โดย ซาเสียวเอี้ย
ความแรงของหนังเรื่อง "อำมหิตพิศวาส" หรือ The Passion ที่นักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง ศรัณยู วงศ์กระจ่าง โดดลงมารับผิดชอบกระบวนการทำงานเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการพลิกบทบาทมารับบทนำแบบร้ายๆ ดูบ้าง และช่วยผู้สร้างโปรโมทหนังอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ที่หนังเรื่องนี้ถูก กบว.ไทยเซ็นเซอร์ฉากรุนแรงและสยิวกิ้วไปหลายตอน แต่ก็ยังถือได้ว่านี่เป็นความพยายามที่จะสร้างพัฒนาการให้กับทั้งนักแสดงและแวดวงคนทำหนังไปด้วยในตัว ซึ่งดูเหมือนว่าหนังเรื่องนี้จะฮือฮาพอสมควรในการสร้างกระแสอื้อฉาวเป็นการเรียกความสนใจจากคนดู
เอาแค่ฉากที่นักแสดงหญิง 2 คน อย่าง "ตั๊ก" บงกช คงมาลัย และ ปรางทอง ชั่งธรรม ถูกไล่ล่าจากคนโรคจิตที่รับบทโดยศรัณยูก็ถูกสื่อนำมาเล่นอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากข่าวอย่างนี้จะขายได้แล้ว การช่วยกันโปรโมทหนังก็ถือเป็นธรรมเนียม "น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า" ของวงการบันเทิงไทยมานานโข
ฉากไล่ล่าที่นางเอกสาวอย่างบงกชต้องรับบทนำ มีทั้งฉากที่เธอถูกข่มขู่อย่างรุนแรง (โดนปืนจ่อหัว) และต้องทนกับการคุกคามทางเพศ (ฉากลวนลามในโรงหนัง, ฉากในห้องน้ำ และฉากที่เธอต้องวิ่งหนีฆาตกรโรคจิตในเรื่อง)
ขณะเดียวกัน นักแสดงสมทบอย่างปรางทอง ก็รับบทพนักงานทำความสะอาดที่ถูกละเมิดทางเพศจากผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าในบริษัท
สถานการณ์ทั้งหมดที่พูดมา เป็นความอื้อฉาวที่อาจยอมรับได้ว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยจริงๆ และข่าวการคุกคามทำนองนี้ก็หาอ่านได้มากมายตามหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน แต่การที่จับเอาทุกอย่างมาไว้ในหนังเรื่องเดียวกัน และเน้นภาพความรุนแรงและการคุกคามตลอดเวลา ทำให้เกิดความรู้สึก (ส่วนบุคคล) ว่า มันมีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องนำภาพเหล่านั้นมาฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหนัง
ประเด็นนี้ทำคงให้เราต้องมาถกเถียงกันอีกครั้งว่าความหวังดีที่ต้องการจะชี้ให้เห็นว่าสังคมนี้มีด้านมืด จะสามารถนำไปสู่หนทางการแก้ปัญหาอย่างไรได้บ้าง
ถ้าหากหนังต้องการ "เตือนภัย" ให้ผู้หญิงทั้งหลายตระหนักรู้ถึงสถานะที่ตกอยู่ภายใต้ "ภัยคุกคาม" ทั้งแบบเงียบและโจ่งแจ้ง ถึงจะใจร้ายเกินไปหน่อยก็คงต้องพูดว่านี่เป็นประเด็นที่เก่าสมัยพระเจ้าเหาพระเจ้าเห็บเลยทีเดียว
ผู้หญิงในสังคมไทยถูกสั่งสอนและถูกจับใส่กรอบฝังหัวตายตัวมานานแล้วว่า การกระทำใดๆ ก็ตาม อาจนำไปสู่ความไม่ดีไม่งามทั้งหลายทั้งปวงได้ทั้งนั้น
ผู้หญิงดีๆ จึงต้องสุภาพอ่อนน้อม ไม่ก๋ากั่น ไม่แต่งตัวโป๊ ไม่ไปมาไหนลำพังทั้งยามวิกาลและยามที่ฟ้าสว่างโร่ ต้องไม่ไปตามสถานที่อโคจร ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เพื่อที่จะได้ไม่ถูกเหมาว่าเป็น "ผู้หญิงไม่ดี" และยังมีคำว่า "ไม่" อีกสารพัดไม่
แต่ความเป็นจริงอีกด้านหนึ่งก็บอกเราว่าต่อให้ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อคุกคามเป็นคนดี สุภาพ เรียบร้อย แต่งกายมิดชิด แต่บังเอิญไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา สังคมบางส่วนก็พร้อมจะพิพากษาว่าผู้หญิงคนนั้นหมดคุณค่าความดีของเธอไปแล้ว...
คำเตือนภัยที่เป็นจุดขายของหนัง "อำมหิตพิศวาส" จึงไม่ต่างอะไรจากข้อห้ามร้อยแปดพันประการที่ติดตัวผู้หญิงไทยมาตั้งแต่เกิด
ความพยายามที่หนังเรื่องนี้จะสะท้อนให้สังคมตระหนักว่าภัยเงียบจากคนโรคจิตที่เห็นคนอื่นๆ เป็นเพียงวัตถุทางเพศคือเรื่องที่ต้องระมัดระวัง จึงเป็นประเด็นที่ช้ำชอกและไม่น่าสนใจเอาเสียเลย
แทนที่คนทำหนังซึ่งเป็น "เพศชาย" จะสะท้อนให้คนในสังคมเห็นประเด็นใหม่ๆ ที่ผู้ชายสามารถกระทำได้เพื่อเปลี่ยนค่านิยมดั้งเดิมเกี่ยวกับสิทธิอันเท่าเทียมกันระหว่างเพศและการกดขี่ข่มเหงผู้ที่อ่อนแอกว่า ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงหรือผู้ชายที่มีรสนิยมทางเพศแตกต่างไปจากเรา (เช่น กลุ่มเลสเบียนหรือโฮโมเซ็กชวล) หากหนังกลับตอกย้ำความเชื่อเดิมๆ ว่าผู้หญิงคือฝ่ายที่ต้องระมัดระวัง เพราะการที่ผู้ชายเกิดอาการจิตทรามขึ้นมานั้น-มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้!
การคุกคาม ข่มขู่ ข่มขืน และไล่ล่า เพื่อบีบคั้นให้ตัวละครหญิงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้และเอาคืนจากผู้กระทำจึงเป็นเพียงการ "ผลักภาระ" ให้ผู้ถูกกระทำอีกครั้งหนึ่ง
ความปรารถนาดีที่คนทำหนังเรื่องนี้กล่าวย้ำอยู่ตลอดเวลาจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจอะไรเลย ในทางตรงกันข้าม การนำเสนอภาพให้นักแสดงหญิงทั้งสองคนต้องโดนลวนลามนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งทำให้เนื้อหาของหนังเรื่องนี้ถูกลดทอนความสำคัญลงไป จนกลายเป็นหนังกระตุ้นอารมณ์แบบดาดๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้น
การพูดว่าหนังเรื่องนี้ล้มเหลวในการสื่อสารก็ไม่น่าจะผิดจากความเป็นจริงนัก และหากความหวังดีทั้งหลายทั้งปวงที่ผู้สร้างต้องการอุทิศเพื่อสังคมจะมีอยู่จริง สิ่งที่ควรทำ น่าจะเป็นการมองบริบทแวดล้อมทางสังคมให้กระจ่างเสียก่อนที่จะคิดทำหนังแนวนี้
เพราะไม่อย่างนั้น ผู้หญิงทุกคน (ไม่เฉพาะนักแสดงนำและนักแสดงในหนัง) คงไม่วายจะโดนข่มขืนซ้ำอีกนับครั้งไม่ถ้วนด้วยแนวคิดการผลักภาระให้คนอื่นรับผิดชอบการเฝ้าระวังเพียงฝ่ายเดียวอย่างที่เป็นอยู่