ชื่อบทความเดิม : การกลับมาของดานีเอล ออร์เตกา และซานดินิสตา อาการสะดุ้งของอภิจักรวรรดิอเมริกัน
โดย ภัควดี วีระภาสพงษ์
หลังจากลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน ตอนนี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ประธานาธิบดีคนใหม่ของนิคารากัว คือ ดานีเอล ออร์เตกา จากพรรคแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติซานดินิสตา (Sandinista National Liberation Front---FSLN) แต่ออร์เตกาไม่ใช่นักการเมืองหน้าใหม่ของนิคารากัว อันที่จริง เขาเคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้วครั้งหนึ่งในช่วง ค.ศ. 1985-1990
พรรค FSLN ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยได้คะแนนเสียงประมาณ 38% มากกว่าพรรคพันธมิตรเสรีนิยมแห่งชาติ (National Liberal Alliance---ALN) ประมาณ 9% พรรครัฐธรรมนูญเสรีนิยม (Liberal Constitutionalist Party---PLC) ของอดีตประธานาธิบดีอาร์นัลโด อาเลมาน ได้คะแนนเสียงมาเป็นที่สามคือ 26% พรรคขบวนการฟื้นฟูซานดินิสตา (Movement for Sandinista Renewal---MRS) มาเป็นที่สี่ 6% และพรรคทางเลือกชาวคริสต์ (Christian Alternative---AC) ได้ไม่ถึง 1%
แม้ว่าคะแนนเสียงของพรรค FSLN จะดูเหมือนไม่มากนัก แต่ก็มากเพียงพอที่จะส่งให้ออร์เตกาก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีในวันที่ 10 มกราคม ศกหน้า โดยไม่ต้องมีการเลือกตั้งรอบสอง ทั้งนี้เพราะตามกฎหมายเลือกตั้งใหม่ของนิคารากัว ถ้ามีความแตกต่างระหว่างคะแนนเสียงของพรรคที่ได้อันดับหนึ่งกับอันดับสองมากกว่า 5% และพรรคที่ได้อันดับหนึ่งได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งเกินกว่า 35% ก็ไม่ต้องจัดการเลือกตั้งรอบสองอีก จำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์ครั้งนี้อยู่ระหว่าง 75-80% ของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งหมด ถือว่าเป็นสถิติที่ดีที่สุดในละตินอเมริกา และสูงกว่าในสหรัฐอเมริกา การเลือกตั้งครั้งนี้ได้รับการรับรองจากองค์กรนานาชาติที่มาสังเกตการณ์ว่า มีความบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีปัญหาอื้อฉาวอย่างในเม็กซิโกหรือในบางมลรัฐของสหรัฐอเมริกา
อาการสะดุ้งของอภิจักรวรรดิอเมริกัน
ถ้าหากหลงเชื่อตามคำโหมประโคมของบรรดาผู้เชี่ยวชาญฝ่ายขวาหรือสมาชิกพรรครีพับลิกัน การหวนคืนสู่อำนาจของดานีเอล ออร์เตกาและพรรคซานดินิสตา เป็นเรื่องร้ายกาจราวกับสัญญาณวันสิ้นโลก ฝ่ายอนุรักษ์นิยมในอเมริกาตีโพยตีพายเหมือนกับชาวนิคารากัวทำบาปมหันต์ครบ 7 ประการก็ไม่ปาน
อดีตมือเขียนปาฐกถาให้เรแกนและบุชผู้ลูก นายมาร์ค คลุกแมน เขียนใน National Review ว่า
"ชาวนิคารากัวที่อ้าแขนรับลัทธิสุดขั้วหัวรุนแรงเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ และโลก....การมีนิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือและอิหร่านก็แย่พออยู่แล้ว ยิ่งถ้าสองประเทศนั้นมีพันธมิตรมาจ่ออยู่ใกล้ชายแดนของเรา มันสามารถสร้างความปั่นป่วนได้อย่างที่เราเคยคิดว่าสหภาพโซเวียตเท่านั้นที่ทำกับเราได้ขนาดนี้"
ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง สมาชิกสภาคองเกรสจากพรรครีพับลิกันหลายคนเสนอให้ยื่นคำขู่แก่ชาวนิคารากัวว่า ถ้ายังบังอาจลงคะแนนให้พรรคซานดินิสตา สหรัฐฯ ควรตอบโต้ด้วยการสั่งห้ามไม่ให้ชาวนิคารากัวที่อพยพมาทำงานในสหรัฐฯ ส่งเงินกลับประเทศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครีพับลิกันสองคนเขียนจดหมายถึงคอนโดลีซซา ไรซ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ ว่า "เราเห็นด้วยกับนายพอล ทรีเวลลี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำนิคารากัว ที่ประเมินว่า ถ้าออร์เตกาได้ชัยชนะ สหรัฐอเมริกาต้อง "ทบทวน" ความสัมพันธ์กับนิคารากัวใหม่ทั้งหมด"
ความจริงต่อให้สมาชิกพรรครีพับลิกันไม่โวยวาย รัฐบาลบุชก็ไม่นิ่งนอนใจอยู่แล้ว ตลอดปีที่ผ่านมา รัฐบาลบุชพยายามสร้างแรงกดดันเพื่อขัดขวางไม่ให้ชาวนิคารากัวลงคะแนนเสียงให้ออร์เตกา โดยเฉพาะนายพอล ทรีเวลลี ยอมละเมิดมารยาททางการทูตทุกอย่าง ถ้าใครไม่รู้คงคิดว่าเขาเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีนิคารากัวเสียเอง เขาเดินหน้ารณรงค์ทางการเมืองอย่างหนัก และแสดงออกนอกหน้าว่าสนับสนุนผู้สมัครฝ่ายตรงข้าม พยายามเจรจาให้ฝ่ายขวาในนิคารากัว (กล่าวคือพรรค "เสรีนิยม" ทั้งสองพรรคคือ ALN และ PLC) จับมือกันเพื่อส่งผู้สมัครเพียงคนเดียว แต่เขาทำไม่สำเร็จ ความแตกแยกของฝ่ายขวานิคารากัวช่วยกรุยทางให้ออร์เตกาก้าวสู่ทำเนียบ
นอกจากนี้ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ นายคาร์ลอส กูตีเยร์เรซ ยังขู่ไว้ก่อนการเลือกตั้งว่า ถ้าชาวนิคารากัวเลือกประธานาธิบดีผิดคน เงินช่วยเหลือจำนวน 220 ล้านดอลลาร์และเงินลงทุนอีกหลายร้อยล้านจากสหรัฐฯ อาจหายวับไปกับตา นี่ยังไม่นับรวมความพยายามของ "ผีที่ไม่ยอมลงหลุม" อย่างนายโอลิเวอร์ นอร์ธ อดีตนายทหารที่เคยมีส่วนพัวพันในคดีอิหร่าน-คอนทราอันอื้อฉาวด้วย
รัฐบาลอเมริกันถนัดเสมอมาในการสร้างภาพประเทศเล็กๆ ให้น่ากลัวเกินความเป็นจริง ตั้งแต่หลอกให้คนอเมริกันกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อว่า โฮจิมินห์ หรือฟิเดล คาสโตร จะพายเรือแคนูข้ามมหาสมุทรมาเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ในสหรัฐอเมริกา เรื่อยมาจนถึงอาวุธทรงอานุภาพทำลายล้างในอิรัก แต่การสร้างภาพให้พรรคซานดินิสตาเสมือนมารร้ายจากขุมนรก หรือการก้าวขึ้นสู่อำนาจของออร์เตกาประหนึ่งเป็นเสียงแตรประกาศสงครามอาร์มาเกดดอน ช่างเป็นปริศนาที่เข้าใจได้ยาก อภิจักรวรรดิอย่างสหรัฐอเมริกากลัวอะไรนักหนากับนิคารากัว?
โถ! ประเทศนิคารากัวนี่นะ! ประชากร 80% ในประเทศนี้ดำรงชีพด้วยรายได้ 2 ดอลลาร์ต่อวัน หรือบางคนอาจได้น้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ ใน The World Factbook ของ CIA ระบุว่า นิคารากัวเป็นประเทศยากจนที่สุดในอเมริกากลางและอเมริกาใต้พอๆ กับเฮติและโบลิเวีย มีรายได้ต่อหัวต่ำ ว่างงานสูง และหนี้ต่างประเทศเพียบแปล้ มีการกระจายรายได้ที่ไม่เท่าเทียมมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ความเติบโตของ GDP ต่อปีมีอัตราต่ำมาก จนต้องอาศัยความช่วยเหลือทางการเงินจากต่างประเทศเพื่อให้พอกับการจัดทำงบประมาณและจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้
ปีที่ผ่านมา นิคารากัวยังต้องประสบปัญหาเงินเฟ้อเพราะราคาน้ำมันที่แพงขึ้น จนความเติบโตของ GDP ที่ต่ำอยู่แล้ว หดตัวลงไปอีก มิหนำซ้ำประเทศนี้ยังมักเผชิญกับภัยธรรมชาติ ไม่ว่าแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินถล่ม และพายุเฮอร์ริเคน
ประเทศยากจน มีพื้นที่เล็กกว่ารัฐนิวยอร์ก และมีประชากรแค่ราวห้าล้านกว่าคน (น้อยกว่ากรุงเทพฯ) จะเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐอเมริกาได้ ก็เฉพาะในหนังฮอลลีวู้ดอย่าง Red Dawn เท่านั้น แม้ว่าในระยะหลัง ทำเนียบขาวมักเลือกที่จะหุบปากเงียบในระหว่างการเลือกตั้งของประเทศละตินอเมริกา หาใช่เพราะวอชิงตันเกิดซาบซึ้งในระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนกำหนดอนาคตของตนเอง แต่เป็นเพราะวอชิงตันเรียนรู้จากบทเรียนยากๆ ว่า การเข้าไปจุ้นจ้านออกนอกหน้ามักมีผลร้ายสะท้อนกลับมา อาทิ ในกรณีของโบลิเวียเมื่อปี ค.ศ. 2002 สหรัฐฯ โจมตีและต่อต้านเอโว โมราเลสอย่างเปิดเผย แต่กลับทำให้เขายิ่งได้รับความนิยม จนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีในปีนี้
อย่างไรก็ตาม กับประเทศเล็กกระจิดริดในอเมริกากลางอย่างนิคารากัวและเอลซัลวาดอร์ ทำเนียบขาวยังรู้สึกว่าอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะทฤษฎี "แอปเปิลเน่าในตะกร้า" ที่ยังตกค้างมาจากยุคสงครามเย็น
สิบหกปีแห่งความหลัง
ใน What Uncle Sam Really Wants นอม ชอมสกี อธิบายถึงปริศนานิคารากัวว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้กลัวนิคารากัวจริงๆ หรอก แต่กลัว "ภัยคุกคามของตัวอย่างที่ดี" ต่างหาก ยิ่งประเทศนั้นอ่อนแอยากจนมากเท่าไร ประเทศนั้นก็ยิ่งเป็นตัวอย่างที่อันตรายมากขึ้นเท่านั้น ถ้าประเทศเล็กๆ ยากจนอย่างนิคารากัวเกิดประสบความสำเร็จในการสร้างชีวิตที่ดีแก่ประชาชน ประเทศอื่นๆ ที่มีทรัพยากรมากกว่าก็อาจตั้งคำถามขึ้นมาบ้างว่า "ทำไมเราจะทำบ้างไม่ได้ล่ะ?"
นี่คือทฤษฎี "แอปเปิลเน่าในตะกร้า" หรือเรียกกันติดปากอีกอย่างว่า ทฤษฎีโดมิโน แอปเปิลผลหนึ่งที่ "เน่า" (คือการทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้นด้วยการดำเนินนโยบายทางสังคม) จะพลอยทำให้แอปเปิลผลอื่นๆ ในตะกร้า "เน่า" ตามไปด้วย (หรือหันมาดำเนินนโยบายทางสังคมตามอย่างบ้าง)
ในทศวรรษ 1960 ขณะที่นิคารากัวยังตกอยู่ภายใต้การปกครองของจอมเผด็จการ อนาสตาซีโย โซโมซา นักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งชื่อ คาร์ลอส ฟอนเซกา ก่อตั้งพรรคการเมืองเล็กๆ ชื่อ พรรคแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติซานดินิสตา คำว่า "ซานดินิสตา" หมายถึงผู้เจริญรอยตาม "ซานดิโน" กล่าวคือ นายพลออกุสโต เซซาร์ ซานดิโน (1893-1934) ผู้นำขบวนการชาตินิยมชาวนิคารากัว ซึ่งเคยต่อสู้กับกองกำลังทหารของสหรัฐฯ ยาวนานถึง 5 ปี
พรรคซานดินิสตาเติบใหญ่ขึ้นจนโค่นล้มเผด็จการโซโมซาได้ใน ค.ศ. 1979 โดยได้รับการสนับสนุนจากมวลชนและบางกลุ่มในคริสตจักร โซโมซาหนีไปเสพย์สุขในไมอามี แล้วต่อมาไปลงเอยในปารากวัยและถูกสมาชิกพรรคแรงงานปฏิวัติชาวอาร์เจนตินาลอบสังหาร ส่วนพรรคซานดินิสตาที่กลายเป็นรัฐบาล ดำเนินโครงการด้านสังคมขนานใหญ่ อันประกอบด้วยด้านการศึกษา สาธารณสุข และปฏิรูปที่ดิน จนได้รับการยกย่องจาก OXFAM และธนาคารโลก
เรื่องแบบนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยอมไม่ได้ ประธานาธิบดีเรแกนให้การสนับสนุนกองกำลังฝ่ายขวาของนิคารากัว ภายใต้ชื่อ กบฏคอนทรา ขบวนการคอนทรานี่แหละคือกลุ่มผู้ก่อการร้ายตัวจริง สหรัฐฯ สนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายนี้อย่างเปิดเผย ทุ่มเททรัพยากรไปเป็นจำนวนมหาศาล นอกจากนี้ยังดำเนินนโยบายกดดันทางการทูต คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ บีบบังคับให้ธนาคารโลกและองค์กรอื่นๆ ระงับความช่วยเหลือต่อนิคารากัว ฯลฯ แม้กระทั่งเมื่อนิคารากัวประสบภัยพิบัติจากพายุเฮอร์ริเคน ใน ค.ศ. 1988 รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ใจจืดใจดำพอที่จะไม่ส่งความช่วยเหลือไปแม้แต่แดงเดียว รวมทั้งกดดันรัฐบาลประเทศอื่นๆ ไม่ให้ส่งความช่วยเหลือไปด้วย
รัฐบาลเรแกนสนับสนุนกบฏคอนทราอย่างสุดตัว เมื่อถูกวิจารณ์จากในประเทศและนานาชาติมากๆ เข้า สภาคองเกรสก็ทนไม่ไหว จึงมีมติให้รัฐบาลยุติการให้ความช่วยเหลือแก่ขบวนการนี้ พันเอกโอลิเวอร์ นอร์ธ คนสนิทของประธานาธิบดีเรแกน ก็อุตส่าห์คิดค้นวิธีหาเงินสนับสนุนแก่กบฏคอนทราจนได้ ด้วยการแอบขายอาวุธให้อิหร่าน แล้วนำเงินผิดกฎหมายนั้นมาให้แก่คอนทรา จนกลายเป็นที่มาของคดีอิหร่าน-คอนทราอันอื้อฉาวนั่นเอง
ใน ค.ศ. 1990 มีการเลือกตั้งที่จัดขึ้นภายใต้แผนสันติภาพ รัฐบาลซานดินิสตาหวังว่าจะช่วยยุติสงครามก่อการร้ายที่ดำเนินมายืดเยื้อยาวนาน เมื่อการหาเสียงเริ่มต้นขึ้น สหรัฐอเมริกาก็ประกาศให้ชาวนิคารากัวรู้ชัดๆ ไปเลยว่า ถ้าพวกเขายังลงคะแนนเสียงเลือกพรรคซานดินิสตาอีก การคว่ำบาตรและการก่อการร้ายของฝ่ายคอนทราจะดำเนินต่อไปเหมือนเดิม นี่คือ "ระบอบประชาธิปไตย" ที่ถูกต้องในทัศนะของรัฐบาลสหรัฐฯ นั่นคือ แกต้องเลือกคนที่ข้าพอใจเท่านั้น
ชาวนิคารากัวที่อดอยากยากแค้นและเบื่อหน่ายกับสภาพสงครามกลางเมือง สุดท้ายพวกเขาจึงลงคะแนนเสียงเลือกพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้พรรคซานดินิสตาถึงกับช็อคไม่น้อย เพราะการหยั่งเสียงก่อนหน้าการเลือกตั้งหลายครั้ง ชี้ว่าพรรคซานดินิสตาได้รับความนิยมมากกว่า การหาเสียงแต่ละครั้งก็ดึงดูดประชาชนมาได้หลายแสนคน แต่ในการหยั่งเสียงหน้าคูหาเลือกตั้ง (exit poll) ผลปรากฏว่าผู้ลงคะแนนส่วนใหญ่เลือกลงให้พรรคฝ่ายตรงข้าม เพราะเบื่อหน่ายกับการถูกรัฐบาลอเมริกันบีบคั้นกลั่นแกล้ง ผลของ exit poll นี่เอง ทำให้ดานีเอล ออร์เตกา ซึ่งเป็นประธานาธิบดีในขณะนั้น ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี กระนั้นก็ตาม ยังมีประชาชนถึง 40% ที่ลงคะแนนเสียงให้พรรคซานดินิสตา
ช่วงเวลา 16 ปีหลังจากนั้น นิคารากัวมีรัฐบาลแนวทางเสรีนิยมใหม่ติดต่อกัน 3 รัฐบาล แม้ว่าดานีเอล ออร์เตกาและพรรคซานดินิสตาลงชิงชัยในการเลือกตั้งทุกครั้ง แต่ก็ต้องพ่ายแพ้มาตลอด ในการเลือกตั้ง ค.ศ.1996 ออร์เตกาพ่ายแพ้ต่อ อาร์นัลโด อาเลมาน ผู้สมัครของพรรค PLC ส่วนในการเลือกตั้งครั้งต่อมา คือ ค.ศ.2001 เขาพ่ายแพ้พรรค PLC อีกครั้ง คราวนี้เป็นเอนริเก โบลันโญสที่ได้ตำแหน่งประธานาธิบดีไป การเมืองของนิคารากัวจึงเริ่มเป็นการต่อสู้ของสองพรรคใหญ่สองแนวทาง กล่าวคือพรรคซานดินิสตา ที่มีฐานเสียงอยู่ในหมู่ประชาชนยากจน กับพรรคการเมืองฝ่ายขวาที่ดำเนินตามแนวทางเสรีนิยมใหม่
เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน
ระหว่าง 16 ปีที่เป็นพรรคฝ่ายค้าน ท่ามกลางบรรยากาศแบบเสรีนิยมใหม่ ชนชั้นนำในพรรค FSLN เองก็ซึมซับและปรับตัวตามสถานการณ์ไปไม่น้อย แม้ว่านโยบายแบบเสรีนิยมใหม่จะโหดร้ายต่อประชาชนส่วนใหญ่ของนิคารากัว และทำให้มาตรฐานการดำรงชีวิตที่ต่ำอยู่แล้วตกต่ำลงไปอีกก็ตาม
ชนชั้นนำในพรรค FSLN ปรับตัวจนประสบความสำเร็จทางธุรกิจและมีผลประโยชน์ในหลายภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตรกรรม การท่องเที่ยว ไปจนถึงการธนาคาร ชนชั้นนำอีกกลุ่มหนึ่งเข้าไปอยู่ในชนชั้นผู้บริหารด้านการพัฒนา ซึ่งได้รับเงินทุนจากหน่วยงานช่วยเหลือต่างประเทศ ทั้งหน่วยงานจากสหประชาชาติ ธนาคารโลกและธนาคารเพื่อการพัฒนาของทวีปอเมริกา ในพรรคซานดินิสตาเริ่มมีการแตกแยกกันทางความคิดอย่างเห็นได้ชัด บางกลุ่มยอมรับอุดมการณ์แบบเสรีนิยมใหม่เต็มตัว ในขณะที่บางกลุ่มปรับเปลี่ยนไปเป็นแนวทางสังคมประชาธิปไตยแบบยุโรป
ความแตกแยกนี้มาถึงจุดแตกหักจากชนวนสองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรกคือการที่ออร์เตกาสร้างข้อตกลงกับอาร์นัลโด อาเลมาน ในสมัยที่ฝ่ายหลังเป็นประธานาธิบดี อาเลมานกำลังเผชิญกับข้อหาคอร์รัปชั่น เขาจึงสร้างข้อตกลงกับออร์เตกาเพื่อไม่ให้ตนถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐสภาและไม่ต้องถูกดำเนินคดี ส่วนออร์เตกากลายเป็นผู้มีอิทธิพลในการแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ในรัฐบาลหลายตำแหน่ง ทั้งสองพรรคยังจับมือกันสกัดกั้นพรรคเล็กๆ ไม่ให้มีโอกาสเติบโตด้วย
อีกประเด็นหนึ่งซึ่งเป็นประเด็นอื้อฉาวคือ กรณีที่ดานีเอล ออร์เตกา ถูกลูกสาวบุญธรรมออกมากล่าวหาว่า เธอถูกเขาล่วงละเมิดทางเพศมาหลายปีนับตั้งแต่เธอยังเป็นวัยรุ่น สองประเด็นนี้ทำให้นักการเมืองกลุ่มหนึ่งใน FSLN โดยมีเซอร์จิโอ รามิเรซ นักเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของละตินอเมริกา แยกออกไปตั้งพรรคใหม่คือ พรรคขบวนการฟื้นฟูซานดินิสตา (Movement for Sandinista Renewal---MRS)
ความเขี้ยวลากดินทางการเมืองของออร์เตกายังสำแดงเดชอีกครั้งในสมัยประธานาธิบดีโบลันโญส เมื่อโบลันโญสเกิดการแตกคอกับพรรค PLC ของตนเอง และดำเนินคดีข้อหาคอร์รัปชั่นกับอดีตประธานาธิบดีอาเลมาน พรรค FSLN ของออร์เตกาและนักการเมืองที่ยังจงรักภักดีต่ออาเลมานในพรรค PLC จับมือกันทำ "รัฐประหารแบบสโลว์โมชั่น" ด้วยการปลดอำนาจของประธานาธิบดีโบลันโญสและรัฐมนตรีของเขาทีละน้อย ไปจนข่มขู่ว่าจะดำเนินการถอดถอนเขาออกจากตำแหน่ง
ชัยชนะอย่างง่ายดายของออร์เตกาในการเลือกตั้งครั้งนี้ ส่วนหนึ่งยังมาจากการที่เขาทำข้อตกลงครั้งที่สองกับอาเลมานด้วย โดยพรรค PLC กับ FSLN จับมือกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากเดิมที่ในการเลือกตั้งรอบแรก ผู้ชนะอันดับหนึ่งต้องได้คะแนนเสียง 45% ขึ้นไป ถึงจะไม่ต้องมีการเลือกตั้งรอบสอง เปลี่ยนเป็นได้คะแนนเสียงแค่ 35% ก็ถือเป็นเด็ดขาด ไม่ต้องมีการเลือกตั้งรอบสองอีก งานนี้สิ่งที่อาเลมานได้รับเป็นค่าตอบแทนคือ จากที่ถูกจับคุกในข้อหาคอร์รัปชั่น เขาถูกปล่อยตัวออกมาเสพสุขกับความมั่งคั่งของตนด้วยบทลงโทษแค่ "กักบริเวณอยู่ในเมืองที่พำนักอาศัย" ถ้าหากต้องมีการเลือกตั้งรอบสองเกิดขึ้น นักวิเคราะห์บางคนทำนายว่า ออร์เตกาอาจพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งก็เป็นได้
เรื่องน่าขันก็คือ ขณะที่ทำเนียบขาววาดภาพออร์เตกาเป็นฝ่ายซ้ายและคอมมิวนิสต์ที่ไม่เคยกลับใจ สิ่งที่ขบวนการฝ่ายซ้ายในโลกกังวลใจกลับกลายเป็นว่า ออร์เตกากับพรรค FSLN นั้นเปลี่ยนสีแปลงร่างจนความเป็นซ้ายเจือจางลงแทบไม่มีเหลือต่างหาก ออร์เตกามักถูกวิจารณ์จากอดีตสมาชิกพรรคว่า เขารวบอำนาจการนำไว้ในมือคนเดียว ทำลายกระบวนการประชาธิปไตยในพรรคและไล่สมาชิกที่หัวแข็งออกไป อีกทั้งปลุกกระแสความนิยมในตัวเขาจนฝ่ายตรงข้ามเสียดสีด้วยคำว่า "Orteguismo" หรือ "ลัทธิออร์เตกา"
ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ หน้าที่สำคัญในการวางแผนหาเสียงตกเป็นของนางโรซารีโอ มูริญโญ ภรรยาของออร์เตกา ซึ่งกลายเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลอันดับสองในพรรคไปแล้ว เป้าหมายในการหาเสียงคือ สร้างความนิยมในหมู่ประชาชนทุกกลุ่มให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สิ่งที่ทำให้ผู้สนับสนุนซานดินิสตามายาวนานถึงกับตกตะลึงก็คือ ออร์เตกาใช้คำขวัญ "สันติภาพ ความรัก และปรองดอง" เพื่อ "สมานฉันท์" ทางการเมืองกับอดีตปรปักษ์สำคัญอย่างแกนนำเก่าที่เคยเป็นบริวารของโซโมซาและขบวนการคอนทรา ถึงขนาดตั้งคนหนึ่งในกลุ่มนั้นขึ้นมาจ่อคิวเป็นรองประธานาธิบดี ธงสีแดงดำที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของซานดินิสตามายาวนาน เปลี่ยนไปใช้สีชมพูหวานแทน (แม้ว่าในการรณรงค์หาเสียงขององค์กรประชาชนจะยังใช้ธงแดงดำเหมือนเดิม) ส่วนเพลงประจำพรรคที่มีเนื้อร้องพาดพิงถึงการต่อสู้กับสหรัฐอเมริกา ก็เปลี่ยนไปใช้เพลงเกี่ยวกับความรักและการปรองดองด้วยทำนองเพลง "Give Peace a Chance" ของเดอะ บีทเทิ้ลส์ ในระหว่างการหาเสียง ชื่อของนายพลซานดิโนถูกเอ่ยถึงเพียงไม่กี่ครั้ง ส่วนชื่อของคาร์ลอส ฟอนเซกา ผู้ก่อตั้งพรรคซานดินิสตา เหมือนถูกลืมไปโดยสิ้นเชิง
ออร์เตกายังทำให้ชาวคริสต์ฝ่ายเทววิทยาแห่งการปลดปล่อย (Liberation Theology---เป็นกลุ่มคริสต์ศาสนาที่ผสมผสานแนวคิดของมาร์กซิสต์ มีอิทธิพลมากในละตินอเมริกา) ต้องใจหาย ด้วยการปวารณาตนเป็นคาทอลิคผู้เคร่งครัด ออร์เตกาประกาศว่าเขา "เกิดใหม่" พร้อมกับสร้างความสนิทสนมกับคาร์ดินัลสายขวาจัด ร่วมพิธีในโบสถ์เป็นประจำ ยอมแต่งงานตามพิธีทางศาสนากับคู่ชีวิตที่อยู่กินกันมานาน และที่ร้ายที่สุดคือ เขาทำให้กลุ่มเฟมินิสต์โกรธแค้น ด้วยการลงนามในแถลงการณ์ต่อต้านการทำแท้ง และสั่งให้สมาชิกสภานิติบัญญัติของพรรค FSLN ยกเลิกกฎหมายอนุญาตการทำแท้งในกรณีที่การตั้งครรภ์เป็นอันตรายต่อมารดา นี่เท่ากับเป็นการถอยหลังเข้าคลองไปอยู่ร่วมแถวกับชิลีและเอลซัลวาดอร์ ซึ่งเป็นสังคมที่หัวโบราณที่สุดในละตินอเมริกา ออร์เตกาทำทั้งหมดนี้เพื่อขอคะแนนเสียงและการสนับสนุนจากคริสตจักรและชาวคาทอลิคเคร่งศาสนา
ขบวนการสังคมและเอ็นจีโอในนิคารากัวต้องผิดหวังอย่างแรง เมื่อแกนนำในพรรค FSLN ยืนยันว่า จะดำเนินนโยบายเสรีนิยมใหม่ต่อไป นั่นหมายถึงการเปิดทางให้นักลงทุนจากต่างประเทศ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การลดหย่อนภาษีให้บรรษัทใหญ่ รวมทั้งเดินหน้าในการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกากลางหรือ CAFTA กับสหรัฐอเมริกา แม้ว่าในขณะเดียวกัน ออร์เตกาก็สัญญาว่าจะยุติความยากจน โดยประณามสภาพเลวร้ายที่เป็นอยู่ว่าเกิดจาก "ทุนนิยมป่าเถื่อน" (savage capitalism)
ถ้าจะมีการจัดอันดับเรื่องน่าขันขื่นในประวัติศาสตร์ละตินอเมริกา คำว่า "savage capitalism" ของออร์เตกาคงติดอันดับท็อปเท็นแน่นอน ออร์เตกายืมคำๆ นี้มาจากพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่สอง การที่วาติกันประณามระบบทุนนิยมน่าจะเป็นการดีก็จริง แต่ออร์เตกาช่างลืมง่ายเหลือเกินว่า พระสันตะปาปาพระองค์นี้เคยสร้างรอยบาดลึกในหัวใจชาวนิคารากัวไม่น้อยเหมือนกัน
เมื่อครั้งที่พระสันตะปาปาจอห์นปอลที่สองเสด็จเยือนกรุงมานากัว เมืองหลวงของนิคารากัวเมื่อ ค.ศ. 1983 หนุ่มสาว 17 คนที่เป็นสมาชิกขององค์กรยุวชนถูกฝ่ายคอนทราสังหาร และกำลังจะมีพิธีฝังศพและไว้อาลัยในจัตุรัสที่พระสันตะปาปาจะประกอบพิธีมิซซา แม่ของเยาวชนที่เสียชีวิตและประชาชนทั่วไปหวังว่า พระสันตะปาปาจะทรงกล่าวอะไรบ้างเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อความตายของคนหนุ่มสาวเหล่านี้ แต่พระสันตะปาปากลับเทศนาเรียกร้องให้ชาวนิคารากัวละทิ้ง "อุดมการณ์ที่ไม่เข้าท่า" เมื่อประชาชนที่มาเข้าเฝ้าร้องขอต่อพระสันตะปาปาให้พระองค์สวดแก่ผู้ตายและตะโกนคำว่า "เราต้องการสันติภาพ" พระสันตะปาปากลับไม่สนพระทัย รวบรัดจบพิธีและเสด็จกลับไปเลย แม้แต่ผู้ประกาศข่าวของบีบีซีก็ยังแสดงความคิดเห็นว่า นี่เป็นการประกอบพิธีมิซซาที่ "ผิดปรกติที่สุด" ในการดำรงตำแหน่งโป๊บของพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่สอง
แหล่งข่าวจากคนวงในบอกว่า ขณะที่ชาวนิคารากัวตะโกนคำว่า "เราต้องการสันติภาพ" พระองค์ทรงหันไปถามคนสนิทว่า ประชาชนพูดอะไร แต่คนใกล้ชิดเพ็ดทูลว่า คำพูดนั้นไม่มีความสำคัญและประชาชนเหล่านั้นเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ความที่พระสันตะปาปาชาวโปแลนด์มีประสบการณ์เลวร้ายกับระบอบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก มันจึงเหมือนการสะบัดผ้าแดงต่อหน้ากระทิงดุ ไม่นานหลังจากนั้น ด้วยคำแนะนำของคาร์ดินัลราทซิงเงอร์ (ผู้ต่อมาเป็นพระสันตะปาปาเบเนดิคท์ที่สิบหกองค์ปัจจุบัน) จึงมีการโยกย้ายบิชอปที่มีความคิดก้าวหน้าออกจากละตินอเมริกา แล้วแต่งตั้งบิชอปสายขวาจัดและอนุรักษ์นิยมเข้าไปแทน
แต่ใช่ว่าออร์เตกาจะไม่มีด้านดีเลย สำหรับชาวนิคารากัวที่เหนื่อยหน่ายกับความแตกแยกในประเทศ การปรองดองก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป ในระหว่างการรณรงค์หาเสียง พรรค FSLN ใช้วิธีหาเสียงในเชิงบวก เน้นการนำเสนอนโยบาย หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและไม่สาดโคลนใส่คู่แข่ง ในขณะที่พรรคฝ่ายขวาสองพรรคนั้น ถ้าไม่โจมตีออร์เตกา ก็หันมาโจมตีกันเอง
FSLN ยังหาเสียงอย่างเข้มข้น ร่วมมือกับนักกิจกรรมทางสังคม เข้านอกออกในถึงทุกประตูบ้าน มีการร่วมมือกับประชาชนจากรากหญ้าขึ้นมา และให้ความสำคัญกับเยาวชน ถ้าการจัดตั้งนี้ยังดำเนินต่อไป ไม่หมดสิ้นเฉพาะฤดูกาลเลือกตั้ง มันอาจเป็นสัญญาณถึงการจัดตั้งในภาคประชาชนที่เข้มแข็งขึ้น นอกจากนี้ พรรค FSLN ยังนำเสนอนโยบายที่ดี ในด้านสาธารณสุข การศึกษา การจ้างงานและที่อยู่อาศัย ปัญหาอยู่ที่จะทำได้จริงหรือไม่เท่านั้นเอง
ความหมายในชัยชนะของซานดินิสตา
แน่นอน ชัยชนะของพรรคซานดินิสตาอาจทำให้ฝ่ายซ้ายในโลกหลายคนสะใจเล็กๆ โดยเฉพาะเมื่อเห็นอาการฟาดงวงฟาดงาของอภิจักรวรรดิอเมริกัน อาทิ บทความของ Tariq Ali ที่ตั้งชื่อว่า "ประทีปแห่งความหวังถึงการฟื้นคืนชีพของความใฝ่ฝันโบลิวาร์" ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชัยชนะของออร์เตกาสะท้อนถึงความเบื่อหน่ายของประชาชนต่อการดำเนินนโยบายแนวเสรีนิยมใหม่ รวมทั้งความปรารถนาที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลง อันเป็นกระแสทั่วไปในละตินอเมริกา ซึ่งมีเวเนซุเอลาและโบลิเวียนำทางมาก่อน
แต่ช้าก่อน! เราอาจจะคาดหวังในทางที่ดีเกินไปสำหรับนิคารากัว อย่าลืมว่า หากนำเปอร์เซ็นต์ของคะแนนเสียงที่พรรคฝ่ายซ้ายสองพรรค กล่าวคือ FSLN และ MRS มารวมกัน จะได้คะแนนเสียงเพียง 44% ในขณะที่พรรคฝ่ายขวาสองพรรคได้เปอร์เซนต์ของคะแนนเสียงรวมกันยังมากกว่ากึ่งหนึ่งของคะแนนเสียงทั้งหมด ในประเทศที่ประชากร 80% ดำรงชีวิตอยู่ในความยากจน ประชาชนกว่าครึ่งประเทศก็ยังไม่ไว้ใจในโวหารทางการเมืองของสองพรรคที่มีคำว่า "ซานดินิสตา" ทั้งคู่
แต่ประเทศเล็กๆ ที่ยากจนอย่างนิคารากัวได้ให้บทเรียนทางการเมืองแก่โลกเป็นครั้งที่สอง นั่นคือ บทเรียนว่าด้วย "การยึดมั่นในหลักการของระบอบประชาธิปไตย" ชาวนิคารากัวสอนบทเรียนนี้ครั้งแรกใน ค.ศ. 1990 เมื่อพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายยอมก้าวลงจากอำนาจโดยดี ซึ่งต้องให้เครดิตแก่ดานีเอล ออร์เตกาที่ยอมรับผลการเลือกตั้งที่ตนพ่ายแพ้ และใน ค.ศ. 2006 พวกเขาก็ให้บทเรียนแก่โลกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อรัฐบาลพรรคฝ่ายขวายอมรับความพ่ายแพ้ และหลีกทางให้รัฐบาลฝ่ายซ้าย (หรือเคยเป็นฝ่ายซ้าย) อย่างสันติ
การก้าวขึ้นสู่อำนาจอีกครั้งของพรรค FSLN ยังเป็นความพ่ายแพ้เชิงสัญลักษณ์ของการดำเนินนโยบายทางการทูตของสหรัฐฯ ในภูมิภาคละตินอเมริกา รัฐบาลสหรัฐฯ ทุ่มเทอย่างมหาศาลมาหลายสิบปีเพื่อบดขยี้พรรคการเมืองเล็กๆ ในประเทศเล็กๆ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ แม้กระทั่งเมื่อพรรคการเมืองนั้นเปลี่ยนไปจนไม่ "ซ้าย" สักเท่าไร แต่คำว่า "ซานดินิสตา" ยังเป็นเสมือนยาขมในความรู้สึกของฝ่ายอนุรักษ์นิยมใหม่อเมริกัน เพราะคำๆ นี้สะท้อนถึงความใฝ่ฝันถึงอิสรภาพในการกำหนดอนาคตตัวเองของชาวละตินอเมริกัน อีกทั้งคำๆ นี้เคยโด่งดังไปทั่วโลก รัฐบาลสหรัฐฯ ยอมเผชิญกับการตำหนิติเตียนจากสหประชาชาติและนานาประเทศเพียงเพื่อบดขยี้คำๆ นี้ให้สิ้นซาก แต่การหวนคืนกลับมาอีกครั้งของ "ซานดินิสตา" คือลิ่มที่ตอกย้ำแทงใจดำของอภิจักรวรรดิอเมริกัน ไม่ต่างจากคำว่า "เวียดนาม" ในอดีต และ "อิรัก" ในปัจจุบัน
แน่นอน กลุ่มประเทศในละตินอเมริกาย่อมไม่พลาดโอกาสนี้ที่จะขยายอิทธิพลและพันธมิตรในอเมริกากลาง ไม่ว่ากลุ่มประชาคมเศรษฐกิจ Mercosur ที่มีบราซิลกับอาร์เจนตินาเป็นหัวเรือใหญ่ หรือกลุ่มประเทศในกรอบข้อตกลง ALBA ที่มีโบลิเวีย, คิวบาและเวเนซุเอลา หากออร์เตกาต้องการต่อสู้กับ "ทุนนิยมป่าเถื่อน" จริงๆ อย่างที่เขาพูด ---อย่างน้อยก็เพื่อรักษาฐานคะแนนเสียงในหมู่คนยากไร้เอาไว้--- เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องอาศัยความช่วยเหลือจากคิวบา
และโดยเฉพาะ "เจ้าบุญทุ่ม" อย่างประธานาธิบดีอูโก ชาเวซ ชาเวซ นั้นแสดงความกระตือรือร้นจนออกนอกหน้า เขาโทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับว่าที่ประธานาธิบดีออร์เตกา โดยเผยแพร่เสียงออกทางสถานีโทรทัศน์ในเวเนซุเอลา ชาเวซกล่าวว่า "ไม่มีครั้งไหนเท่าครั้งนี้ที่การปฏิวัติซานดินิสตากับการปฏิวัติโบลิวาร์จะผนึกกำลังกัน เพื่อสร้างสังคมนิยมแห่งอนาคตของศตวรรษที่ 21"
ชาวนิคารากัวและกลุ่มธุรกิจในอเมริกากลางย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสในการเข้าถึงตลาดของกลุ่มประเทศในอเมริกาใต้เช่นกัน ถ้านิคารากัวลงนามในกรอบข้อตกลง ALBA ประเทศอื่นๆ อย่าง ฮอนดูรัส ก็ต้องตามอย่างไม่ช้าก็เร็ว แทนที่เวเนซุเอลาจะถูกโดดเดี่ยวอย่างที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการ ไม่แน่ว่าในอนาคต สหรัฐอเมริกาต่างหากที่จะถูกโดดเดี่ยวในภูมิภาคนี้
อนาคตจะสดใสหรือมัวมนก็ตาม แต่สิ่งที่เราควรทำตอนนี้ก็คือ เราควรปรบมือให้ชาวนิคารากัวเกือบครึ่งประเทศที่ยืนหยัดท้าทายคำข่มขู่ของมหาอำนาจอภิจักรวรรดินิยมอีกครั้ง และมันไม่ใช่แค่คำขู่ลมๆ แล้งๆ ด้วย แต่เป็นการบดขยี้ด้วยอำนาจและทรัพยากรมหาศาล ชาวนิคารากัวเคยยืนหยัดต่อสู้มาแล้วครั้งหนึ่ง พวกเขาอาจเคยเหนื่อยหน่าย อ่อนล้าและพ่ายแพ้ แต่วันนี้พวกเขายืนยันที่จะออกแรงอีกครั้ง เพราะความใฝ่ฝันของซานดิโน, โบลิวาร์, ซาปาตา, ทูปัค อมารู ฯลฯ ไม่เคยตายไปจากใจของชาวละตินอเมริกาเลย
...........................................................
ข้อมูลประกอบการเขียน:
Tariq Ali, "A Beacon of Hope for the Rebirth of BolÃvar's Dream," The Guardian ; November 10, 2006.
Alejandro Bendana, "
Mark Engler, "The Return of Daniel Ortega," http://www.DemocracyUprising.com
Michael Hogan, "Lost Lives and Impoverished Souls: The Failure of the Church in
Gabriel San Román, "The Various Meanings of Ortega's Triumph," ZNet, November 17, 2006.
Toni Solo, "Varieties of Imperial Decline: The Nicaraguan Election," dissidentvoice.org,
November 14, 2006.
Arnaldo Zenteno, "Victory of the FSLN: Analysis and Concerns," ZNet, November 20, 2006.
http://en.wikipedia.org/wiki/Nicaragua
CIA, The World Factbook, https://www.cia.gov/cia/publications/factbook/index.html
นอม ชอมสกี, อเมริกาอเมริกาอเมริกา: วิพากษ์นโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา, (ภัควดี วีระภาสพงษ์ แปล), สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2544.