นายเท็ด เมเยอร์ อาจารย์มหาวิทยาลัยเว็บสเตอร์ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นผู้เขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก เรื่อง "8 ขวบ ธรรมยาตรา : กระบวนการเพื่อสุขภาวะของชุมชนลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา" เมื่อครั้งอยู่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิล สหรัฐอเมริกา เขาได้ร่วมถอดบทเรียนในการสัมมนา "สัมมนาถอดบทเรียน : หนึ่งทศวรรษธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลา" เมื่อวันที่ 16 - 18 ตุลาคม 2549 ที่คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
สคริปท์ที่เขาเตรียมเพื่อการสัมมนานี้น่าสนใจ ในฐานะที่มันเป็นมุมมองของคนร่วมถอดบทเรียนที่มีต่อการใช้ศาสนธรรมเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม
...................................................
บทเรียนจากการเดินธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลา
ธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลาเปิดโอกาสในฆราวาสและนักบวชบางท่านได้เติบโตด้านใน ได้ขัดเกลาตัวเอง ก็คือได้ปฏิบัติธรรม วิธีปฏิบัติในการเดินธรรมยาตรามีหลายรูปแบบ
1. เดินเท้า
2. อยู่แบบเรียบง่าย
3. สัมผัสและรับรู้ความจริงของธรรมชาติแวดล้อม
4. สัมผัสและรับรู้ความจริงของสังคมรอบข้างทะเลสาบสงขลา
5. ฟังความทุกข์ของคนที่อยู่บริเวณลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา อย่างให้เกียรติผู้พูด
6. เผชิญหน้ากับความงดงามของตัวเองและเพื่อนมนุษย์เวลาเอื้อเฟื้อหรือสามัคคีกันดี
7. เผชิญหน้ากับกิเลสของตนเองและเพื่อนมนุษย์เวลาเห็นแก่ตัว และพร้อมที่จะขัดแย้งพร้อมที่จะด่า
หรือพูดอีกแง่หนึ่งร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคณะธรรมยาตราตลอด 24 ชั่วโมง >>> สร้างเวทีให้เห็นตัวตนของเราเองและของเพื่อน
พูดง่ายๆ ก็คือทุกส่วนของการเดินธรรมยาตราอาจถือเป็นการปฏิบัติธรรมได้ นี่คือบทเรียนแรกที่อยากพูดถึง การที่การเดินธรรมยาตราทั้งหมดเป็นการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เพียงแคการทำวัตร การนั่งภวนา การเดินเท้า
ไม่แน่ใจว่าบทเรียนนี้ได้มาอย่างไรหรือจากใคร มีคนเคยบอกผมว่า (การที่คนเดินได้บทเรียนแบบนี้) ขึ้นอยู่กับผู้นำทางธรรมะที่ดี หรือพระที่เก่ง ซึ่งด้านหนึ่งเห็นด้วย แต่ว่าอีกด้านกลับรู้สึกว่า ได้บทเรียนนี้จากหลายฝ่าย จากเด็กที่เดินแบบเงียบ แต่ก็สังเกตได้ว่าสนุก จากคนที่เอื้อเฟื้อและเสียสละ จากคนที่คอยเตือนว่า เอ๊ะ พอคุณรู้สึกอยากจีบผู้หญิงและจีบเลย โดยไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์ หรือความรู้สึกของคนอื่น จากพระที่นำการภาวนาอย่างลึกซึ้งและเข้าใจง่าย
พูดแบบนี้ก็คือการเน้นการปฏิบัติธรรมในการเดินธรรมยาตรา ในที่สุดเป็นการดูถูกปัญหาของชาวบ้านหรือไม่ เป็นการให้ความสำคัญน้อยเกินไปกับปัญหาสิ่งแวดล้อมหรือการเมืองหรือไม่
คำตอบของผมคือไม่ใช่ เพราะว่าในการเดินธรรมยาตราเป็นการเคลื่อนไหวสังคมอย่างจริงจัง ที่เข้าใจว่า ปัญหาด้านใน มันเชื่อมโยงกันอยู่แล้วกับปัญหาด้านนอก
ขอย้ำความทรงจำเรื่องนี้ว่า
การเคลื่อนไหวสังคมแบบนี้ค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์มนุษย์ การก้าวเท้าเพื่อพัฒนาจิตใจมีตั้งแต่นานมากในหลายที่ แต่การเชื่อมโยงการพัฒนาจิตใจกับเป้าหมาย ด้านนอก เป้าหมายทางด้านสังคม ค่อนข้างใหม่
ตัวอย่างที่ชัดเจน มีตั้งแต่ประมาณ 75 ปีที่แล้ว เมื่อคานธี (มหาตมะ คานธี) นำการเดินเท้าไปที่ทะเล ระยะทางประมาณ
การเก็บเกลือก็เป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนว่า ไม่ยอมอำนาจและกฎหมายของชาวอังกฤษอีก(ต่อไป)แล้ว
การที่เป้าหมายของคานธีชัดเจน ทำให้เยาวชนในทุกหมู่บ้านที่คานธีผ่าน ร่วมเดินจนในที่สุดมีถึง 3,000 คน เดินเท้าด้วยกัน
นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชของประเทศอินเดีย
ในการต่อสู้ของคานธีใช้สันติวิธีตลอด ซึ่งมีหลักการว่า คู่กรณีที่ใช้อำนาจอย่างรุนแรงกับเรา ยังเป็นคนที่มีศักดิ์ศรี เราไม่ควรใช้ความรุนแรงกับเขา คนที่ร่วมต่อสู้กับคานธีต้องมีพัฒนาการด้านในด้วย เพราะว่าในตอนนั้น นักกิจกรรมโดนตีโดนฆ่าด้วย
คนที่ได้บทเรียนจากการเคลื่อนไหวของคานธีและลูกสิตคานธีคนสำคัญ ก็คือคนอเมริกันชาวคริสต์ มีชื่อว่า มาร์ติน ลูเทอร์ คิง ซึ่งนำการเดินเท้าเพื่อเรียกร้อง สิทธิของคนผิวดำและคนจน ที่จะลงทะเบียนเพื่อออกเสียงในการเลือกตั้งทางการเมืองในประเทศของเขาเอง
การเคลื่อนไหวของมาร์ติน ลูเทอร์ คิง ก็ใช้สันติวิธีเช่นกัน ซึ่งการเคลื่อนไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นแค่ 50 ปีที่แล้ว ที่สหรัฐอเมริกา
อีกกรณีที่น่าสนใจ เป็นผู้หญิงที่ตั้งชื่อตัวเองว่า Peace Pilgrim ซึ่งหมายความว่า ผู้เดินเท้าเพื่อแสวงหาสันติภาพ ในช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกาทำสงครามกับเกาหลี ผู้หญิงคนนี้ตัดสินใจว่า จะข้ามประเทศสหรัฐอเมริกาโดยการเดินเท้า
มีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ได้แก่ 1.ยุติการทำสงครามในเกาหลี 2.ตั้งกระทรวงสันติภาพ เป็นกระทรวงใหม่ของรัฐบาลอเมริกัน แล้วก็ 3.ขอให้สหประชาชาติช่วยกันกดดันให้ลดการผลิตและค้าขายอาวุธ
มีวันหนึ่ง Peace Pilgrim ตัดสินใจว่าจะเดินเท้าตลอดชีวิตเพื่อสันติภาพ ที่น่าสนใจก็คือ เขาเริ่มดำเนินชีวิตคล้ายๆ กับพระธุดงค์ มีเสื้อผ้าชุดเดียว ไม่ใช้เงิน และกินข้าวที่คนอื่นเอามาให้เท่านั้น โดยส่วนใหญ่แล้ว ไม่เคยอดมากกว่า 4 มื้อ เขาเคยบอกว่า ขออุทิศชีวิตของฉันให้เป็นการสวดมนต์เพื่อสันติภาพ
ขอโทษที่ใช้เวลาค่อนข้างเยอะในการพูดถึงกรณีอื่น ที่ไม่ได้เป็นกรณีธรรมยาตรา แต่พูดถึงเรื่องนี้เพราะว่า บทเรียนของการเดินธรรมยาตราส่วนหนึ่ง คล้ายๆกับบทเรียนของกลุ่มหรือคนที่ผ่านมา ที่เคยใช้สันติวิธี ที่เคยเน้นการขัดเกลานักเคลื่อนไหวสังคมเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการเคลื่อนไหวสังคมอย่างสันติและมีประสิทธิภาพ
บทเรียนจากกระแสการเคลื่อนไหวสังคมแบบนี้ซึ่งเคยใช้ในการดินเท้า ค่อนข้างบ่อย ก็คือ
1. เวลาร่วมการฝึกฝนตัวเองด้านในกับเป้าหมายทางสังคมที่ชัดเจนและยุติธรรม การเดินเท้ามีพลังมาก ทั้งในผู้เดิน ในคณะเดิน (ถ้ามี) และในสังคมรอบข้าง
2. ผู้เดินส่วนใหญ่จะเข้าใจปัญหาและกลไกทางสังคมหรือทางการเมืองอย่างลึกซึ้งกว่าเดิม
3. จากประสบการณ์การอยู่แบบเรียบง่ายในช่วงเวลาเดิน ผู้เดินบางท่านจะเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างถาวร
4. จากการฝึกฝนตัวเองและเสียสละสามัคคีกับคนอื่นอย่างมีวินัย ผู้เดินจะสัมผัสและรับรู้พลังที่เกิดขึ้นในใจและในคณะเดิน พูดอีกนัยหนึ่ง การเดินแบบนี้มีพลังสร้างผู้นำในสังคม แล้วก็มีพลังสร้างความผูกพันระหว่างคนเดิน ซึ่งในที่สุดอาจกลายเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับคนอื่นได้ และอาจจะรวมไปถึงสังคมรอบข้างได้
อีกสาเหตุหนึ่งที่พูดกรณีนานาชาติ เพราะบทเรียนของธรรมยาตราไม่ได้เป็นบทเรียนของกลุ่มที่ประชุมอยู่ที่นี่อย่างเดียวแต่เป็นบทเรียนที่อาจจะกระจายไปที่อื่นๆด้วย ซึ่งหมายถึงว่า การเคลื่อนไหวสังคมอย่างสันติของธรรมยาตรา อาจมีความสำคัญมากกว่าที่คิด เพราะว่าเป็นการทดลองดูว่า ถ้าจะเอาพื้นที่ใหม่ ก็คือทะเลสาบสงขลา ถ้าจะเอาประเด็นใหม่ ก็คือธรรมะกับสิ่งแวดล้อม ได้ผลอะไรบ้าง ได้บทเรียนอะไรบ้าง และในที่สุดอาจจะเป็นบทเรียนที่นักเคลื่อนไหวอย่างสันติ(วิธี) ที่มุ่งที่จะศึกษาตนเอง เติบโตด้านใน คงได้ประโยชน์ด้วย
บทเรียนของธรรมยาตรา
ธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลามีลักษณะบางอย่างที่ทำให้การประสานงาน การจัดและการบรรลุเป้าหมายค่อนข้างยาก ลักษณะเหล่านี้ก็คือ
1. เป้าหมายมันกว้าง ขอยกเป้าหมายขึ้นมาทบทวน คือ
- การประยุกต์ใช้ศาสนธรรมในการเปลี่ยนแปลงสังคม
- การประยุกต์ใช้ศาสนธรรมในการพัฒนาตนเอง
- การสร้างจิตสำนึกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น
- เครือข่ายพระสงฆ์รอบทะเลสาบสงขลา
- การประสานความร่วมมือระหว่างกลุ่ม องค์กรและชุมชนในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา
- ความร่วมมือระหว่างศาสนา ในการหาแนวทางอนุรักษ์และฟื้นฟูทะเลสาบสงขลา
ในความรู้สึกของผมเป้าหมายมันไม่ผิด แล้วก็มันกว้างเกินไป แต่ว่าความกว้างทำให้เกิดความเสี่ยง 3 อย่าง
1. เสี่ยงที่จะเสียความชัดเจนในเรื่องเป้าหมายหลัก
2. เสี่ยงที่จะท้อแท้ โดยเฉพาะถ้าเข้าใจว่าธรรมยาตรเหมือนพรรคการเมืองหรือเอ็นจีโอที่ต้องตอบสนองความต้องการของชาวบ้าน ถ้าเข้าใจอย่างนี้และในที่สุดไม่ได้แก้ปัญหา เรารู้สึกล้มเหลวบ้าง
3. บางครั้ง ผมรู้สึกว่ามีการยึดติดกับรูปแบบของธรรมยาตรา แล้วในที่สุดก็สร้างภาระกับตัวเองมากเกินไป (อย่างเช่นถือป้ายเยอะเกินไป) ต้องมีการตีกลอง ต้องมีอย่างน้อยปริมาณคนประมาณนี้
ตรงนี้ถ้าการประยุกต์ใช้ศาสนธรรม ทั้งในการพัฒนาตนเอง ในการเปลี่ยนแปลงสังคมและในการฟื้นฟูธรรมชาติ เป็นเป้าหมายหลัก เป้าหมายอื่นก็ตามมาด้วย ซึ่งหลายคนอาจจะเข้าใจอย่างนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไม ธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลาต้องทำอะไรเยอะแยะ ทำไมต้องเครียดกับภาระเยอะ หรือยึดติดกับรูปแบบที่เคยมี
ถ้าวันหนึ่งมี 6 คน ได้รับพรจากกลุ่มแกน เดินเงียบๆ ถือป้ายเดียว ฟังทุกข์ของพลเมืองลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา แล้วก็ให้กำลังใจเขา เก็บข้อมูลและแบ่งปันบ้าง จะพอหรือไม่ ถือเป็นธรรมยาตราไหม ผมคิดว่าได้
2. พื้นที่มันกว้างมาก
ถ้าเปรียบเทียบธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลากับธรรมยาตราที่อื่น อย่างเช่นที่เขาสมโภช จังหวัดลพบุรี หรือที่แม่น้ำลำปะทาว ที่ชัยภูมิ ธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลาต้องจัดในพื้นที่กว้างมาก ซึ่งเป็นการท้าทายอีกอย่างหนึ่ง ในบางมุมของลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาคงจะเจอคณะธรรมยาตราน้อยมาก
คำถามที่อยากตั้งไว้ที่นี่คือ ธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลาเคยจัดการกับการท้าทายแบบนี้อย่างเพียงพอไหม
3. ธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลามีลักษณะเปิดกว้าง เปิดโอกาสให้หลายๆ ฝ่ายมีส่วนร่วมได้ ไม่มีเจ้าของผู้เดียวหรือฝ่ายเดียว
- รูปแบบของธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลาไม่เหมือนรูปแบบของธรรมยาตราของหลวงพี่สมบูรณ์ที่เขาสมโภชหรือของหลวงพี่ไพศาลที่ชัยภูมิ ในแง่ที่ว่า อย่างน้อยในเรื่องธรรม มีเจ้าภาพหรือผู้จัดค่อนข้างชัดเจนถึงแม้ว่ามีการมีส่วนร่วมของหลายๆผ่าย ยังมีผู้นำที่ชัดเจน แล้วก็ผู้นำเป็นพระ ซึ่งท่านมีโอกาสและความน่าเชื่อถืออย่างเพียงพอ ที่จะจัดความเข้าใจของท่านว่า การประยุกต์ใช้หลักศาสนธรรมน่าจะเป็นอย่างไร
- ในกรณีธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลามันเปิดกว้างมาก ซึ่งบางครั้งดูเหมือนว่าธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลาพยายามที่จะรับทุกคนและทุกมุมมอง ดูเหมือนว่าประนีประนอมระหว่างหลายๆผ่ายจนเสียเอกลักษณ์ของมันเอง
๔. ความเข้าใจของหลายๆฝ่ายเรื่องการประยุกต์ใช้หลักศาสนธรรมหรือแม้แต่เรื่องความหมายของคำว่า ธรรมะเอง ไม่เหมือนกัน
- ธรรมยาตรามุ่งที่จะปฏิบัติธรรมและประยุกต์ใช้หลักศาสนธรรม ในท่ามกลางสังคมที่ถูกวัตถุนิยม บริโภคนิยม และอำนาจนิยมครอบงำโดยเป็นสังคมที่เข้าใจในขณะเดียวกันว่าเป็นสังคมพุทธอยู่แล้ว
- ธรรมยาตราพึ่งพาสถาบันสงฆ์ ซึ่งในบางแห่งยังคงเป็นศูนย์กลางของหมู่บ้าน เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า และเป็นแหล่งปฏิบัติธรรม แต่ว่ามีปัญหาอีกหลายอย่างด้วย เช่น พระคุ้ยเคยกับการทำงานผู้เดียว เจ้าอาวาสยังคงค้นเคยกับการสั่ง สถาบันสงฆ์เคยได้รับอิทธิพลจากสังคมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะจากระบบราชการ จากวัตถุนิยม บริโภคนิยมและชาตินิยมอีกด้วย
- ถ้ารวมการท้าทาย 2 อย่างนี้ว่า ธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลาเปิดกว้างและมีความเข้าใจอย่างหลากหลาย เรื่องการประยุกต์ใช้ธรรมะ ก็มีปัญหาตามมาด้วย ตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับผมก็คือ เวลาพระที่เพิ่งร่วมเดิน และยังคงใหม่กับกิจกรรมธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลา แต่ขึ้นไปเทศน์แล้วก็บางครั้ง พูดตรงๆ เทศน์แบบไร้สาระและผิดกับเป้าหมายของธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลา ทำให้ความเด่นชัดของธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลาในฐานะที่เป็นสื่อกับสังคมรอบข้าง เสื่อมไป
ถึงแม้ว่า ธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลา มีลักษณะเปิดกว้างในท่ามกลางสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความเข้าใจหลายอย่างเกี่ยวกับธรรมะ ธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลายังสำคัญ เพราะว่าไม่มีเจ้าของฝ่ายเดียวและไม่มีคำตอบที่ตายตัวว่า ธรรมะคืออะไร(ไม่มีสูตร การเคลื่อนไหวแบบไม่มีสูตร แต่เป็นการสร้างพื้นที่ใหม่ เพื่อพิจารณาว่า การปฏิบัติธรรมคืออะไร เป็นการทดลองดูว่า ในสังคมใหม่ การปฏิบัติธรรมหมายถึงว่าอะไร
ยังไม่ได้พูดถึงผลในทางสังคมที่ได้มาจากการเดินธรรมยาตรา แต่ว่าสร้างความดีเด่นในแต่ละคนที่ร่วมปฏิบัติธรรมและเคลื่อนไหวสังคมอย่างสันติ แม้ว่าจะมีจัดในรูปแบบไหน แต่น่าจะมีตรงนี้ ธรรมยาตราเพื่อทะเลสาบสงขลา มีศักยภาพสูงมาก และควรจะได้รับความเกื้อหนุนต่อไป
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)