นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานมูลนิธิพิทักษ์ธรรมชาติเพื่อชีวิต กล่าวในที่ประชุมงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2549 ณ ห้องไชยบุรี ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน จ.อุบลราชธานี ว่า งานวิจัยท้องถิ่นถือเป็นกลไกลที่สำคัญและมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของคนในสังคมไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยมีเป้าหมายการดำเนินงานเพื่อส่วนรวมและนำความสุขมาสู่สังคม หากคนในชุมชนมีความสุข ชุนชนที่อาศัยอยู่ก็จะเข้มแข็งตามไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการอนุรักษ์ประเพณี - วัฒนธรรมที่ดีงามสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นไว้
การอนุรักษ์ป่า การอนุรักษ์น้ำ รวมทั้งการอนุรักษ์ในสิ่งที่เป็นมรดกตกทอดให้คงอยู่คู่กับชุมชนต่อไป เป็นสิ่งที่นักวิจัยท้องถิ่นต้องรวมกันสร้างและร่วมกันปฏิบัติ เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเหมือนองค์ความรู้ที่เกิดจากบุคคลในท้องถิ่นพัฒนาป็นภูมิปัญญาชาวบ้านให้เห็นเป็นสิ่งของต่าง ๆ ที่มีคุณค่าและสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนได้ หากการสืบทอดมีการถ่ายทอดกันอย่างต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่นชุมชนก็จะน่าอยู่และเข้มแข็ง
นางมัสยา คำแหง ผู้ประสานงานมูลนิธิมูลนิธิพิทักษ์ธรรมชาติเพื่อชีวิต กล่าวว่า กระบวนการวิจัยเป็นอีกกระบวนการหนึ่งที่นำไปสู่การพัฒนาท้องถิ่น และนักวิจัยเองก็เกิดองค์ความรู้ใหม่ตามมา ขณะเดียวกันก็ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกซึ่งก็คือทีมนักวิจัยท้องถิ่นในชุมชนต่าง ๆ และปัจจัยภายในซึ่งก็คือบุคลากรผู้มีความรู้คอยให้คำแนะนำในเรื่องของการอนุรักษ์และวิธีการดูแลรักษาป่าตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีที่สำคัญให้คงไว้คู่สังคม
โดยพื้นที่การทำงานครอบคลุมในหลายอำเภอในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งพื้นที่ในการทำวิจัยส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม โดยเน้นการทำงานเรื่องป่าและน้ำเป็นส่วนสำคัญเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดมนุษย์และมนุษย์องก็ใช้เป็นอุปโภค - บริโภคอยู่เป็นประจำทุกวัน
นายอำนวย วงละคร หัวหน้าโครงการศึกษารูปแบบการใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนอย่างยั่งยืนของชุมชน บ้านชาด ต.หนามแท่ง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี กล่าวถึงการลงพื้นที่การวิจัยป่าชุมชนเพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากป่า ว่า สภาพป่าชุมชนของบ้านชาดในปัจจุบันนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่อุดมสมบูรณ์ จากเดิมที่เคยเป็นป่าที่ที่มีกลุ่มนายทุนเข้าไปตัดไม้และแผ้วถางป่าทำให้สภาพป่าเสื่อมโทรม โดยชุมชนบ้านชาดเองได้มีการรวมตัวเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูป่าดังกล่าวนี้มาตั้งแต่ปี 2541 ประกอบกับมีคณะทำงานซึ่งเป็นทีมวิจัยเรื่องป่าชุมชนลงพื้นที่บ้านชาดทำให้การทำงานด้านการอนุรักษ์ป่าได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่ายไปพร้อม ๆ กัน
โดยมีการประชาคมหมู่บ้านเพื่อหาทิศทางการทำงานเรื่องป่ากับคนในชุมชนต่าง ๆ ที่มีพื้นที่ติดกับป่าชุมชนมาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนทิศทางการทำงาน รวมทั้งวางแผนการทำงานให้สอดคล้องกับสภาพภูมิศาสตร์ในพื้นที่ ซึ่งคณะทำงานหลักที่ทำหน้าที่เป็นนักวิจัยไทบ้านในโครงการดังกล่าวมีทั้งหมด 10 คน มีการออกสำรวจป่าเพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าให้คงอยู่คู่กับชุมชนต่อไปในอนาคต
" ปัจจุบันป่าชุมชนบ้านชาดมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 3,000 ไร่ เป็นป่าที่คนในชุมชนใกล้เคียงใช้ประโยชน์ในเรื่องต่าง ๆ อาทิ ใช้เป็นแหล่งหาอาหาร ใช้เป็นสถานที่ในการเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งเป็นที่อยู่อาศัยให้กับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ นอกจากนี้คนในชุมชนเองยังได้ใช้ประโยชน์จากป่าโดยการนำทรัพยากรจากป่าที่ไม่เป็นการทำลายป่ามาแปรรูปเป็นสินค้าต่าง ๆ จำหน่ายให้แก่คนในชุมชนอีกด้วย อาทิ ในเรื่องของยาสมุนไพร ผลิตภัณฑ์จากป่า ของใช้ที่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เมื่อคนในชุมชนรู้จักอนุรักษ์ไว้ในอนาคตป่าก็จะให้ประโยชน์ตอบกลับมาให้กับคนในชุมชน ซึ่งทุกวันนี้ทางทีมนักวิจัยร่วมกับคนในชุมชนได้ใช้วีการให้ความรู้เรื่องป่าแก่คนในชุมชนเพื่อจะได้ทราบถึงประโยชน์ที่ป่าได้ให้สิ่งดี ๆ กับมนุษย์ "
ด้านนายสงัด สร้างเสรี ทีมนักวิจัยท้องถิ่นในโครงการรูปแบบการจัดการน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัด กรณีศึกษาบ้านผาชัน ต.สำโรง อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี กล่าวถึงสภาพของแหล่งน้ำในชุมชนว่า จากที่ทีมนักวิจัยท้องถิ่นได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจแหล่งน้ำในชุมชนทำให้ปัจจุบันมีแหล่งน้ำที่สามารถใช้อุปโภค - บริโภค จำนวน 12 บ่อ , มีฝ่ายน้ำ 1 ฝาย และแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์จากธรรมชาติที่คนในชุมชนใช้เป็นสถานที่ในการหาอาหารอีก 1 แห่ง นอกจากนี้ยังมีบ่อน้ำที่เป็นบ่อสำหรับใช้บริโภคในชุมชนอีก 3 บ่อ ซึ่งถือว่าชุมชนดังกล่าวมีความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องของน้ำอย่างเพียงพอ แต่ก็น่าเป็นห่วงในช่วงเดือนพฤศจิกายน - เดือนพฤษภาคม ของทุกปีบ่อน้ำเริ่มแห้งขอดซึ่งชาวบ้านได้ร่วมกันอนุรักษ์น้ำไว้ให้มีใช้ไปตลอดทั้งปี โดยการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคอย่างประหยัดและคุ้มค่าให้ได้มากที่สุด
นอกจากนี้ทีมนักวิจัยเองยังได้ออกสำรวจแหล่งน้ำในชุมชนเพิ่มอีกหากมีบางพื้นที่ที่สามารถใช้เป็นแหล่งน้ำได้ก็จะมีการวางแผนเพื่อศึกษาถึงวีการอนุรักษ์และสร้างแหล่งน้ำแห่งใหม่ขึ้นมาเพิ่มอีก ขณะเดียวกันก็ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้การประชุมของทีมนักวิจัยท้องถิ่นในครั้งนี้มีเครือข่ายทีมนักวิจัยเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความรู้จำนวน 11 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ทำงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี นอกจากจะมีการประชุมแล้วยังได้มีการจัดนิทรรศการให้ความรู้ในเรื่องของการอนุรักษ์ป่า และการจำหน่ายสินค้าที่กลุ่มต่าง ๆ ร่วมกันทำมาจำหน่ายแก่ผู้ที่มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)