ประชาไท5 ก.ค. 2549 คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล จัดการอภิปรายเรื่อง "เชื้อเอดส์สายพันธุ์ใหม่ มีจริงหรือไม่" ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2549 โดยมีการสรุปผลว่าเชื้อเอดส์หรือเชื้อไวรัสเอชไอวีที่พบในประเทศไทยในขณะนี้คือการผสมข้ามสายพันธุ์เท่านั้น แต่หากไม่หาทางป้องกันอย่างใกล้ชิด อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดรุนแรงได้
ทั้งนี้ ศ.ดร.พญ.รวงผึ้ง สุทเธนทร์ หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เปิดเผยว่าเชื้อเอชไอวีที่ค้นพบในปัจจุบันนี้มีหลายสายพันธุ์ คือ เอ บี ซี และ อี แต่สายพันธุ์ซี เป็นสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในโลก หรือร้อยละ 40 ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชากรที่อาศัยอยู่ในแถบแอฟริกา อินเดีย จีน และพม่า
ในส่วนในประเทศไทย ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ได้รับเชื้อเอชไอวีที่อยู่ในกลุ่มสายพันธุ์อี ซึ่งล่าสุดมีการตรวจพบผู้ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ซีในไทย เนื่องจากผู้ติดเชื้อเอชไอวีอยู่แล้วสามารถรับเชื้อตัวใหม่เพิ่มมาได้อีก และหากผู้ติดเชื้อเหล่านี้มิได้กินยาบรรเทาอาการอย่างเข้มงวด ก็จะทำให้ไวรัสเกิดการดื้อยา ซึ่งจะทำให้เกิดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ผสมเพิ่มมากขึ้น
จากรายงานของคณะแพทย์ศาสตร์ฯ ที่มีการสุ่มตรวจเชื้อในผู้ติดเชื้อเอชไอวีจำนวน 201 ราย พบว่า ในปี 2545 มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์อี ร้อยละ 95 และที่เหลือเป็นเชื้อสายพันธุ์ผสม โดยในจำนวนนี้ พบเชื้อลูกผสมสายพันธุ์ อี-ซี ด้วย
ในปี 2546 พบผู้ติดเชื้อเอชไอวีลูกผสม สายพันธุ์ อี-ซี จำนวน 3 ราย และเพิ่มขึ้นเป็น 5 รายในปี 2547 จนถึงปี 2548 จำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีเชื้อผสมสายพันธุ์ อี-ซี เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 0.5
ทางด้านน.พ.ประเสริฐ ทองเจริญ ที่ปรึกษาหัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเมื่อสิ้นปี 2548 มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลก 40.3 ล้านคน ที่เสียชีวิตแล้ว 3.1 ล้านคน มีผู้ติดเชื้อใหม่วันละ 14,000 คน และร้อยละ 95 ของผู้ติดเชื้อเป็นผู้มีรายได้ต่ำที่อยู่ในวัยแรงงาน อายุตั้งแต่ 20-50 ปี และส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา
สถิติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำนวนเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ผสม อี-ซี มีจำนวนมากขึ้นทุกปี ซึ่งหมายความว่าเชื้อไวรัสเอชไอวีสายพันธุ์อีได้แพร่เข้ามาสู่เมืองไทยนานแล้ว แต่อาจจะมาในลักษณะของเชื้อไวรัสที่เป็นสายพันธุ์ผสมนั่นเอง
ศ.ดร.พญ.รวงผึ้ง กล่าวว่ายังไม่เคยมีการรายงานผลการผสมระหว่างสายพันธุ์อีกับซีในต่างประเทศมาก่อน จึงจำเป็นต้องติดตามดูแลผู้ติดเชื้ออย่างใกล้ชิด เพราะไม่ทราบว่าจะมีความรุนแรงหรือไม่ ประกอบกับเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ซี จะพบมากในช่องคลอด ทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้ออย่างรวดเร็ว ติดต่อได้ง่าย จึงเกรงว่า ในระยะ 5-10 ปี นี้ จะต้องมีการระบาดเกิดขึ้นใหม่แน่นอน
หากเชื้อเอชไอวีในไทยมีสายพันธุ์ผสมมากขึ้น ก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อการวิจัยวัคซีน ซึ่งปัจจุบันมีการวิจัยเฉพาะวัคซีนที่ช่วยป้องกันเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์อีและบีเท่านั้น หากติดตามต่อไป 4-5 ปีแล้วพบว่าจำนวนเชื้อเอชไอวีลูกผสมมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น คงต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีวิจัย
นอกจากนี้ ในระยะเวลาหลายปีหลัง ยังมีการตรวจพบเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์บีในไทยมากขึ้น จากเดิมที่เคยพบเชื้อสายพันธุ์นี้ในในยุโรปและอเมริกาเท่านั้น และสายพันธุ์นี้มีรายงานว่ามีอัตราการดื้อยาสูง