Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

Uncensored


 


 


 



 


โดย อุทัยวรรณ เจริญวัย


 


 


ด้วยความแข็งแกร่งทางทหาร ด้วยเครื่องบิน F-16, F-15  และอาวุธสงครามประสิทธิภาพเหนือชั้นจากอเมริกา อิสราเอลได้สร้าง "นรกรอบใหม่ในตะวันออกกลาง" ขึ้นแล้ว โดยปราศจาก "การขัดจังหวะ" ของใครทั้งสิ้น


 


ท่ามกลางอาการตายด้าน-ไร้น้ำยาของประชาคมโลก ตลอดจนอคติ (สุดขั้ว) ที่แพร่หลายในสื่อตะวันตก อิสราเอลได้กลายเป็นชาติที่มี "สิทธิพิเศษ" ในการ "เหยียบย่ำกฎหมายระหว่างประเทศ" มายาวนานตลอดหลายทศวรรษ


 


จนถึงวันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา อิสราเอลยังคงปิดล้อม กระหน่ำยิงและบอมบ์เลบานอนทั้งทางอากาศ ทางบก และทางเรือ เป็นวันที่สิบสาม นอกจากข่าวปล่อยที่ว่า-อิสราเอลได้รับ "ไฟเขียว" จากวอชิงตันอีกหนึ่งสัปดาห์ ยังไม่มีใครบอกได้จริงๆ ว่าสงครามนี้จะยืดเยื้อต่อไปถึงเมื่อไหร่? หรือจะลุกลามบานปลายไปถึงไหนต่อไหนหรือไม่?


 


อิสราเอล ให้ข่าว (ลวงโลก) ว่าเพื่อ "โจมตีฐานที่มั่นของ เฮซบอลเลาะห์ (Hezbollah)"  แต่ความจริงมีอยู่ว่า อิสราเอลโจมตีเป้าหมายแบบ "เหมารวม" ไม่เลือกหน้า ราวกับจะสร้างความพินาศหายนะให้กับเลบานอนมากที่สุด ตั้งแต่บ้านเรือนที่อยู่อาศัยไปจนถึงระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานทุกอย่าง ผู้บาดเจ็บล้มตายในเลบานอนแทบทั้งหมดจึงเป็น "พลเรือน" ขณะนี้เฉพาะยอดคนตายพุ่งขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 400 คน บาดเจ็บกว่า 1,000 คน ส่วนยอดผู้อพยพลี้ภัยประเมินกันว่าอยู่ในระดับ 900,000 คน และกำลังพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ (เลบานอนทั้งประเทศมีแค่ 3.8 ล้านคน)


 


นอกจากจะบอมบ์สนามบิน ท่าเรือ คลังเชื้อเพลิง ปั๊มน้ำมัน ยานพาหนะขนาดใหญ่ทุกชนิด สะพานกว่า 55 สะพาน ถนนสายหลักกว่า 38 สาย จนระบบขนส่งเป็นอัมพาตไปทั่ว-หลายพื้นที่ถูกตัดขาดเข้าไม่ถึงแล้ว อิสราเอลยังเจตนาทำลายสถานีโทรทัศน์ โรงปั่นไฟฟ้า โรงงานและคลังสินค้าอีกมากมาย โดยเฉพาะ "โรงงานผลิตนมสำหรับทารกที่ใหญ่ที่สุด"  และคลังสินค้าอาหารสำคัญของบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติแห่งหนึ่ง


 


ไม่เว้นแม้กระทั่งโรงพยาบาล รถพยาบาล ขบวนรถขนส่งยาและอุปกรณ์เวชภัณฑ์  - - อิสราเอลจงใจล้างผลาญแม้กระทั่งชีวิตคนเจ็บ คนป่วย และเด็กทารกแรกเกิด


 


ไม่ว่า สนธิสัญญาเจนีวา หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนฉบับไหน...ล้วนไม่มีความหมายกับผู้นำอิสราเอล เอฮุด โอลเมิร์ต (Ehud Olmert) และชาวคณะ "อาชญากรสงคราม" ของเขา


 


มีรายงานล่าสุดถึงสภาพของเลบานอนว่า "โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ล้มเหลวเกือบจะสิ้นเชิง รถพยาบาลไม่สามารถทำงานได้ ศพถูกปล่อยให้เน่าอยู่ตามต้ซากบ้านเรือนที่พังทลายลงมา อาหารและน้ำดื่มก็กำลังจะหมดไป"


 


เลบานอนกำลังเผชิญหน้ากับ "วิกฤติการณ์ด้านมนุษยธรรมครั้งใหญ่" อีกครั้ง และนี่ก็คือ "สงครามที่อิสราเอลทำขึ้นฝ่ายเดียว" เพียงแต่ที่ผ่านมา กองทัพของอิสราเอลยังไม่ได้ส่งกำลังภาคพื้นดินเข้ามายึดเลบานอนเต็มรูปแบบเท่านั้น ระหว่างนี้ กองทัพของเลบานอนยังอยู่เฉย ไม่มีบทบาท รัฐบาลที่นำโดยนาย ฟูอัด ซินญอรา (Fouad Siniora -"ลูกไล่" ที่น่าสงสาร) ได้แต่เรียกร้องการหยุดยิงไปวันๆ


 


เฮซบอลเลาะห์ (ซึ่งไม่ได้อยู่ใต้อาณัติของรัฐบาล) "ตอบโต้" ด้วยการระดมยิงจรวด-คุณภาพไม่เท่าไหร่ เข้าไปในอิสราเอลบ้าง ทั้งทหารและพลเรือนอิสราเอลเสียชีวิตไปแล้วประมาณ 41 ราย ความเสียหายเกิดขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย (ในขนาดที่เทียบกันไมได้) แต่ไม่มีรายงานว่าเฮซบอลเลาะห์จงใจจะไปบอมบ์โรงพยาบาลหรือโรงงานผลิตนมของใคร


 


สื่อตะวันตกส่วนใหญ่มีความสุขกับการนับจำนวน "จรวดที่ยิงเข้าไป" ในฝั่งอิสราเอล แต่ไม่มีใครอยากจะรายงานว่าอิสราเอล "ใช้อาวุธอะไร" และ "ใช้ไปแล้วเท่าไหร่" ในการทำลายล้างเลบานอนแบบไม่ลืมหูลืมตา


 


อย่างไรก็ตาม "นรกรอบใหม่" ไม่ได้เกิดขึ้นที่เลบานอนเท่านั้น ในอีกด้าน อิสราเอลยังไม่เลิกปฏิบัติการโจมตีปาเลสไตน์ที่เริ่มรุนแรงมาตั้งแต่ 25 มิถุนายน


 



 


แม้จะเงียบเชียบและไม่ค่อยเป็นข่าว แต่ชาวปาเลสไตน์-โดยเฉพาะ1.4 ล้านที่แออัดกันอยู่ในพื้นที่แคบๆ ของกาซา-ต่างก็กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติทางด้านมนุษยธรรมที่สาหัสขึ้นเรื่อยๆ ยอดผู้เสียชีวิตเฉพาะเดือนนี้เกิน 114 ศพไปแล้ว


 


ตามเวอร์ชันของสื่อตะวันตก (และสื่อตะวันออกที่ชอบลอกข่าวมาข้างเดียว) ความขัดแย้งที่เป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมดเริ่มต้นวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา เมื่อนักรบปาเลสไตน์ที่มีโยงใยกับ ฮามาส (Hamas) ได้โจมตีทหารอิสราเอล สังหารทหารไป 2 คน และจับตัวทหารคนหนึ่งที่ชื่อ สิบโท กิลัด ชาลิต (Corporal Gilad Shalit) ไปคุมตัวไว้ โดยเรียกร้อง "การปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังชาวปาเลสไตน์" เป็นข้อแลกเปลี่ยน


 


จากนั้น อิสราเอลได้บุกโจมตีปาเลสไตน์ รวมทั้งจับตัวผู้นำทั้งรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา ไปกักขังไว้ (สื่อตะวันตกทั่วไปนิยมย้ำว่า เพื่อเป็น "การตอบโต้") และระหว่างที่อิสราเอลยังไม่เลิกปฏิบัติการอันดุเดือดนั้น 12 กรกฎาคม 2006 นักรบเฮซบอลเลาะห์ของเลบานอน ก็ได้ข้ามพรมแดนมาโจมตีทหารอิสราเอลแถวชายแดน สังหารทหารไป 3 คนและจับทหาร 2 คนไปเป็นตัวประกัน เพื่อเรียกร้องข้อเสนอเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ "ปล่อยตัวผู้ที่อิสราเอลจับไปขังไว้"


 


เอฮุด โอลเมิร์ต ปฏิเสธการเจรจาต่อรองใดๆ พร้อมประกาศว่าารกระทำของเฮซบอลเลาะห์เป็น "act of war" ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหมยืนยันว่ารัฐบาลเลบานอนจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้


 


หลังการบุกจู่โจมที่มั่นเฮซบอลเลาะห์ตรงชายแดนวันแรก วันรุ่งขึ้น โอลเมิร์ตก็เปิดฉาก "สงครามข้างเดียวกับรัฐเลบานอน" ด้วยการโจมตีทางอากาศ เริ่มจาก "สนามบินแห่งชาติ" กลางกรุงเบรุต


 


9,600 : 3 - - อัตราส่วนที่ไม่มีใครอยากพูดถึง


หลายฝ่ายสรุปง่ายๆ ว่าปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นจาก "การลักพาตัว" และนั่นก็คือความผิดของกลุ่มฮามาสกับเฮซบอลเลาะห์ สมควรประณามและปลดอาวุธอย่างยิ่ง


 


ทหารอิสราเอลถูกจับตัวไป 1+2 = 3 ราย แต่ก่อนหน้านี้ ชาวปาเลสไตน์ถูกกวาดจับไปขังตามอำเภอใจ ยังอยู่ในคุกประมาณ 9,600 ราย...กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครนึกอยากจะปลดอาวุธหรือแม้แต่พูดถึง


 


องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน Mandela Institute for Human Rights ประเมินไว้ว่ามี "นักโทษการเมือง" ชาวปาเลสไตน์ถูกอิสราเอลกักขังไว้ 9,600 คน โดยคิดเป็นเพศหญิง 130 คน ขณะที่ Defense for Children International ให้ตัวเลขของเด็กหรือผู้เยาว์ปาเลสไตน์ที่ถูกอิสราเอลจับไปขังไว้มีถึง 388 คน


 


ไม่มีตัวเลขที่แน่ชัดว่าอิสราเอลจับชาวเลบานอนไปขังไว้จำนวนเท่าไหร่ แต่มีการประเมินว่า ชาวอาหรับภายใต้การคุมขังหรือ "การลักพาตัว" ของอิสราเอลมีประมาณ 10,000 คน และส่วนใหญ่ก็เป็นพลเรือนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่อิสราเอลจำกัดความว่า "ก่อการร้าย"


 



 


ยังมีข้อเท็จจริงอีกมากที่ "สื่อจำพวก" FOX News, CNN, MSNBC, BBC, New York Times ตลอดจนสื่อค่ายใหญ่ทั้งหลาย ต่างพากันหลับหูหลับตาให้ สำหรับกรณีความขัดแย้งเรื้อรังระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ สื่อส่วนใหญ่นิยมเล่นบท "รายงานข่าวไป-แก้ตัวให้อิสราเอลไป" อย่างซื่อสัตย์มาตลอด


 


ความขัดแย้งรอบล่าสุดไม่ได้เริ่มต้นในวันที่ 25 มิถุนายน เมื่อทหารแค่หนึ่งคนของอิสราเอลถูกจับไป แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถ "ตัดตอน" เอาดื้อๆ ได้จากบริบทคร่าวๆ ดังต่อไปนี้


 


ภายใต้ "การยึดครองอย่างผิดกฎหมาย" ของอิสราเอล (ตั้งแต่ปี 1967) ปาเลสไตน์ถูกละเมิดสิทธิอย่างต่อเนื่องและรุนแรงมาโดยตลอด ความจริงในชีวิตประจำวันของชาวปาเลสไตน์มีอยู่ว่า อิสราเอลสามารถถืออาวุธมาลอบสังหาร บุกตรวจค้น ทำลายทรัพย์สิน หรือจับชาวปาเลสไตน์ไปสอบสวน ทรมาน กักขังอย่างไรก็ได้ ตามความพอใจ ไม่เคยมีระบบยุติธรรมที่แท้จริง เหตุการณ์อย่างนี้มีมาตลอด แม้กระทั่งช่วงเวลาสงบศึกหรือหยุดยิง


 


ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ชาวปาเลสไตน์ที่เคยถูกจับไปขัง มีประมาณ 650,000 คน


 


นอกจากนี้ ชาวปาเลสไตน์ "ยังไม่ได้รับอนุญาต" ให้ติดต่อกับโลกภายนอกได้อย่างอิสระ แม้แต่อาหารและยาทุกชนิดที่จะเข้าไป จะยอมให้เข้าออกได้มากน้อยแค่ไหน-เมื่อไหร่ อิสราเอลเป็นคนกำหนดชี้นิ้วทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้ เวสแบงก์และกาซาจึงมีสภาพไม่ต่างจาก "คุกขนาดใหญ่" ภายใต้ "ภาพลวงตา" ของการถอนทหารออกจากกาซา ปีที่แล้ว ในทางปฏิบัติ ชาวกาซายังถูกปิดล้อมและกักขังเอาไว้เหมือนเดิม พร้อมกับถูกบีบคั้นทางเศรษฐกิจหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ


 


หลังกลุ่มฮามาสชนะการเลือกตั้งอย่างพลิกความคาดหมายในเดือนมกราคม 2006 และได้เป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาลของปาเลสไตน์ในเวลาต่อมา ชาติตะวันตกทั้งอเมริกาและอียูได้รวมหัวกันทำโทษ "ประชาธิปไตยของชาวปาเลสไตน์" โดยการตัดความช่วยเหลือที่เคยมีมา พร้อมกันนั้น อิสราเอลเริ่มบีบหนักด้วยมาตรการ "บล็อคอาหาร" ควบคู่กับปฏิบัติการก้าวราวทางทหารที่ล่วงหน้ามาตลอดหลายเดือน


 


และนี่เป็นเพียง "ตัวอย่างสั้นๆ ส่วนหนึ่ง"


 


9 มิถุนายน เมื่อเรือของอิสราเอลยิงโจมตี "ชายหาดที่กาซา" ด้วยกระสุนปืนใหญ่ ส่งผลให้ครอบครัวที่กำลังพักผ่อนอยู่ริมหาดต้องเสียชีวิตไป 8 คน บาดเจ็บมากกว่า 30 คน โดยผู้เสียชีวิต 3 รายเป็นเด็ก หนึ่งในนั้นอายุเพียง 18 เดือน (แม้จะมีหลักฐานแวดล้อมมากมายรวมทั้งภาพถ่ายบ่งชี้ แต่อิสราเอลยังอุตส่าห์ออกมาปฏิเสธ)


 


13 มิถุนายน อิสราเอลยิง missile หรือ "อาวุธปล่อยนำวิถี" เข้าใส่รถแวนคันหนึ่งบนถนนชุมชนกลางเมือง โดยอ้างว่าคนในรถเป็นนักรบติดอาวุธ จากนั้น ชาวบ้านและหน่วยพยาบาลฉุกเฉินได้เข้ามามุงดูและให้ความช่วยเหลือ อิสราเอลจึงยิงมิสเซิลเข้าใส่ประชาชนตามมาอีกรอบ ส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตไป 11 คน รวมเด็ก 2 คน (อายุ 4 และ 8 ขวบ) และเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาล 2 คน บาดเจ็บอีก 42 คน


 


จากข้อมูลขององค์กรสิทธิมนุษยชนของยูเอ็น Office for Coordination of Humanitarian Affair (OCHA) เฉพาะช่วง 29 เมษายน-1 มิถุนายน 2006 รวม 34 วัน อิสราเอลยิงอาวุธปล่อยนำวิถีและกระสุนปืนใหญ่โจมตีกาซา ถึง 3,068 ครั้ง ปาเลสไตน์ยิง "จรวดคัซซัม" (Palestinian Qassam - อาวุธบ้านๆ อานุภาพสุดกระจอก) ตอบโต้ไป 162 ครั้ง (ไม่มีรายงานความเสียหาย - แต่ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา มีชาวอิสราเอลที่เคยโดนยิงตายด้วยจรวดคัซซัมเพียง 8 คนเท่านั้น)


 


ชาวปาเลสไตน์ถูกถล่มยิง ถูกลอบสังหาร ถูกยึดบ้านไปเป็นที่ทำการทหาร ถูก "ลักพาตัว" ไป (ขังลืม) ทุกวัน...คนเหล่านั้นแทบไม่เคยมีโอกาสเป็นข่าวใหญ่ และไม่เคยมีใครสนใจจะรู้จักชื่อพวกเขาด้วยซ้ำ


 


แม้แต่วันที่ 24 ก่อนหน้าการจับตัวทหารอิสราเอลเพียงวันเดียว "พลเรือนปาเลสไตน์ 2 คน" เพิ่งจะถูกทหารอิสราเอล "ลักพาตัว" ไป ท่ามกลางความเงียบงันของสื่อทั่วโลก


 


ไม่ยักกะมีใครออกมาโวยวายว่ามันเป็น "act of war" สักคน


 


จนกระทั่ง ทหารอิสราเอลกิลัด ชาลิต ถูกจับตัวไปเท่านั้น โลกทั้งโลกพากันตื่นตกใจ สื่อใหญ่ๆ ประโคมข่าวกันให้วุ่น พร้อมบอกชื่อและอายุครบถ้วน


 


สิ่งสำคัญที่ดูเหมือน "สื่อจำพวกนี้" จะลืมบอกไปก็คือ ในขณะที่ทหารอิสราเอลจับกุมชาวปาเลสไตน์เป็นว่าเล่นมาตลอด เหตุการณ์ที่นักรบชาวปาเลสไตน์จับตัวทหารอิสราเอลไปเช่นนี้ กลับถือเป็น "ครั้งแรกในรอบ 12 ปี" 


 


ยิ่งกว่านั้น สื่อยังลืมอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า ทหารคนดังกล่าวไม่ใช่พลเมืองไร้เดียงสาที่ไหน แต่เป็นคนที่ถืออาวุธสู้รบ และเป็นส่วนหนึ่งของ "การยึดครองที่ผิดกฎหมาย" มาเกือบสี่ทศวรรษ


 



           


อเมริกากับอิสราเอล : Axis of Evil ตัวจริง


แล้วเอฮุด โอลเมิร์ตก็ "ค้นพบข้ออ้าง" ที่จะเปิดฉาก "ล้มล้างรัฐบาลฮามาส"  และ "ทำลายล้างประชาชนปาเลสไตน์" ไปพร้อมๆ กัน เขาประกาศว่า "จะไม่มีใครได้รับการคุ้มกันหรือยกเว้นสำหรับปฏิบัติการครั้งนี้"


 


แม้นายกรัฐมนตรีปาเลสไตน์ อิสมาอิล ฮานิยา (Ismail Haniya) ซึ่งเป็นผู้นำคนหนึ่งของฮามาส จะออกมาแถลงว่าไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้ด้วย พร้อมกับขอร้องให้กลุ่มติดอาวุธที่จับตัวไปอย่าทำร้ายทหารอิสราเอลก็ตาม (กลุ่มติดอาวุธที่จับทหารอิสราเอลไป ออกมาให้ข่าวว่าว่าทำเพื่อแก้แค้นให้กับหัวหน้ากลุ่มที่ถูกอิสราเอลลอบสังหารไปไม่นาน)


 


โอลเมิร์ตส่งรถถังและทหารบุกเข้ามาในเขตกาซา พร้อมกับโจมตีทางอากาศขนาดใหญ่ นอกจากจะยิงมิสเซิลใส่ชาวปาเลสไตน์แบบไม่แยกแยะแล้ว ยังบอมบ์โรงไฟฟ้าหลักแห่งเดียวอีกด้วย ชาวกาซาครึ่งหนึ่งต้องตกอยู่ในความมืดทันที อิสราเอลโจมตีสะพาน บอมบ์อาคารที่ทำการของรัฐบาล พร้อมขโมยตัวรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภาไปขังไว้ถึง 64 คน นับเป็นปฏิบัติการที่อุกอาจ ละเมิดสิทธิพื้นฐาน และไม่สนใจกฎหมายฉบับไหนทั้งสิ้น


 


ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลครั้งนี้ ยังรวมถึงการโจมตีชาวปาเลสไตน์ด้วยอาวุธเสียงที่เรียกว่า โซนิก บู (sonic boom) อีกด้วย พลังงานเสียงขนาดมหึมา (แสบแก้วหู) ที่ถูกปล่อยมาจากเครื่องบินเจ็ตของอิสราเอลไม่เพียงทำให้กระจกบ้านเรือนแตก แต่ยังทำลายโสตประสาทของชาวปาเลสไตน์ตลอดเวลา โดยเฉพาะเด็กๆ ชาวปาเลสไตน์ต้องเสียขวัญร้องไห้ ไม่ได้หลับได้นอน


 


สมปรารถนาตามที่ เอฮุด โอลเมิร์ต เคยพูดว่า งานนี้...จะไม่มีใครนอนหลับลงได้แม้แต่คนเดียว


 


พ้นไปจากปฏิบัติการทางทหาร อิสราเอลยังได้ใช้มาตรการตัดอาหาร ยา น้ำ และเชื้อเพลิงไปพร้อมๆ กัน แอคทิวิสต์ด้านสิทธิมนุษยชน เจมส์ บรูกส์ (James Brooks) จากองค์กร  Vermonters for a Just Peace in Palestine/Israel สรุปถึงสถานการณ์ว่า


 


"ประชาชนชาวกาซาไม่มีทางออกสู่โลกภายนอก อาหารและน้ำเหลือน้อยมาก ไม่มีเชื้อเพลิง ไฟก็แทบจะหมดไปพร้อมกัน หรือแม้แต่ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศก็ไม่สามารถจะทำงานได้ ท่ามกลางสภาพอากาศที่โหดร้ายในฤดูร้อน กองทัพอิสราเอลกลับมาใช้กำลังอีกแล้ว และสภานิติบัญญัติของปาเลสไตน์ก็ต้องหมดสภาพไป เพราะสมาชิกสภาถึง 1 ใน 3 อยู่ในคุกของอิสราเอล ระบบรักษาพยาบาลของที่นี่ซึ่งขาดแคลนทั้งเงินทองและวัสดุปัจจัย...ได้ล่มสลายไปแล้วเช่นกัน"


 


อิสราเอลยังคงเดินหน้าปฏิบัติการอันแล้งไร้ความเมตตามาตั้งแต่ 25 มิถุนายน อย่าง "ลอยนวล" และไม่มีใครขัดจังหวะ


 



 


ท่ามกลางความไร้น้ำยาอันเนื่องมาจากโครงสร้างของยูเอ็น (Useless Nations?) ตลอดจนการท่องคาถาของอเมริกาที่ว่า "อิสราเอลมีสิทธิที่จะป้องกันตนเอง" 12 กรกฎาคม เฮซบอลเลาะห์ ได้ออกมาตอบโต้อิสราเอลและแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับชาวปาเลสไตน์ด้วยการบุกจับทหารอิสราเอลไปอีก 2 นาย


 


ตลอดช่วงที่ผ่านมา ตรงพรมแดนอิสราเอล-เลบานอน เฮซบอลเลาะห์กับทหารอิสราเอลยังคงมีการปะทะกันมาตลอด อิสราเอลยังคงมั่วนิ่มยึดครองเขต ชีบา ฟาร์ม (Shebaa farm) ของเลบานอน และชาวเลบานอนซึ่งเป็นพลเมืองธรรมดาๆ ยังคงถูกอุ้มหายไปเป็นระยะๆ


 


ในอดีต ทั้งเลบานอนและปาเลสไตน์ เคยประสบความสำเร็จในการเจรจาแลกเปลี่ยนตัวนักโทษหรือผู้ถูกคุมขังกับอิสราเอลมาแล้ว


 


แต่ไม่ใช่วันนี้ วันที่อิสราเอลกำลังรอคอยจังหวะที่จะ "ผลักดันอะเจนดาบางอย่าง"


 


เฮซบอลเลาะห์เป็นกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีทั้งซีกติดอาวุธและมีทั้งซีกพรรคการเมือง อย่างไรก็ตามในสภาที่มาจากหลายฝักหลายฝ่าย เฮซบอลเลาะห์ไม่ได้มีสัดส่วนมากมาย แค่ 14 ที่นั่งในสภา และ 2 เก้าอี้ในคณะรัฐมนตรีเท่านั้น การพยายามจะลากรัฐบาลและชาวเลบานอนทั้งประเทศให้มารับผิดชอบในสิ่งที่เฮซบอลเลาะห์ทำ จึงฟังดูเป็นตรรกะไร้สาระแบบอันธพาล และลึกๆ แล้ว มันก็อาจจะไม่ได้มาจากความโกรธในเรื่องที่ทหารอิสราเอลถูกจับเป็นเครื่องต่อรองซักเท่าไหร่


 


ย้อนไปใน อย่างไรกตม  ปี 2000 อิสราเอลต้องถอนทัพออกจากเลบานอน ก็เพราะการสู้รบของเฮซบอลเลาะห์นั่นเอง และทุกวันนี้ นักวิเคราะห์มองว่า ในส่วนของเลบานอนแล้ว (หลังซีเรียถอนทหาร) เฮซบอลเลาะห์ได้กลายเป็น "หนึ่งเดียว" ที่ยังขวางทางอิสราเอลอยู่ สำหรับเป้าหมาย "การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในตะวันออกกลาง"


 


ระหว่างนี้ เริ่มมีข้อมูลสนับสนุนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า "ปฏิบัติการสร้างนรกรอบใหม่" ของอิสราเอลเที่ยวนี้ เป็นเรื่องที่มีการวางแผนล่วงหน้ามาก่อนแล้ว เพียงแต่รอคอยจังหวะหรือ "ข้ออ้าง" ที่เหมาะสมเท่านั้น


 


จากรายงานชิ้นหนึ่งของ ฮาเร็ตซ์ (Haaretz) หนังสือพิมพ์ซีเรียสและพอเชื่อถือได้ฉบับเดียวของอิสราเอลอ้างถึงปากคำ "แหล่งข่าว" คนหนึ่งว่า "คนสำคัญในกระทรวงกลาโหมทั้งหมดของอิสราเอล ต่างก็ได้รับแจ้งข่าวล่วงหน้าหมดแล้ว ทั้งทางถ้อยคำและลายลักษณ์อักษรเรื่องแผนการขุดอุโมงค์เพื่อจะลักพาตัวทหารอิสราเอล (กิลัด ชาลิต) ตรงบริเวณพรมแดนอิสราเอล-กาซา" แต่รัฐบาลอิสราเอลกลับปล่อยให้ปฏิบัติการของนักรบปาเลสไตน์สำเร็จลุล่วงไปจนได้


 


อย่างไรก็ตาม อะเจนดาที่เกี่ยวกับตะวันออกกลางไม่ได้เป็นเรื่องของผู้นำอิสราเอลเพียงกลุ่มเดียว แต่เป็นเรื่องที่เหล่า "นีโอคอน" ในอเมริกาเห็นพ้องและมีเอี่ยวมาตลอด ไม่เพียงการยืนหยัดให้สัมภาษณ์สื่อว่า "อิสราเอลมีสิทธิป้องกันตนเอง" เท่านั้น อเมริกาภายใต้บุชและเชนีย์ยังได้ล็อบบี้-วีโต้ประชาคมโลก (ยูเอ็น ยัน G8) ไม่ให้ประณาม กีดขวาง หรือยับยั้ง "ปฏิบัติการล้างเผ่าพันธุ์" ของอิสราเอลครั้งนี้


 


มีความพยายามทั้งจากอิสราเอลและอเมริกาที่จะลาก "ซีเรียและอิหร่าน" ให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ให้ได้


 


 


คอนโดลีซซา ไรซ์ ยังคงย้ำแล้วย้ำอีกว่า ไม่เห็นด้วยกับการหยุดยิงแล้วปล่อยทุกอย่างกลับไปสู่สภาพเดิม ไรซ์เปรียบเปรยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในเลบานอนเป็นแค่ "ความเจ็บปวดเดี๋ยวเดียวในการให้กำเนิดตะวันออกกลางโฉมใหม่"


 


ตึกรามบ้านช่องถล่มลงทุกวัน ศพชาวเลบานอนที่นอนอยู่ใต้ซากเพิ่มขึ้นทุกวัน และทั้งหมดนั้นก็เป็นแค่ "ความเจ็บปวดเดี๋ยวเดียว" ที่ชาวเลบานอนต้องเสียสละนิดๆ หน่อยๆ เพื่อเป้าหมายของ "ตะวันออกกลางโฉมใหม่" อย่างที่ชาวปาเลสไตน์ ชาวอิรัก และชาวอื่นๆ ได้เคยเสียสละมาแล้ว และยังก้มหน้าเสียสละกันอยู่


 


ระหว่างทริปเจรจาในตะวันออกกลาง ขณะนี้ (วันที่ 24) คอนโดลีซซา ไรซ์ ยังหาจุดจบที่ถูกใจ "อเมริกาและอิสราเอล" ไม่ได้ และเสียงระเบิดก็ยังคงดังขึ้นต่อไป


 


อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของอิสราเอล โยซซี เบน-อารี (Yossi Ben-Ari) ถึงกับออกปากกับนักข่าวไฟแนนเชียลไทมส์ว่า "อิสราเอลยังไม่เคยเอ็นจอยกับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากอเมริกา-ทั้งในทางการเมืองและการทหาร-มากเท่านี้มาก่อนเลย"


 


หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา อเมริกาให้ความช่วยเหลืออิสราเอลมหาศาลมากกว่าแสนล้านดอลลาร์ โดยคิดเป็นความช่วยเหลือทางทหารเป็นส่วนใหญ่ อิสราเอลเป็นชาติเดียวที่มีอาวุธนิวเคลียร์ครอบครองในตะวันออกกลาง สองวันก่อนมีข่าวว่า บุชกำลังจะจัดส่งอาวุธมาเสริมทัพให้อิสราเอลอย่างเร่งด่วน และตราบเท่าที่ขาวคือดำ ดำคือขาว ลวงคือจริง โลกทั้งโลกยังเชื่อชาวอาหรับจะต้องเป็น "ผู้เสียสละ" กันต่อไป ไม่มีใครรู้ว่า นรกในตะวันออกกลางรอบนี้...เลือดของชาวเลบานอนจะต้องท่วมนองแผ่นดินตัวเองอีกมากแค่ไหน?


 


และนรกอันต่อเนื่องยาวนานของชาวปาเลสไตน์...จะมีจุดจบเมื่อไหร่? o


 


 


------------------------------------


ข้อมูลประกอบ  -  จากแอคทิวิสต์ด้านสิทธิมนุษยชน สื่ออาหรับ และสื่ออิสระเป็นหลัก (รีบ ง่วง ขี้เกียจเขียน)


 


หมายเหตุถึงผู้อ่านคนหนึ่ง - ขอบคุณมากๆ สำหรับของ (ระเบิดทีเอ็นที -ไออีดี) ที่ส่งผ่านประชาไทมาให้ ได้รับตั้งนานแล้ว ช่วยทิ้งชื่อที่อยู่หรือเบอร์อีเมล์ไว้ที่ประชาไทหน่อยได้มั้ยคะ มีธุระอยากติดต่อกลับไปค่ะ อ้อ บอกขอบคุณช้าไปแค่ 2 เดือน คงไม่ว่ากันนะ พอดีแถวตะวันออกกลางมันร้อนมากๆ เลยไม่ค่อยอยู่ในมู้ด


thank you india thank you terror thank you dis-illusion-ment


thank you frailty thank you consequence thank you thank you silence

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net