ก็อาจกำลังครุ่นคิดวางหมากแก้เกมส์ให้กับทีมในศึกชิงแชมป์สโมสรโลกครั้งถัดไปกับทีมจากออสเตรเลียที่โตเกียว --- และทั้งหมดนี้จะได้รับการจับตาจากแผงซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ที่กำลังแสดงถึงความเคลื่อนไหว กำไร-ขาดทุนและการกระเพื่อมจากการบริโภคแบรนด์ "Liverpool" โดยท่านชี้ค แห่งดูไบ


 


เกมส์ฟุตบอลพัฒนาไปตามยุคสมัยอย่างไหลลื่น จากเกมส์การแข่งขันดุเดือดป่าเถื่อนของหนุ่มๆ 2 หมู่บ้าน ที่ต้องคลุกเลนคลุกโคลนนำพาลูกบอลไปทำประตูอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยวิธีแรงๆ ใดๆ ก็แล้วแต่ --- พัฒนามาจนถึงการเป็นกีฬาของไอ้หนุ่มเจ้าสำอาง ที่ทำประกันอุบัติเหตุราคาหลายล้านเหรียญหากเขาเกิดอาการเล็บขบขึ้นมา , จากกีฬาซึ่งแทบจะไม่มีคุณค่าทางการบริโภค-ไม่มีคุณค่าทางการตลาด ... จนกลายเป็นกีฬาอันดับหนึ่งที่สร้างเม็ดเงินสะพัดทั่วโลก


 


ถ้ามันจะเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้ก็ช่างมันปะไร ... ขอเพียงให้ทุกบ่ายวันเสาร์ มีคนเตะมันอยู่ในสนามหญ้าเขียวๆ นั่น! มีโพยอัตราต่อรองที่พอให้ได้เสียวซักใบ ... ขอแค่นั้นก็เอาล่ะวะ!


 


คำเตือน: เซียนมักจะอยู่รู หมูมักจะอยู่ตึก เสมอ ;-)


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net