เบญจา ศิลารักษ์
สำนักข่าวประชาธรรม
จากกรณีที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้หารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ภาคเอกชนได้เสนอให้รัฐบาลพิจารณาจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมกับแก้ไขกฎหมายบางฉบับนั้น แม้ว่าขณะนี้รัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ จะไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ว่าจะดำเนินอย่างไรชัดเจนนัก แต่ก็น่าจับตามองว่าทิศทางของรัฐบาลชั่วคราวต่อการดำเนินกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจต่อไปจะเป็นเช่นไร ภายใต้สภานิติบัญญัติ ที่มีข่าวครึกโครมว่าคนที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คือนาย
รสนา โตสิตระกูล กล่าวว่า ในสมัยรัฐบาลทักษิณ นายมีชัย มีส่วนสำคัญในการร่างพ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งถือเป็นกฎหมายอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำลายหลักการขั้นพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ และทำลายบูรณภาพของอธิปไตย โดยการแบ่งแยกรัฐซ้อนรัฐ นายมีชัยเองเคยพูดว่า จะให้นักวิชาการให้ความเห็น แต่พอนักวิชาการขอดูก็บอกไม่ทันแล้ว ทูลเกล้าฯไปแล้ว ทั้งที่จริงควรเป็นเรื่องเปิดเผย อีกทั้งเนื้อหาก็มีจุดหมกเม็ดจำนวนมาก
ดังนั้น จึงน่าจับตามองว่าประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะเป็นใคร? จะเป็นนักกฎหมายในยุคทักษิณที่เคยยกร่าง พ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจพิเศษหรือไม่ ?
เขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ภาคใต้
ข้อมูลจากคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ระบุว่าโครงการพัฒนาเศรษฐกิจร่วม 3 ฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) ภาคเอกชนพยายามผลักดันมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2536 โดยได้รับการสนับสนุนจากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) เพื่อใช้เป็นกรอบหลักในการพัฒนาความร่วมมือเศรษฐกิจสามฝ่าย ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2536 มอบหมายให้สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำ "แผนแม่บทเพื่อการพัฒนาพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้" พร้อมทั้งจัดทำผลการศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้นสำหรับโครงการ
ปี 2536 - 2537 มีการดำเนินงานตามกรอบความร่วมมือส่งผลให้ปริมาณการค้าในพื้นที่ อินโดนีเซีย-มาเลเซีย และไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการขยายเวลาการเปิดด่าน มีการปรับปรุงกฎระเบียบการอำนวยความสะดวกเพื่อสนับสนุนการค้า การลงทุน คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2538 อนุมัติให้คณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ให้ความเห็นชอบรายงานผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์และกรอบแผนงานโครงการตามข้อเสนอของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) และให้ใช้เป็นกรอบหลักการพัฒนาความร่วมมือภายใต้โครงการพัฒนาเศรษฐกิจสามฝ่าย
แผนพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศมีทั้งสิ้น 10 สาขา ได้แก่ 1.สาขาท่องเที่ยว 2.สาขาการค้าระหว่างประเทศ และการค้าตามแนวชายแดน 3.สาขาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการเคลื่อนย้ายแรงงาน 4.สาขาเกษตร ประมงและการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ 5.สาขาพลังงาน 6.สาขาอุตสาหกรรม 7.สาขาโครงสร้างพื้นฐาน 8.สาขาคมนาคมและการขนส่งทางเรือ 9.สาขาบริการและการจัดการ 10.สาขาป้องกันและจัดการสิ่งแวดล้อม
ในส่วนของประเทศไทยมีสาขาย่อย เช่น ยุทธศาสตร์ความร่วมมือด้านการลงทุนขนาดใหญ่กับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนสะเดา-ปาดังเบซาร์ การพัฒนาทางเรือสงขลาเชื่อมกับท่าเรือปีนัง และปรับปรุงนิคมอุตสาหกรรมฉลุง เขตอุตสาหกรรมอื่นๆ และท่าเรือประมงปัตตานี
นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา จ.สตูล การทำนิคมอุตสาหกรรมฮาลาล ที่จ.ปัตตานี และอุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราแบบครบวงจร เป็นต้น
เงื่อนงำยกร่าง กม.เขตเศรษฐกิจพิเศษยุคทักษิณ
หากจะว่าไปแล้วเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้นี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจทั้งประเทศ ในสมัยรัฐบาลทักษิณมีความพยายามในการยกร่างกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นมา ทั้งนี้เพื่อเอื้ออำนวยให้การขยายโครงการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นไปด้วยความสะดวกยิ่งขึ้น
ทั้งนี้นาย
การยกร่างกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษในครั้งนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการอย่างกว้างขวาง อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนมีความเห็นว่า "เขตเศรษฐกิจพิเศษคือการดิ้นรนของนายทุนที่ทำงานไม่สะดวกในภาวะปัจจุบัน และเป็นการยึดเอาทรัพย์สมบัติของสาธารณะมาให้กับนายทุน โดยอ้างว่าเพื่อให้เกิดการแข่งขัน ซึ่งถือเป็นการแข่งขันอย่างประหลาด เพราะเป็นการแข่งขันด้วยทรัพย์สมบัติของคนอื่น"
แผนพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคที่จัดทำไว้แล้ว ได้แก่บรรดาเหลี่ยมเศรษฐกิจทั้งหลาย ซึ่งหากไม่มีกฎหมายก็จะดำเนินการอย่างล่าช้าเพราะติดขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ต้องผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ดังนั้นรัฐบาลทักษิณจึงยกร่างกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นมาเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็ว
เนื้อหาสาระของร่าง กม.เขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ เช่น การให้ต่างชาติถือครองที่ดินได้ 99 ปี การให้อำนาจการจัดการพื้นที่แบบเบ็ดเสร็จแก่ "คณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ" ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นกลับไม่มีอำนาจใดๆ นั่นเท่ากับว่าเปิดโอกาสให้กลุ่มทุนสามารถใช้ทรัพยากร ก่อปัญหามลพิษได้อย่างสะดวก
สิ่งที่น่าจับตาในรัฐบาลชุดนี้คือ สภานิติบัญญัติจะมีการรื้อฟื้น กม.เขตเศรษฐกิจพิเศษกลับมาอีกครั้งหรือไม่ ? หากใช่ จะไปด้วยกันได้หรือไม่กับเศรษฐกิจพอเพียงที่รัฐบาลพยายามกล่าวอ้างถึงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา.
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)