ประชาไท - 6 ก.ย. 49 คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.)ออกแถลงการณ์กรณีรัฐสร้างสงครามสื่อเพื่อสร้างสงครามประชาชน ความว่าในสถานการณ์ต่อสู้ทางการเมืองปัจจุบัน  สื่อมวลชนกลายเป็นสมรภูมิรบของสงครามข้อมูลข่าวสาร ความคิดเห็น ความรู้สึก เพื่อแย่งชิงมวลชนระหว่างกลุ่มพลังต่างๆ ในสังคม สื่อมวลชนได้ถูกทำให้เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ทางอำนาจที่แหลมคมยิ่งขึ้น เมื่ออำนาจรัฐไม่สามารถควบคุม "สื่อเอกชน" (หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต โทรทัศน์ผ่านระบบเคเบิลและดาวเทียม ฯลฯ) ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ทำให้สื่อเอกชนมีบทบาทสำคัญในการเป็นทางเลือกของข้อมูลข่าวสารที่ต่างไปจาก "สื่อของรัฐ" ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของกลุ่มพลังประชาชนทั่วประเทศที่ร่วมตรวจสอบระบอบทักษิณมากขึ้น 

เนื้อความในแถลงการณ์กล่าวอีกว่า ได้เห็นความพยายามของอำนาจรัฐและกลุ่มทุนการเมืองใช้วิธีแยบยลสร้าง "สื่อเอกชน" ขึ้น เพื่อต่อสู้ทางการเมือง ทั้งที่รัฐบาลรักษาการนำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรหัวหน้าพรรคไทยรักไทยใช้และควบคุมสื่อของรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ ผ่านสถานีวิทยุในเครือกรมประชาสัมพันธ์ กองทัพ อสมท และสถานีโทรทัศน์ระดับชาติทุกช่อง แต่ไม่เคยเปิดโอกาสให้พรรคฝ่ายค้านและภาคประชาสังคมได้ใช้สื่อวิทยุ-โทรทัศน์ของรัฐอย่างเป็นธรรมเลยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา     

นอกจากนั้น เครือข่ายอำนาจรัฐยังมีความพยายามเข้าไปแทรกแซงสื่อภาคประชาชนเช่นวิทยุชุมชนเพื่อใช้โฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองในระดับท้องถิ่นอีกด้วย คปส. เห็นว่าการขยายอาณาจักรสื่อรัฐ-สื่อเอกชน-สื่อประชาชน โดยผู้มีอำนาจรัฐเช่นนี้ จะส่งผลให้การเมืองวิกฤติยิ่งขึ้น  เพราะสร้างความสับสนต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันสื่อสารมวลชนในสายตาประชาชนและนานาชาติ สถาบันสื่อควรทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจรัฐอย่างเป็นอิสระและไม่ขึ้นตรงกับอำนาจทางการเมืองใดๆ

รัฐสามารถใช้สื่อของตนเอง (ทุกช่องทาง) ในการปล่อยข่าว สร้างกระแส ยั่วยุ และทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามได้โดยตรงและครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงสื่อจากทุกระดับชั้น ในขณะเดียวกันย่อมก่อให้เกิดกระแสต้านมากยิ่งขึ้น

เมื่อประชาชนเกิดความสับสน  นักวิชาชีพสื่อถูกแบ่งแยก  รัฐบาลรักษาการยังคงความได้เปรียบด้านสื่อ ทำให้ช่องว่างในการรับรู้ความจริงขยายความขัดแย้งแบ่งขั้วชัดเจนขึ้น  สื่อมวลชนจะเป็นทั้งเครื่องมือและตกเป็นเป้าหมายของการใช้ความรุนแรงเพื่อแก้วิกฤตทางการเมืองในท้ายที่สุด

คปส. ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลรักษาการยุติการปั่นหัวประชาชนจากการบิดเบือนสื่อรัฐ-สื่อเอกชน-สื่อประชาชน ข้อสองรัฐต้องยุติการสร้างสื่อเอกชนขึ้นมาเพื่อเป้าหมายเฉพาะกิจทางการเมืองที่ทำให้เกิดความได้เปรียบของพรรคไทยรักไทยในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ข้อสามให้รัฐหยุดแทรกแซงสื่อท้องถิ่นและวิทยุชุมชนทุกพื้นที่เพื่อหาเสียงทางการเมือง ข้อสี่ รัฐต้องเปิดพื้นที่ให้พรรคฝ่ายค้านและกลุ่มพลังนอกสภาได้ใช้สื่อของรัฐในการเสนอข้อเท็จจริงและความเห็นอย่างเสมอภาค

ข้อสุดท้าย นักวิชาชีพสื่อและประชาชนต้องรวมกลุ่มเฝ้าระวัง ไม่ปล่อยให้อำนาจรัฐสร้างสงครามสื่อเพื่อสร้างสงครามประชาชนอีกต่อไป