ทฤษฎีเกมแห่งอำนาจ(Game of Power Theory)

ชำนาญ จันทร์เรือง

 

ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) กล่าวไว้ว่า "การเมือง เป็นเรื่องของการได้มาซึ่งอำนาจ เพื่อที่จะตัดสินว่าใครจะได้อะไร เมื่อใด และอย่างไร"

 

อำนาจ (power) ในที่นี้หมายถึง พลังอะไรบางอย่างที่จะสามารถบังคับให้คนหรือกลุ่มบุคคลที่มีพลังน้อยกว่ากระทำตามที่ตนต้องการ ฉะนั้น อำนาจจึงเป็นสิ่งที่หอมหวนและน่าพิสมัยเป็นยิ่งนัก บางรายถึงกับเสพย์ติดจนไม่ลืมหูลืมตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงทั้งหลาย

 

เกม (games) หมายถึง สถานการณ์ที่มีการแข่งขันหรือการขัดแย้งระหว่างฝ่ายตั้งแต่ 2 ฝ่ายขึ้นไป ที่ใช้กันมากได้แก่ เกมในการกีฬา ส่วนในการเมืองก็เช่นเดียวกันมีสถานการณ์แห่งการขัดแย้งและการแข่งขันคล้าย ๆ กับเกมในการกีฬา ผู้ที่เข้าเล่นแต่ละฝ่ายต่างก็ต้องศึกษาถึงกฎเกณฑ์กติกาของการเล่น โดยพยายามคาดคะเนล่วงหน้าถึงวิธีการเล่นของฝ่ายอื่น ๆ หากมีการละเมิดกติกาก็จะต้องมีผู้เข้ามาตัดสิน

 

จริง ๆ แล้ว ทฤษฎีเกมนี้เริ่มนำมาเผยแพร่ในปี ค.ศ. 1928 โดยนักคณิตศาสตร์ ชื่อ จอห์น ฟอน นิวแมน (John Von Newmann) ที่นำมาอธิบายเรื่องการแข่งขันกันทางเศรษฐกิจ จนทำให้เขาได้รับสมญานามว่าเป็นบิดาของทฤษฎีเกม โดยทฤษฎีเกมนี้จะเป็นการศึกษากระบวนการตัดสินใจภายใต้สถานการณ์ที่ขัดแย้งกัน (conflict situations)

 

ทฤษฎีคณิตศาสตร์ของนิวแมนนี้เรียกว่า "minimax" มีหลักว่า ผู้แข่งขันควรวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวก้าวต่อไปของตนในทุก ๆ ความเป็นไปได้ เพื่อคำนวณว่า ความเคลื่อนไหวใดที่อาจเปิดโอกาสให้คู่แข่งขันสามารถสร้างความสูญเสียให้แก่เราได้มากที่สุด ด้วยความคิดแบบนี้ กลยุทธ์ที่ดีที่สุดก็คือเราจะต้องเลือกการเคลื่อนไหวที่ "จะก่อความสูญเสียสูงสุดน้อยที่สุด" (minimum maximum possible loss) เพราะหากเราจะต้องแพ้ก็จะได้ไม่เจ็บปวดมากนัก

 

เมื่อทฤษฎีเกมของนิวแมนรวมเข้ากับความคิดของออสการ์ มอร์เกนสะเติร์น (Oskar Morgenstern) จึงเกิด "Theory of Games and Economic Behavior ขึ้น โดยถูกนำไปใช้ในศาสตร์ต่าง ๆ อย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเมือง การทหาร ฯลฯ ในด้านการเมืองนั้นก็มีการนำไปใช้ในการศึกษาพฤติกรรมทางการเมือง การแย่งชิงอำนาจทางการเมือง การแย่งชิงตำแหน่งในหน่วยงาน ฯลฯ

 

เราสามารถแบ่งเกมออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ

 

1) เกมที่มีผลรวมเป็นศูนย์ (zero-sum games) เป็นเกมที่ผลรวมผลได้ของผู้ชนะมีค่าเท่ากับผลรวมความเสียหายที่ผู้แพ้ได้รับ และที่หนักที่สุดคือผู้ชนะได้หมดที่เราเรียกว่า "The winner take all" ซึ่งผู้เสียจะสูญเสียไปทั้งหมด เกมชนิดนี้จึงเป็นเกมที่ต้องต่อสู้กันอย่างถึงพริกถึงขิง แพ้ไม่ได้เพราะถ้าแพ้ก็อาจหมดตัวไปเลย

 

2) เกมที่มีผลรวมไม่เป็นศูนย์ (nonzero-sum games) เป็นเกมที่มีกลยุทธ์ที่ผลได้ของผู้ชนะมีค่าไม่เท่ากับความเสียหายที่ผู้แพ้ได้รับ ในเกมชนิดนี้ผู้แข่งขันทุกคนอาจเป็นผู้ชนะ (win-win) หรือในทำนองกลับกันก็อาจจะเป็นผู้แพ้ (loss-loss) ทั้งหมดก็ได้

 

จากที่กล่าวมาข้างต้นเมื่อนำมาวิเคราะห์กับสถานการณ์บ้านเมืองของไทยเรา
ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าเป็นการเล่นเกมแห่งอำนาจอย่างชัดเจน โดยมีผู้เล่นอยู่หลาย ๆ ฝ่าย ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ฝ่าย ใหญ่ ๆ คือ

 

1) ฝ่ายเชียร์ทักษิณและต้องการให้ทักษิณเป็นนายกฯ

2) ฝ่ายไม่เอาทักษิณ และต้องการคนกลางเป็นนายกฯ

3) ฝ่ายไม่เอาทักษิณ แต่ไม่ต้องการคนกลางเป็นนายกฯ

 

ฝ่ายแรกคือฝ่ายที่เชียร์คุณทักษิณซึ่งก็แน่นอนว่าคือฝ่ายที่ชื่นชอบในฝีไม้ลายมือของคุณทักษิณและในที่นี้หมายความรวมถึงผู้ที่ชื่นชอบพรรคไทยรักไทยด้วย โดยอนุมานเอาว่า 16 ล้านเสียงที่ลงคะแนนให้การเลือกตั้งคราวที่ผ่านมา อยู่ฝ่ายแรกนี้

 

ฝ่ายที่สองก็หมายถึงฝ่ายพันธมิตรฯ รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ (ในคราวที่เรียกร้อง มาตรา 7) โดยมองว่าคุณทักษิณคือเป้าหมายอันดับแรกสุดที่จะต้องถูกกำจัดให้ออกจากเวที
การเมืองไทย เพราะเห็นว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อชาติ จึงเลือกเอาวิถีทางที่คิดว่าอาจไม่เป็นประชาธิปไตยนักแต่เมื่อเทียบความเสียหายแล้ว ถ้าให้คุณทักษิณอยู่ต่อไปจะเสียหายมากกว่า จึงมี
การเรียกร้องให้คุณทักษิณลาออกหรือเว้นวรรคอยู่อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

 

ฝ่ายที่สามนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นฝ่ายนักวิชาการหัวก้าวหน้าที่เห็นว่า ทั้งฝ่ายแรกและฝ่ายที่สองล้วนแล้วแต่เป็นภัยต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระยะยาว แต่ฝ่ายที่สามนี้ก็ถูกตอบโต้ว่าเป็น"กระฎุมพีบนหอคอย"เช่นกัน ซึ่งฝ่ายที่สองกับฝ่ายที่สามนั้นตอนแรก ๆ ดูเหมือนว่าจะพอไปกันได้ แต่ในที่สุดก็มีการแตกขั้วกันออกมาอย่างชัดเจน

 

แต่เมื่อเรานำทฤษฎีเกมเข้ามาวิเคราะห์แล้วจะเห็นได้ว่า "เป็นเกมแห่งการแย่งชิงและรักษาอำนาจ" ดี ๆ นี่เอง แต่ว่าเกมแห่งอำนาจของการเมืองไทยนี้มีปัจจัยที่จะต้องนำมาศึกษาและวิเคราะห์เพื่อประกอบในกลยุทธ์ที่จะใช้ต่อสู้เพื่อแย่งชิงและรักษาอำนาจที่ว่านั้นมีปัจจัยแตกต่างและมากกว่าบ้านเมืองอื่นพอสมควร

 

ที่ว่าแตกต่างจากบ้านเมืองอื่นก็คือโดยปกติแล้วการตัดสินเกมแห่งอำนาจเพื่อ ชัยชนะทางการเมืองในบรรดาประเทศประชาธิปไตยทั่ว ๆ ไปแล้ว ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ชี้ขาดก็คือ ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ผู้ที่ทำหน้าที่คอยตรวจสอบและรักษากติกาก็คือองค์กรที่จัดการเลือกตั้งและองค์กรตุลาการที่พิจารณาพิพากษาคดีในกรณีที่มีปัญหาในด้านความชอบด้วยกฎหมายเกิดขึ้น

 

แต่ของไทยเรานอกเหนือจากปัจจัยที่ว่ามานี้แล้วยังมีปัจจัยอื่นที่จะต้องนำมาพิจารณาอีก อาทิ กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่อยู่เบื้องหลังพรรคการเมือง กลุ่มอำมาตยาธิปไตย กลุ่มพลังอำนาจทั้งในระบบและนอกระบบ ตลอดจนผู้คนที่ประชาชนให้ความเคารพนับถือในสังคม ฯลฯ

 

ฉะนั้น ทฤษฎีเกมแห่งอำนาจที่จะใช้อธิบายการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในวิกฤติการณ์ของการเมืองไทยในคราวนี้ จึงอธิบายได้ว่า มิใช่เป็นเพียงการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างกลุ่มของพรรคการเมืองเท่านั้น ผลของการแพ้ชนะในการต่อสู้ทางการเมืองในครั้งนี้จึงมิใช่ zero-sum games หรือ the winner take all แต่จะเป็น nonzero-sum games เพราะจวบจนถึงปัจจุบันนี้ยังมองไม่เห็นว่าใครจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากชัยชนะในการต่อสู้ในครั้งนี้ มีแต่มองเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทุกฝ่ายจนบางคนต้องติดคุกติดตารางสังเวยเกมแห่งอำนาจนี้

 

ที่สำคัญก็คือประเทศชาติซึ่งเปรียบเสมือนเวทีของการเล่นเกมแห่งอำนาจนี้ต้องพลอยได้รับผลแห่งความเสียหายอย่างมิอาจประเมินได้เพราะเหตุแห่งการที่ผู้เล่นเกมหวังมุ่งแต่เพียงชัยชนะโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่ตามมานั่นเอง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท