ประชาไท- 10 ส.ค.2549    เครือข่ายพันธมิตรเพื่อการปฏิรูปการเมืองภาคเหนือ แฉความล้มเหลวของระบอบทักษิณ ก่อนร่วมกันแถลงข่าว "หยุดระบอบทักษิณ" ร่วมกันตรวจสอบทัวร์นกขมิ้นภาคเหนือ" พร้อมเปิดเวบไซต์- ตู้ปณ.หวังดึงกลุ่ม"โนโหวต"ทั่วประเทศ ร่วมตรวจสอบพฤติกรรมทางการเมือง

ที่ศูนย์สตรีศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายนิคม พุทธา โครงการจัดการลุ่มน้ำปิงตอนบน และตัวแทนเครือข่ายพันธมิตรเพื่อการปฏิรูปการเมืองภาคเหนือ ได้ออกมาวิพากษ์ถึงความล้มเหลวของระบอบทักษิณ โดยกล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ผ่านมา จะเห็นได้ชัดว่าล้วนเกี่ยวข้องกับฐานทรัพยากร ดิน น้ำ ป่าเกือบทั้งสิ้น ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าเรื่องการปฏิรูปที่ดินซึ่งกลับไปเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มนายทุน ในการออกโฉนด มีการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ในขณะที่ชาวบ้านพยายามเสนอให้มีการปฏิรูปที่ดินโดยชุมชน หรือเรื่อง พ.ร.บ.ป่าชุมชน กลับไม่สนใจนำไปแก้ไขปัญหา กลับมีการพยายามให้คนยากคนจนออกจากป่า แต่ตัวแทนของรัฐเองกลับเอาป่าไปแสวงหาผลประโยชน์เสียเอง ซึ่งดูได้ชัดเจนก็คือ โครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี และอุทยานช้าง เป็นต้น

"โครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีนั้น ถือว่า เป็นโครงการของรัฐที่ผิดกฎหมาย พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติอย่างชัดเจน นอกจากนั้นยังมีการใช้ประโยชน์จากสัตว์ป่า ที่มุ่งในทางธุรกิจการค้าสัตว์ป่า ซึ่งก็ผิด พ.ร.บ.สัตว์สงวนคุ้มครองฯ นอกจากนั้น โครงการดังกล่าวไม่มีการทำ EIA มาตั้งแต่ต้น ไม่เคยให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม ในการแสดงความคิดเห็น แต่กลับมีการปกปิดข้อมูลมาโดยตลอด"

ตัวแทนเครือข่ายพันธมิตรฯ ภาคเหนือ ยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลทักษิณ ยังสร้างปัญหาในเรื่องการจัดการน้ำ ซึ่งมีการผูกขาดใช้อำนาจรัฐจากส่วนกลางโดยการออกกฎหมายน้ำ เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มทุนต่างๆ เข้ามากุมอำนาจ มีการมุ่งพัฒนาด้านอุตสาหกรรม โดยละเลยในส่วนของภาคเกษตรกร ไม่ว่า โครงการสร้างเขื่อน หรือโครงการผันน้ำ โดยเฉพาะการผันน้ำระหว่างประเทศ เช่น สาละวิน เพื่อผันน้ำมาลงเขื่อนภูมิพล โดยให้เอกชนเข้ามาจัดการขายน้ำให้กับประชาชน

นายนิคม ยังได้กล่าวสรุปถึงความล้มเหลวของรัฐบาลทักษิณในตอนท้ายว่า ภายใต้ระบอบทักษิณ จะเห็นได้ว่า โครงการเมกะโปรเจ็คต่างๆ ไม่ได้เคารพกฎหมายบ้านเมืองใดๆ เลย โดยเฉพาะการอ้างการบริหารแบบ CEO โดยไม่ยอมเปิดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของภาคประชาชน ซึ่งนอกจากไม่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนแล้ว ยังก่อให้เกิดปัญหาผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนอีกเป็นจำนวนมาก กระทบต่อสิ่งแวดล้อมขนาดหนัก และทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในสังคมอย่างต่อเนื่อง

ด้าน น.ส.สุพาณี ธนีวุฒิ กองเลขา สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ(สกน.) กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลทักษิณให้ความสนใจเศรษฐกิจระดับมหภาคหรือระดับประเทศมากกว่าระดับครัวเรือน ซึ่งเป็นเกษตรกรเป็นส่วนมาก ไม่ได้มีความจริงใจ พยายามอ้างเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แต่กลับมุ่งที่จะทำการค้าในระดับมหภาค เช่น การเปิดเขตการค้าเสรีกับหลายๆ ประเทศที่ผ่านมา ซึ่งพบว่า ภาพรวมประเทศไทยเราขาดดุลการค้าประมาณ 18,000 ล้านบาท

"อย่างกรณี การเปิดเขตการค้าเสรีไทย-จีน ที่ผ่านมา ดูภาพรวมแม้ว่าการส่งออกจะเพิ่มขึ้น ได้ดุลย์การค้า แต่ผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุดกลับคือ กลุ่มเกษตรกร โดยเฉพาะกลุ่มผู้ปลูกผัก หอมกระเทียม และลำไย เพราะการเปิดการค้ากับจีน นั้นมุ่งเน้นแต่อุตสาหกรรม หนำซ้ำรัฐบาลชุดนี้ยังได้สั่งให้เกษตรกรลดพื้นที่ปลูก โดยอ้างว่าจะจ่ายค่าชดเชยให้ไร่ละ 1,500-2,000 บาท หลังจากนั้นก็ปัดความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น"

น.ส.สุพาณี กล่าวอีกว่า จากนโยบายของรัฐบาลทักษิณ ได้ส่งผลทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ต้องปรับตัว บางกลุ่มถึงขั้นเลิกทำการเกษตร เปลี่ยนอาชีพไปทำงานรับจ้างอย่างอื่น เกษตรกรบางส่วนพยายามปรับตัวหันไปปลูกมันฝรั่งแทน เพื่อส่งป้อนให้กับกลุ่มทุน เช่น ฟิกโต-เลย์ เป็นต้น

"เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าผลพวงจากนโยบายการเปิดเขตการค้าเสรีของรัฐบาลชุดนี้ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านวิถีชีวิต ทั้งสภาพการใช้ที่ดิน กระบวนการจัดการ การผลิต ซึ่งส่งผลต่อการบริหารการจัดการฐานทรัพยากรทั้งระบบ ทั้งประเทศอย่างหนัก"

กองเลขาฯ สกน.ยังกล่าวถึงนโยบายการพักชำระหนี้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาอ้างว่าได้ทำการชำระหนี้ให้ชาวบ้านไปแล้ว 37รายนั้น ซึ่งเมื่อดูสัดส่วนแล้วถือว่าน้อยมาก เพราะเป็นเพียงการชำระหนี้ 37 ราย ใน 6 ล้านกว่ารายทั่วประเทศที่มีการลงทะเบียนในกองทุนฟื้นฟูเกษตรกรฯ และยังไม่นับไปถึงกลุ่มเกษตรกรผู้ที่ยังไม่ได้มีการลงทะเบียนอีกจำนวนมาก

"ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ออกมาพูดซ้ำๆ อีกว่าจะโอนหนี้ให้ แต่เอาเข้าจริง การโอนหนี้ ชำระหนี้ ยังไม่ได้เกิดผลทางรูปธรรม เนื่องจากว่าหัวหน้ากองทุนฟื้นฟูฯ ในระดับจังหวัดไม่ได้มีอำนาจรับผิดชอบอย่างแท้จริง ซึ่งทุกวันนี้ การแก้ไขปัญหาทั้งหมดจึงเหมือนการพายเรือในอ่าง และก็ยังไม่ไปถึงไหนเลย"

ในขณะที่ตัวแทนชาวสวนลำไย จาก จ.ลำพูน ก็ออกมากล่าวว่า ปัจจุบัน ลำไยนอกฤดูกาลมีเพิ่มมากขึ้น ทำให้ลำไยในฤดูกาลมีราคาต่ำลง นี่คือปัญหาของชาวสวนลำไยที่รัฐบาลทักษิณ ไม่เคยเข้าไปช่วยเหลือหรือพยุงราคาให้แก่กลุ่มผู้ปลูกลำไยแต่อย่างใด หนำซ้ำยังต้องเจอกับปัญหาคดีลำไยอีกส่วนหนึ่ง เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการทุจริตและชาวบ้านต้องถูกพ่วงคดีไปด้วย ซึ่งขณะนี้คดีทั้งหมดยังอยู่ในชั้นศาล แต่รัฐบาลก็ไม่ได้มีความจริงใจที่เข้ามาช่วยเหลือ

หลังจากนั้น ศ.เฉลิมพล แซมเพชร ตัวแทนเครือข่ายพันธมิตรเพื่อการปฏิรูปการเมืองภาคเหนือ ได้แถลงข่าวเรียกร้อง "หยุดระบอบทักษิณ" ร่วมกันตรวจสอบทัวร์นกขมิ้น หลังจากมีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี มีกำหนดจะเดินทางลงตรวจราชการในพื้นที่ภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 14-17 ส.ค.นี้

โดยตัวแทนเครือข่ายพันธมิตรฯ ระบุว่า 1.การเดินทางลงพื้นที่ในครั้งนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีและคณะในภาคอีสาน และกำนดการที่จะเดินทางมาภาคเหนือนั้น เป็นการกระทำแอบอ้างการตรวจราชการและกลไกรัฐมาบังหน้า เพื่อจัดฉากหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำผิดฐานละเมิดจริยธรรมทางการเมืองอย่างรุนแรง เพราะเป็นรัฐบาลรักษาการแต่กลับฉวยโอกาสเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นหาเสียงเลือกตั้งล่วงหน้าให้แก่พรรคไทยรักไทยอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ ได้เรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยุติพฤติกรรมดังกล่าวทันที และยกเลิกการเดินทางตรวจราชการในพื้นที่ภาคเหนือ ทั้งนี้ หากยังคงยืนยันจะลงพื้นที่โดยอ้างการตรวจราชการบังหน้า ทางเครือข่ายพันธมิตรฯ จะร่วมกับประชาชนในพื้นที่ที่มีความต้องการปฏิรูปการเมืองเช่นกัน

2.นโยบายประชานิยมของทักษิณ โดยเฉพาะการแก้จนตามรูปแบบอาจสามารถโมเดลที่เคยจัดเรียลริตี้โชว์ ระหว่างวันที่ 16-20 ม.ค.ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นความล้มเหลวอย่างรุนแรงที่ใช้ตำแหน่งทั้งนายกรัฐมนตรีและ ครม.ทั้งคณะ แต่ก็ไม่ช่วยให้ชาวบ้านหายจนได้ ซึ่งเพียงแค่อำเภอเดียว รัฐบาลทักษิณก็ไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้น นโยบายที่จะให้คนจนหายจน ให้คนจนหมดไปในปี 2552 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นเรื่องเพ้อฝันและหลอกลวง อีกทั้งยังทำลายการมีส่วนร่วมภาคประชาชน และเพิ่มภาระหนี้สินจากนโยบายรัฐมากยิ่งขึ้น

3.ถือว่าเป็นการบริหารประเทศที่ไม่ชอบธรรม ผูกขาดอำนาจ ขาดความไม่โปร่งใสของระบอบทักษิณควรสิ้นสุดไป เนื่องจากว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้เคยประกาศไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเอาไว้ เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา หากยังมีความดื้อด้านไม่รักษาสัตย์ ดังนั้น ทางเครือข่ายพันธมิตรเพื่อการปฏิรูปการเมืองภาคเหนือ จึงพร้อมที่ร่วมกันตรวจสอบ และหยุดระบอบทักษิณร่วมกันทั้งประเทศ เพื่อผลักดันให้มีการปฏิรูปการเมืองการเมืองไทยใหม่ ปฏิรูปสังคมไทยทั้งระบบ

ทางกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรฯ ภาคเหนือ ยังได้เรียกร้องขอให้กลุ่มที่คัดค้านระบอบทักษิณ รวมทั้งกลุ่มผู้ที่ใช้สิทธิโนโหวตเมื่อการเลือกตั้ง ส.ส.วันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมาทั่วประเทศ มาร่วมกันทำการตรวจสอบข้อมูลการกระทำผิด ทั้งการเกณฑ์คนมาให้กำลังใจและอื่นๆ ที่ผิดกฎหมายเลือกตั้งเพื่อนำเสนอให้แก่ กกต.ชุดใหม่เพื่อพิจารณา โดยทางยืนยันว่า จะไม่มีการออกมาเคลื่อนไหวในลักษณะของการชุมนุมแน่นอน

สำหรับ ในส่วนกลุ่มผู้ใช้สิทธิโนโหวตในการเลือกตั้ง ส.ส.วันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา ของ จ.เชียงใหม่นั้น มีจำนวนกว่า 2 แสนคน ซึ่งทางเครือข่ายพันธมิตรฯ ภาคเหนือ ได้เชิญชวนขอให้เข้ามาเป็นแนวร่วม เพื่อคอยจับตามอง การเดินทางมาตรวจราชการของ พ.ต.ท.ทักษิณ และร่วมกันตรวจสอบการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นนี้ โดยทางเครือข่ายพันธมิตรฯ ได้มีการเปิดเว็บไซต์ www.thainovote.org และตู้ ปณ.164 ม.เชียงใหม่ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200 เพื่อใช้เป็นช่องทางในการสร้างแนวร่วมและรับข้อมูล รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นต่างๆ รวมทั้งใช้เป็นข้อมูลในการทำการตรวจสอบหรือฟ้องศาลยุติธรรม หากมีการพบการทุจริตมิชอบในหน้าที่ของข้าราชการหรือนักการเมืองในแต่ละพื้นที่

ทั้งนี้ ในตอนท้าย นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด แกนนำเครือข่ายพันธมิตรฯ ภาคเหนือ ได้ย้ำว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณและคณะจะมาลงพื้นที่ภาคเหนือ เพื่ออ้างการตรวจราชการเช่นเดิมนั้น ขอให้พี่น้องประชาชนได้ร่วมกันตรวจสอบพฤติกรรม เก็บภาพข้อมูลของการกระทำผิด ไม่ว่าในเรื่องการเกณฑ์คน หรือการว่าจ้างขนส่งคนมาให้กำลังใจ ซึ่งถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ได้ ซึ่งทางเครือข่ายพันธมิตรฯ จะได้รวบรวมหลักฐานเพื่อเสนอให้ กกต. ชุดใหม่ได้พิจารณาเอาผิดต่อไป